ตอนที่ 3.
เมื่อเดินทางถึงกรุงบรัสเซลส์ประเทศเบลเยียม ฟิลลิปส่งไอรีนไปยังที่พักในโรงแรมในเครือเมดิสัน หลังจากนั้นเขาก็เดินทางไปยังคฤหาสน์ของวิเวียนผู้เป็นน้าสาว โดยไอรีนขอตัวพักผ่อนและนัดหมายไปพบกับวิเวียนในวันต่อมา การเดินทางเพียงลำพังครั้งนี้เป็นครั้งแรกของไอรีน ถึงจะมีฟิลลิปมาเป็นเพื่อน แต่เธอก็รู้สึกว่าได้แบกความรับผิดชอบไว้เต็มบ่า หลังจากเก็บเสื้อผ้าและนอนพักครู่หนึ่ง ไอรีนจึงออกจากห้องมาเดินเล่นเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย เธอมาถึงในช่วงเช้าเมื่อพักผ่อนแล้วยังมีเวลาช่วงบ่ายให้เดินเล่นชมเมือง
“พี่โอลิเวอร์ไอรีนขอพักสมองสักวันนะคะ เที่ยวเสร็จจะรีบกลับมาหาข้อมูลทำงานต่อ”
หญิงสาวเลือกสวมกางเกงยีน เสื้อแจ๊คเก็ตแทนการสวมชุดเดรสแบรนด์ดัง ผมยาวถูกถักเป็นเปียเดี่ยวสวมทับด้วยหมวกแก๊ป ใบหน้าไร้เครื่องสำอางมีเพียงลิปสติกสีชมพูอ่อนเคลือบริมฝีปากบางๆ ดูเหมือนเด็กสาวกะโปโลมากกว่าผู้บริหารของเมดิสันอย่างที่เป็น ตั้งใจไปเที่ยวเล่นให้ผ่อนคลายความเครียด ก่อนจะต้องเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจังในวันพรุ่งนี้
ไอรีนพาตัวเองมาถึงจัตุรัสแกรนด์เพลส หรือ กรองด์ ปลาซ (Grand Place) หนึ่งในจัตุรัสที่สวยงามที่สุดในยุโรป เป็นกลุ่มอาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทั้งบาโร้ค โกธิค นีโอ-โกธิค และเป็นสถานที่ซึ่งยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1983
“ที่นี่สวยไม่เปลี่ยนเลย แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะไม่เบา”
หญิงสาวเดินชมความงามของจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกราวกับตัวเองได้ย้อนเวลาไปในสมัยโบราณของยุโรป หากไม่มีผู้คนรายล้อมมากมายคงได้บรรยากาศมากกว่านี้ จัตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของกรุงบรัสเซลล์ ที่เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวต้องมาเยือน และทุก 2 ปีที่แห่งนี้จะมีการจัดเทศกาลที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่างเช่น เทศกาลพรมดอกไม้ (Flower Carpet) ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ไอรีนเดินมาจนถึงรูปปั้นเด็กผู้ชายยืนฉี่ หรือที่เรียกกันว่า เมนเนเกน พีส (Manneken-pis) เป็นรูปปั้นทองแดงอายุหลายศตวรรษ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงบรัสเซลส์ มีตำนานเล่าว่ามีเด็กชายคนหนึ่งมาพบชนวนระเบิดที่กำลังถูกจุดเพื่อจะทำลายกำแพงเมืองบรัสเซลส์ จึงปัสสาวะรดดับไฟช่วยปกป้องเมืองไว้ได้ทัน จึงมีการสร้างรูปปั้นนี้เพื่อรำลึกถึง ตอนที่ได้ฟังเรื่องเล่านี้พี่ชายทั้งสองของไอรีน ก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ฉันว่าไอ้เด็กคนนั้นต้องอั้นฉี่ไว้เยอะแน่นอน ถึงได้ดับไฟได้” เอริกวิเคราะห์
“ผมว่าอาจจะมีเด็กอีกหลายคนช่วยกันนะ ถ้ามีระเบิดหลายลูก ใครจะฉี่รดทันทุกลูก” โอลิเวอร์ให้ความเห็นอีกทาง
“ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงล่ะคะ เขาจะปั้นรูปปั้นแบบไหน”
คำถามนี้ทำเอาพี่ชายทั้งสองคนนิ่วหน้าหันไปถามพ่อแม่ ผู้ใหญ่สองคนถึงกับหัวเราะลั่นกับความคิดของลูกสาว ก่อนจะหันเหความสนใจลูกทั้งสามโดยเล่าเรื่องรูปปั้นพระเยซูแทน
“ถ้าใครอยากมาที่นี่อีก เขาบอกว่าให้เอามือไปลูบรูปปั้นพระเยซู ก็จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง”
ไอรีนรีบวิ่งไปทำท่าเอามือไปลูบแต่เพราะตัวเล็กเลยเอื้อมไม่ถึง เดือดร้อนพี่ชายทั้งสองต้องช่วยกันยกตัวน้องสาวให้ขี่คอถึงจะลูบได้ เอริกกับโอลิเวอร์ปล่อยน้องสาวลงได้ก็พากันปาดเหงื่อ ร้องหิวน้ำไม่สนใจจะลูบรูปปั้นนั้นอีก
“เดี๋ยวเราโตขึ้น เราอยากมาเที่ยวที่นี่ก็มาได้ ไม่เห็นต้องไปลูบเลย”
เหตุผลของพี่ชายทั้งสอง ทำให้น้องสาวคนเล็กหน้ามุ่ย มองรูปปั้นที่เธออุตส่าห์ขี่คอพี่ชายปีนขึ้นไปลูบด้วยความหวังว่า เธอจะได้กลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งโดยไม่ต้องรอให้โต แต่เวลาก็ผ่านไปจนถึงบัดนี้ร่วมสิบสองปี ไอรีนถึงมีโอกาสได้มายืนมองรูปปั้นนี้อีกครั้ง
“ในที่สุดเราก็มาที่นี่อีกครั้งจนได้”
ไอรีนยืนดูรูปปั้นจนพอใจก็เดินขึ้นไปชมวิวของกรุงบรัสเซลส์อย่างเพลิดเพลินใจ หญิงสาวปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป ที่นี่มีหลายอย่างอยู่ในความทรงจำของเธอ เมื่อได้กลับมาอีกครั้งไอรีนก็อยากทบทวนความหลังที่เธอประทับใจอยู่เงียบๆ คนเดียว ทว่าผู้คนรายล้อมกลับทำให้ภวังค์ความคิดของเธอสะดุด เมื่อได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นพอหันไปดูก็เห็นชายชราคนหนึ่งถูกเด็กวิ่งชนจนล้มลงไป เด็กซนพากันวิ่งหนีกลัวโดนดุ ไอรีนจึงเข้าไปช่วยพยุงชายคนนั้นให้ลุกขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ขอบใจมาก ฉันไม่เป็นอะไร เด็กๆ สมัยนี้มันซนจริง วิ่งมาชนคนแก่แต่ไม่ขอโทษสักคำ”
คนสูงวัยกว่าลุกขึ้นยืน มองหาเด็กตัวแสบที่วิ่งมาชน แล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจแรงอย่างระอาใจ ไม่มีท่าทางโกรธเคืองแต่อย่างใด ไอรีนพยุงมานั่งที่เก้าอี้แล้วนั่งลงข้างๆ มองใบหน้าเหี่ยวย่นตามวัยและผมสีเงินของชายคนนั้นแล้วนิ่วหน้า เธอเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วแม่หนู แค่เสียหลักเฉยๆ”
ชายชรายิ้มให้หญิงสาวที่มองตนตาแป๋วด้วยสายตาเอ็นดู ผู้คนมากมายรอบกายไม่มีคนคิดจะช่วยเขาสักคน แต่หญิงสาวคนนี้กลับเข้ามาช่วยเขาไว้ ใบหน้างดงามและดวงตากลมโตของเธอทำให้เขาถูกชะตา
“หนูคุ้นหน้าคุณตาจังเลยค่ะ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”
ไอรีนย่นคิ้วทำท่าคิด แต่ก็ไม่ค้นพบคำตอบในหัวจึงปล่อยให้ผ่านไป แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบมองหน้าของหญิงสาวครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอ่อนโยน
“หน้าฉันอาจจะโหลน่ะ เลยคล้ายคนนั้นคนนี้ไปทั่ว อืม... หนูชื่ออะไรนะเรายังไม่รู้จักกันเลย” ชายชราชวนคุย
“หนูชื่อไอรีนค่ะ คุณตาล่ะคะชื่ออะไร”
“ฉันชื่อวิลน่ะ หนูคงเป็นนักท่องเที่ยวสินะ”
“ค่ะ หนูเพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้เอง เลยออกมาเดินเล่น คุณตาเป็นคนที่นี่เหรอคะ”
หญิงสาวผ่อนคลายท่าทีเป็นกันเองมากขึ้น ชายชราดูท่าทางใจดีการพูดคุยเหมือนจะอยากชวนเธอคุยแก้เหงา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนแก่ ที่มักจะชอบคุยเรื่องทั่วไปเหมือนนางแมรี่พี่เลี้ยงชราของเธอ ไอรีนเคยชินกับการอยู่กับคนแก่ จึงไม่นึกรำคาญที่อีกฝ่ายชวนคุย
“ฉันเป็นคนอิสราเอลน่ะ แต่ย้ายมาอยู่ที่นี่นานแล้วตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ พอดีแต่งงานกับสาวเบลเยียมเลยย้ายตามเขามา ตอนนี้เขาตายจากฉันไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ก็แต่งงานมีครอบครัวกันไปหมด ฉันมีลูกชายคนหนึ่งกับลูกสาวอีกคน มีหลานชายสองคนยังไม่แต่งงาน หน้าตาหล่อทั้งคู่ หนูสนใจไหมล่ะ ฉันจะแนะนำให้”
คนแก่เล่าถึงประวัติตัวเองอย่างเพลินใจ แถมยังคิดเป็นพ่อสื่อให้หญิงสาวกับหลานชายตัวเองด้วย ทำเอาไอรีนยิ้มขำ รีบส่ายหน้า
“โอ... น่าเสียดายจังเลยค่ะ ไอรีนมีคู่หมั้นแล้ว เพิ่งหมั้นกันได้ไม่กี่เดือนเอง ถ้าไอรีนยังไม่มีใคร ไอรีนยินดีทำความรู้จักกับหลานชายคุณตานะคะ”
หญิงสาวตอบทีเล่นทีจริง ทำเอาคนแก่หัวเราะชอบใจ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียดายจริงๆ ไม่เป็นไรหลานชายคนหนึ่งของฉันเขาเป็นคนจริงจัง ถ้าเขาชอบหนูเขาคงหาทางทำให้หนูสนใจเขาแน่ เขาหล่อมากนะ สาวๆ แย่งกันเป็นคู่ควงเขาแทบตีกันตาย”
สรรพคุณของหลานรักคุณตาช่างคล้ายกับพี่ชายทั้งสองคนของไอรีน หญิงสาวอยากเห็นหน้าหลานชายสุดหล่อของคุณตาขึ้นมา
“ขนาดนั้นเลยหรือคะ หลานชายคุณตาคงจะหล่อมาก ไอรีนชักอยากเห็นแล้วสิคะ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าสนใจแล้วสิ”
คุณตายิ้มกว้าง มองหน้าหญิงสาวอย่างเอ็นดู จากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ทำให้เขาประเมินว่าเธอคงเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง น่าเสียดายใบหน้างดงามขนาดนี้ หากเธอเกิดมาในตระกูลสูงเธอคงมีคนสนใจมากมาย
“ก็นิดหนึ่งค่ะ อยากรู้ว่าหล่อสู้พี่ชายของไอรีนได้ไหม”
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มาเปิดให้คนแก่กว่าดูรูปครอบครัวของเธอ ปกติไอรีนไม่ได้สนิทกับใครง่าย แต่พอพูดคุยกับชายชราคนนี้ เธอกลับรู้สึกถูกชะตากับเขา จนอยากแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองให้เขารับรู้บ้าง เหมือนที่เขาเล่าเรื่องราวของเขาให้เธอฟัง
