ตอนที่ 10
“อ้าว... เป็นอะไรล่ะหนู ร้องไห้ทำไม” ชายชราเจ้าของร้านขนมโบราณเอ่ยถามเมื่อจู่ๆ นักท่องเที่ยวสาวหน้าตาจิ้มลิ้มก็น้ำตารื้นขึ้นมาเสียดื้อๆ
“หนู... หนูปลื้มใจน่ะค่ะ ที่ได้เห็นขนมไข่หงส์อีกครั้ง” ธนิษฐาตอบยิ้มๆ พลางรีบปาดน้ำตา หันซ้ายหันขวายิ้มเก้อๆ ดีนะที่ยังเป็นช่วงเช้าลูกค้าจึงไม่มาก หากเธอมาร้องไห้อยู่หน้าร้านขนมในช่วงคนเยอะคงได้มีเฮกันบ้างล่ะ
“ลองชิมดูสิ อร่อยนะ”
ธนิษฐารับไม้จิ้มที่ทำจากก้านมะพร้าวตัดเฉียงไม่ใช่ไม้จิ้มฟันที่เธอเคยเห็นคนขายมักใช้จิ้มขนมให้ชิมตามห้างสรรพสินค้า ส่วนปลายแหลมนั้นเสียบขนมก้อนสีดำอมม่วงเอาไว้ พลางส่งเข้าปาก ยิ่งเคี้ยวยิ่งรับรู้รส น้ำตาเจ้ากรรมก็คล้ายจะหลั่งออกมาอีก
“อร่อยมั้ย”
“อร่อยมากๆ ค่ะ อร่อยที่สุดในโลกเลย”
“อร่อยก็ชิมอีกนะ เอ้านี่ลองสีขาวบ้างว่าจะอร่อยเหมือนสีดำมั้ย”
“อิอิ... ชิมจนอิ่มได้มั้ยคะคุณตา”
ธนิษฐารับไม้จิ้มอีกอันที่คุณตายื่นให้ก่อนจะเอ่ยเย้ายิ้มแย้ม เพราะคงมีเพียงความสุขเท่านั้นที่จะบรรเทาความเศร้าในหัวใจของเธอได้
“อย่างนั้นต้องมาอยู่ช่วยขายแล้วล่ะ จะให้ชิมทุกวันเลย”
“อิอิ... งั้นหนูเอา 3 ถุงนะคะ เสียดายจังค่ะ หนูต้องไปต่อหลายที่ เลยไม่ได้ช่วยอุดหนุนคุณตาเยอะๆ เลย”
“ไม่เป็นไร ตาขายทุกวัน แต่ถ้าตาไม่อยู่ก็มาซื้อกับลูกชายตานะ”
“อ้าว... คุณตาจะไปไหนคะ”
“หึหึ... นั่งไทม์แมชชีนไปหายายเขาบนนู้นน่ะสิ”
หัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันพลางมองไปด้านบนที่คุณตาชี้นิ้วขึ้นไปก่อนจะหยิบขนมใส่ถุงใบใหญ่ให้กับเธอ ก็ด้านบนนั้นน่ะคือท้องฟ้า แล้วคุณตาจะไป... คิดได้ดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มแหย เมื่อคุณตาเล่นมุกที่เธอขำไม่ออกซะแล้ว
“คนแก่ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ได้ไม่นานหรอก ตาก็อยู่มาจนคุ้มแสนคุ้มแล้ว มีความสุขทุกวัน”
“มีความสุขทุกวันหรือคะคุณตา”
“อืม... ใช่สิ มีความสุขทุกวัน แล้วเราจะต้องการอะไรอีก ทำทุกอย่างก็เพื่อให้มีความสุข เมื่อมีความสุขแล้วก็พอ”
ธนิษฐายื่นธนบัตรตามจำนวนถุงขนมส่งให้กับคุณตาเจ้าของร้าน แต่คุณตากลับคืนกลับมาให้ 1 ใบ
“4 ถุงนี่คะคุณตา”
“ก็ซื้อ 3 อีกถุงแถมให้ เพื่อหนูจะได้มีความสุขเพิ่มขึ้น ตาขอให้หนูมีความสุขในทุกๆ วันนะ ถ้ามีโอกาสก็แวะมาเยี่ยมเยือนกันบ้าง มาไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร เพราะนู้น... เดินไปตลอดทางของกินอีกเพียบ อร่อยๆ ทุกร้านนั่นแหละ”
“ขอบคุณค่ะ คุณตาใจดีจัง”
ธนิษฐาพนมมือไหว้ก่อนเอ่ยเสียงสั่น เมื่อระลึกได้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมา นานแล้วที่ไม่ได้รับความรู้สึกนี้จากใคร ความอ่อนโยน ความเอื้ออาทร หรือเธอคุ้นชินกับสังคมที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี การช่วงชิงทุกอย่างมาเป็นของตนเอง แม้ว่าจะได้มาด้วยความชอบธรรมก็ตาม และเหตุการณ์เมื่อครั้งที่แม่ต้องการให้เธอรีบแบ่งสมบัติของสราวุฒิก็หวนเข้ามาในความทรงจำอีกครั้งจนได้
‘แม่ไม่ยอมนะยัยดาว ยังไงแกก็ต้องให้ทนายเขาแบ่งสมบัติโดยด่วน! อยู่ดีๆ แกจะมายกทรัพย์สมบัติพวกนั้นให้ลูกเมียเก่าได้ยังไง’
‘มันเยอะนะคะแม่ และเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้อะไรมากขนาดนั้นด้วย แค่คฤหาสน์หลังนี้ เงินในบัญชีและตึกแถวที่คุณอาโอนให้ดาว เราก็พอใช้ไปทั้งชาติแล้วนะคะ ทางโน้นเขามีลูกตั้งหลายคน เขาจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าเรา เด็กๆ นั่นต้องเรียนกันอีกนานด้วย และดาวก็อยากให้พวกแกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด ถ้ารักเรียน ดาวก็จะให้พวกแกไปเรียนเมืองนอก’
‘ยัยดาว! นี่แกบ้าหรือโง่กันแน่ นั่นมันลูกติดเขาไม่ใช่ลูกแกซะหน่อย ถ้าเด็กนั่นมันต้องใช้เงินมาก แม่กับยายของแกก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน ถ้าแม่กับยายเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาล่ะ แกจะมีเงินรักษาแม่กับยายพอหรือเปล่าฮะยัยดาว ไหนแกบอกแม่มาสิ’
ครั้งนั้นเธอแก้ปัญหาด้วยการให้ทนายแบ่งทรัพย์สมบัติในส่วนของเธอกับลูกๆ ของสราวุฒิออกจากกัน แต่ที่แม่ไม่รู้ก็คือ ในทุกๆ เดือนเธอจะแบ่งผลกำไรจากกิจการค้าวัสดุก่อสร้างที่เธอดูแลต่อจากสราวุฒิ ฝากเข้าธนาคารไว้สำหรับเป็นทุนการศึกษาของเด็กๆ เหล่านั้นด้วย
รวมทั้งทรัพย์สินของอุเทนที่เธอก็จัดสรรปันส่วน แบ่งให้กับพ่อแม่และญาติพี่น้องของเขา สิ่งที่เธอถือครองจะเป็นเพียงอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถแบ่งได้เท่านั้น ส่วนทรัพย์สินของทวิชนั้นเธอไม่ได้แตะต้อง แม้ว่าเขาจะทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินบางอย่างให้เธอแล้วก็ตาม เพราะเธอยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับเขา เธอก็ไม่ควรจะได้รับทรัพย์สินเหล่านั้น
ธนิษฐาครุ่นคิดถึงระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมาที่เธอวนเวียนแต่งงานกับผู้ชาย 3 คน และรวมทั้งก่อนหน้านั้นอีก 5 ปี เมื่อครั้งที่เสียพ่อไป ชีวิตของเธอห่างไกลคำว่า ‘ความสุข’ มานานเหลือเกิน แต่แค่เพียงวันเดียวที่เธอก้าวออกมาจาก ‘กรง’ แห่งความหวังดีของแม่กับยาย เธอก็ได้พบกับ ‘ความสุข’ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความสุขที่มีเรี่ยไร่รายทางที่เธอแวะพัก
