11 หนี
อินทัชพาตัวมีนาเข้ามาในความมืดมิดของป่าทึบ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระแวดระวังและหวาดกลัว เสียงปืนที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้ทั้งสองต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“พวกนั้นยังตามมาอยู่เลยเอาไงดีคะ” มีนาถามเสียงสั่น ร่างกายเริ่มอ่อนแรงจนหายใจหอบถี่
“ยังไงมันก็ไม่ปล่อยเราแน่ รีบหนีเถอะ” อินทัชตอบเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มไม่ไหว เขาจึงหยุดพักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม
“ไหวมั้ย...มีนา!!!”
ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง อินทัชรีบช้อนตัวเธอขึ้นขี่หลังแล้วออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
“หนีก่อน…มีนา!” ในขณะที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต มีนาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกมันที่กำลังตามมา
“พ่อเลี้ยงไหวมั้ยคะ” เธอร้องถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่ต้องห่วง ฉันยังไหว” อินทัชตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะแบกร่างของมีนาวิ่งหนีจนมาจนถึงทางตัน เบื้องล่างคือธารน้ำตกใหญ่ที่ไหลเชี่ยว
“เอาไงดีคะพ่อเลี้ยง” มีนาถามเสียงสั่น
“เกาะแน่นๆ นะมีนา!!!!” สิ้นเสียง อินทัชก็ตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาทันที เด็กสาวกอดคอเขาแน่นหลับตาปี๋ เมื่อร่างของทั้งคู่ร่วงลงสู่ผืนน้ำ
ตูม!!!!!
เสียงน้ำแตกกระจายดังสนั่นไปทั่วป่า
“เฮ้ย!!!...มันกระโดดลงไปได้ยังไงวะ” เสียงหนึ่งจากกลุ่มคนร้ายดังขึ้น
“ฉันว่าป่านนี้มันก็คงกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้วละ น้ำทั้งลึกทั้งเชี่ยวขนาดนั้น”
“แล้วเราจะกลับไปบอกคุณศรุตายังไง”
“รอดูศพมันก่อน” หนึ่งในลูกน้องของเสี่ยสุชาติเอ่ยขึ้น เขาวิ่งมาสบทบทีหลัง
อินทัชดึงร่างบางของมีนาขึ้นสู่เหนือน้ำ หญิงสาวฝืนว่ายน้ำที่เริ่มไหลเชี่ยวเข้าหาโขดหินใหญ่ ก่อนที่อินทัชจะช่วยดันร่างของเธอให้ปีนขึ้นไปนั่งหอบหายใจจนตัวโยนอยู่บนโขดหินอย่างปลอดภัย
อากาศในป่ายามค่ำคืนเย็นเยือกจนแทรกซึมเข้าสู่กระดูก มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านกิ่งไม้เป็นทางให้พวกเขามองเห็นได้รางๆ อินทัชหันไปมองมีนาอย่างห่วงใย เสื้อผ้าของทั้งคู่เปียกน้ำและเต็มไปด้วยดินโคลน
“อดทนหน่อยนะมีนา” อินทัชบอกพลางนั่งลงข้าง ๆ เพื่อปลอบโยนเธอ เขาใช้มือเช็ดน้ำออกจากใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน มีนามองใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องเธอ
มีนารู้สึกผิดที่ตนเองเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด เขายอมช่วยเหลือเธอ ทั้งที่เธอเป็นแค่คนแปลกหน้าที่มาสร้างปัญหาในชีวิตของเขา
“คนที่ตามล่าเราจะต้องเป็นลูกน้องของเสี่ยสุชาติแน่ ๆ เลยคะ” มีนาบอกเสียงแผ่วเบา อินทัชยิ้มบางๆ
“ไม่ว่าจะเป็นพวกไหนก็ตาม ฉันจะปกป้องหนูเอง” มีนาส่ายหน้า
“เป็นเพราะหนูเอง ที่สร้างปัญหาให้พ่อเลี้ยง หนูน่าจะไปจากที่นี่ตั้งแต่แรก”
“อย่าพูดอย่านั้นสิ!!!...มีนา ฉันไม่ยอมให้เธอจากฉันไปไหนหรอก”
“แต่พ่อเลี้ยงจะลำบากเพราะหนูนะคะ ยังไงคุณศรุตา ภรรยาของเสี่ยสุชาติก็คงไม่ปล่อยหนูไว้แน่ ๆ”
“ตราบใดที่ฉันยังอยู่ รับรองว่าฉันจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอันตรายหนู” อินทัชตอบ ก่อนจะจับมือเด็กสาวเอาไว้แน่น
“แต่ตอนนี้เราต้องรีบหนีแล้วก็หาที่ซ่อนก่อน ฉันเชื่อว่าพวกมันคงต้องหาทางตามเรามาแน่ ๆ มันคงไม่ปล่อยเราไว้หรอก”
ทั้งสองคนยังคงหนีต่อไปในความมืดที่ปกคลุมไปทั่วผืนป่า มีเพียงความเงียบและเสียงหายใจที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ของทั้งสอง
“เราจะเดินตามลำธารนี้ไปเรื่อยๆ ท้ายไร่ของฉันน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก” อินทัชพูดปลอบโยนพลางประคองมีนาให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าจะลำบากหรือเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหน ขอแค่มีเขาอยู่ข้างกาย เธอก็พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไป
ทั้งสองยังคงเดินไปตามลำธารอย่างไม่หยุดพัก
“คืนนี้เราต้องหาที่พักก่อน” อินทัชบอก
“ในป่าแบบนี้ เราจะไปหาที่ไหนได้คะ” มีนาถามด้วยความกังวล
“เดินไปอีกไม่ไกลหรอก ฉันเคยมากั้นฝายกับชาวบ้านแถวนี้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินมาอีกไม่นาน อินทัชก็ชี้มือไปยังเรือนไม้สักหลังเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ แสงไฟลอดออกมาจากตัวบ้าน
“เจอบ้านคนแล้ว!!!” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ทั้งสองมองหน้ากันและกันด้วยความดีใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังเรือนไม้หลังนั้นอย่างเร่งรีบ
“มีคนอยู่ไหมครับ” อินทัชร้องถาม ไม่นานชายชราก็เดินออกมาจากชั้นบนของตัวบ้าน
“มีอะไรรึไอ้หนุ่ม” เสียงแหบแห้งตอบรับก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากในบ้าน
“ผมกับแฟนหลงป่ามาทางนี้ พอดีรถเราเสียครับ” อินทัชเอ่ยตอบอย่างสุภาพ
“พ่อเลี้ยงอินทัชแม่นก่อครับ” (พ่อเลี้ยงอินทัชใช่ไหมครับ) เมื่อชายชราเห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็รีบเอ่ยด้วยสำเนียงคุ้นเคย
“เชิญครับ เชิญขึ้นมาบนเฮือนเฮาก่อน” ชายสูงวัยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร เมื่อรู้ว่าเป็นคนที่คุยด้วยคือพ่อเลี้ยงอินทัช ก่อนจะหันกลับไปตะโกนเรียกลูกสาวที่อยู่ในบ้าน
“ลุงชัยเองเหรอครับ ผมก็ไม่นึกว่าจะเดินมาเจอบ้านลุงเป็นหลังแรก”
“บัวตอง! บัวตอง!”
สิ้นเสียงเรียกของผู้เป็นบิดา ร่างอรชรของหญิงสาวหน้าตาน่ารักในชุดผ้าถุงและเสื้อกาสะลองก็ก้าวออกมาจากตัวบ้าน เธอเดินลงบันไดมาทักทายพ่อเลี้ยงด้วยท่าทีนอบน้อม
พ่อเลี้ยงอินทัชมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปทางชายสูงวัยที่ยืนอยู่บนชานบ้านพร้อมกับเอ่ยปากถามว่า
“บัวตองโตเร็วจังนะครับลุงชัย ก่อนหน้านี้ผมยังเห็นวิ่งเล่นอยู่เลย” อินทัชถามด้วยความแปลกใจ
“ว่าแต่พ่อเลี้ยงไปยังไงมายังไงล่ะคะ” บัวตองเอ่ยถามบ้าง ดูจากรูปร่างแล้ว เธอน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับมีนา
“พอดีฉันกับแฟนรถเสียน่ะ ก็เลยหลงป่าเข้ามา” อินทัชตอบ
“อี่ป้อ..หื้อป้อเลี้ยงกับเมียเปิ้นนอนห้องหน๊องก่าได้” (พ่อ...ให้พ่อเลี้ยงกับภรรยาเขาพักห้องหนูก็ได้) ลูกสาวเสนอบิดาด้วยความเต็มใจ
“ไม่ต้องลำบากเรื่องที่นอนหรอกหนู ฉันขอแค่นั่งพักตรงบริเวณแคร่ไม้นี้ก็พอ” อินทัชตอบอย่างเกรงใจก่อนมองไปที่แคร่ไม้หน้าบ้าน
“บ่ต้องเก๋งใจ๋ครับป้อเลี้ยง หมู่บ้านเฮาเจริญได้ก็เป็นเพราะป้อเลี้ยง” (ไม่ต้องเกรงใจครับพ่อเลี้ยง หมู่บ้านเราเจริญได้ก็เป็นเพราะพ่อเลี้ยง) ชายชรากล่าวอย่างจริงใจ อินทัชกับมีนาหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันในหัวใจ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากความดีที่เขาได้เคยทำไว้
“ขอบคุณนะครับลุงชัย แต่ผมกับแฟนคงจะนอนพักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็จะเดินทางต่อเลย” อินทัชกล่าวด้วยความเกรงใจ เพราะถ้าหากเกิดพวกนั้นตามมาทัน ทั้งคุณลุงและลูกสาวจะเดือดร้อนเอาได้
“พ่อเลี้ยงจะกลับไร่เหรอคะ” บัวตองเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ครับ”
“แต่ทางนี้กว่าจะถึงไร่ของพ่อเลี้ยงก็ไกลอยู่นะคะ”
“งั้นเดี๋ยว ผมอาจจะโทรให้ลูกน้องมารับพรุ่งนี้เช้า ยังไงคืนนี้ผมรบกวนแค่นี้ก็ได้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวบัวตองไปเอาผ้าห่มกับหมอนมาให้นะคะ” เด็กสาวรีบหันหลัง แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเสียงเรียกของพ่อเลี้ยงดังขึ้น
“บัวตอง!!!
“คะ”
“จะรบกวนไหม ถ้าฉันอยากจะขอผ้าถุงให้แฟนเปลี่ยนสักผืน” อินทัชบอกเด็กสาวด้วยความเกรงใจ เพราะทนเห็นมีนายืนหนาวสั่นอีกไม่ได้
“อ๋อได้ค่ะ บัวตองมีผ้าซิ่นแล้วก็เสื้อ เดี๋ยวจะเอามาให้เปลี่ยนนะคะ”
ไม่นานนักบัวตองก็รีบเอาชุดมาให้มีนาเปลี่ยน พร้อมกับหมอนและผ้าห่ม
“นี่เป็นผ้าขาวม้า ให้พ่อเลี้ยงค่ะ เผื่อจะเปลี่ยน”
“อ๋อ!! ขอบใจนะบัวตอง”
“ขอบคุณนะคะคุณบัวตอง” มีนากล่าวด้วยความซาบซึ้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญตามสบายนะคะ ห้องน้ำอยู่หลังบ้านค่ะ เดินลอดใต้ถุนนี้ไป” เด็กสาวพูดพร้อมกับชี้มือบอกทั้งสอง
เมื่อสองพ่อลูกเข้าห้องนอนกันเรียบร้อย มีนาหันมาหาอินทัช
”ไปเป็นเพื่อนหนูหน่อยสิ”
“ทำไม กลัวเหรอ” อินทัชแกล้งถามด้วยรอยยิ้ม
“ก็มันมืดนี่คะ”
“เปิดไฟฉายในโทรศัพท์เอาสิ” พอได้ยินคำว่าโทรศัพท์ มีนาก็ทำหน้าเศร้า ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เฮ่อ!!..โทรศัพท์หนูเปียกน้ำหมดแล้ว ตอนนี้ยังเปิดไม่ติดเลย”
“ไม่ใช่รุ่นกันน้ำล่ะสิ” เขาอมยิ้มก่อนจะเอ่ยแซวเด็กสาว
“ค่ะ ก็ซื้อถูกๆ เอง” เธอตอบอย่างงอน ๆ
“ไม่เป็นไร เก็บซิมเอาไว้ เดี๋ยวออกไปฉันซื้อให้ใหม่”
“เปย์จังเลยนะคะ” มีนาแซวกลับบ้าง อินทัชได้แต่อมยิ้ม
“คิดอะไรกับหนูป่ะเนี่ย!!!”
“ทำขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก
“รู้ค่าาา... แต่แกล้งถามไปงั้นแหละ” เด็กสาวตอบกลับพร้อมรอยยิ้มหวานจนแก้มปริ