บทที่ 2 พี่ณิน & น้องกวิน
บทที่ 2
พี่ณิน & น้องกวิน
ฉันและเพื่อนสนิทมาที่โรงพยาบาลหลังจากขับตามรถมอเตอร์ไซค์ของคู่กรณี รอตรวจและทำแผลไม่นานเจ้าตัวก็เดินออกมาจากห้องด้วยสภาพที่มีผ้าพันแผลตามรอบแขน
ฉันรีบผุดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้และตรงปรี่เข้าไปหาคู่กรณีสุดหล่อด้วยความเร็วแสง จากใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงความเรียบนิ่งก็ปรากฏชัดเป็นความบึ้งตึงได้เพียงเสี้ยววินาที จนทำเอาฉันถึงกับยิ้มเจื่อนพลางถอยหลังหลบไปสองก้าว
“เป็นยังไงบ้างคะ หมอว่าไงบ้าง” ฉันเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยท่าทางอยากรู้ สายตาก็กวาดมองตามบาดแผลและผ้าสีขาวที่ปิดทับอย่างนึกเป็นห่วง
ใจหนึ่งก็อดที่จะชื่นชมในความหล่อดูดีตรงสเปคไม่ได้ แต่ความรู้สึกหลัก ๆ ก็คือความเป็นห่วงและรู้สึกผิดมากกว่า เพราะฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อหนุ่มหล่อคนนี้ต้องเจ็บตัว
“ก็ไม่ได้เป็นไรมาก แค่ทำแผลเฉย ๆ” เสียงเข้มตอบปัดที่ดูออกตั้งแต่แรกว่าเขาคงรำคาญฉันเต็มทน
“ฉันขอโทษอีกครั้งนะคะ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“ครับ งั้นกลับละนะ ถ้าอยากรับผิดชอบก็ฝากจ่ายค่ารักษาด้วยแล้วกัน” พูดจบ ร่างสูงก็เดินผ่านไปราวกับรอเวลานี้มาเต็มทน
“อ๊ะ...เดี๋ยวสิ คุณ...”
ขายาวก้าวฉับเดินออกไปนอกอาคารอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงเรียกรั้งของฉันเลยแม้แต่น้อย พอตั้งใจจะเดินตามไปก็ไม่เห็นกระทั่งเงา จนแล้วจนเล่าจึงได้ตัดสินใจกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม ก่อนที่ลมหายใจจะพรั่งพรูยาวเหยียด ที่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่กำลังถาโถมอยู่ในใจ
“เฮ้อ...คุณเนื้อคู่ไปซะแล้วอ่า ยังไม่ได้ถามชื่อเลย”
“ฉันว่าเขาไม่ใช่เนื้อคู่ของแกว่ะณิน น่าจะเป็นคู่กัดมหาประลัยมากกว่า!”
มือของเข็มตบเบา ๆ ลงมาที่ไหล่ข้างขวา มันเหมือนเป็นการปลอบโยนอยู่นัย ๆ หากแต่เสียงหัวเราะที่ได้ยินกลับทำให้ฉันมั่นใจว่ามันกำลังเยาะเย้ยฉันอยู่ต่างหาก!
“อย่าให้เจออีกครั้งนะ ฉันไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่!”
ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สายตาก็หรี่ลงเพื่อปรับโฟกัสไปยังทางเดินที่คุณเนื้อคู่เพิ่งเดินจากไป เพื่อเป็นการตั้งมั่นกับตัวเองว่าหากฉันได้เจอกับเขาคนนั้นอีกครั้งเมื่อไหร่...รับรองว่าสนุกแน่!
“ก่อนจะตามหาเนื้อคู่ไปจ่ายเงินก่อนนะคุณคนสวย เขาประกาศเรียกสิบรอบแล้วแม่คุณ!”
หลายวันผ่านไป
หลังเลิกเรียนคาบวิชาโหดหิน อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำก่อนจะแยกย้ายกับเพื่อนสนิท ก็คือการขับรถมาส่งเจ้าหล่อนหาแฟนหนุ่มที่ตึกคณะนิเทศ
วันนี้เข็มไม่ได้เอารถมา ฉันเลยอาสาที่จะมาส่งเข็มที่ตึกคณะนิเทศ เพราะแฟนของเข็มเรียนอยู่คณะนี้ แถมยังเป็นรุ่นน้องเรียนปีหนึ่งอีกต่างหาก
“ถึงแล้วค่าคุณนาย!” ทันทีที่ล้อรถจอดเทียบหน้าตึกสูงใหญ่ ฉันก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังหยิบแป้งตลับขึ้นมาตบทับบนใบหน้า ตามมาด้วยลิปสติกสีฉ่ำวาวปิดท้าย “แหม สวยแล้วค่าคุณนาย จะเติมอะไรเยอะแยะ”
“รู้แล้วว่าสวย แต่มันสวยได้อีกไงคะคุณณิน แล้วอีกอย่างมีแฟนเด็กก็ต้องหมั่นเช็กเบ้าหน้าป้ะ”
ฉันถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น อาจจะสงสัยกันว่าทำไมถึงใช้คำว่าแฟนเด็ก ความจริงแล้วฉันกับยัยเข็มน่ะอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว เทียบเท่ากับการอยู่ชั้นปีที่สามนั่นแหละ แต่เนื่องด้วยทั้งฉันและเข็มเราสองคนต่างก็ซิ่วย้ายมาเรียนคณะบริหารพร้อมกัน เลยทำให้เรียนช้ากว่าเพื่อน ๆ อย่างที่ควร
ก็เลยกลายเป็นว่าฉันและยัยเข็มเป็นเจ๊ของชาวคณะชั้นปีสอง หรือที่ใครต่อใครต่างก็เรียกว่า ‘อีแม่’ นั่นแหละ
“ไปละ เบื่อแก ไปหาผู้ดีกว่า บาย!”
“ฝากถามเกมด้วยว่ามีเพื่อนหล่อ ๆ แนะนำไหม ช่วยโปรโมตทีว่าฉันโสดมาก!” ก่อนที่เข็มจะเดินลงจากรถ ฉันก็ไม่วายทิ้งท้ายขายตัวเองสักหน่อย แม้ว่าปากจะหัวเราะขันแต่ลึก ๆ แล้วก็แอบคิดจริงอยู่เหมือนกัน
“ให้มันจริง พอเขามาจีบก็ไม่สน! ฉันไปละ บาย”
ฉันพยักหน้าตอบรับก่อนที่เข็มจะเดินลงจากรถไป ทำให้ฉันรีบเคลื่อนตัวรถค่อย ๆ ขับออกไปตามหนทางอย่างเชื่องช้า เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีเหล่านักศึกษาที่เดินข้ามไปข้ามมาเป็นจำนวนมาก
ทว่าจังหวะที่ฉันกำลังจะขับเคลื่อนออกไปจนพ้นรัศมีของตึกคณะนิเทศ หางตาดันเหลือบไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์ทรงสูงคุ้นตาคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างตึกสูงใหญ่
รอยขีดข่วนเล็ก ๆ รอบตัวรถสีดำเงาเป็นเครื่องย้ำเตือนทำให้ฉันรีบเหยียบเบรกและตัดสินใจหาที่จอด ไม่กล้าปักใจเชื่ออย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันใช่รถคันนั้นที่กำลังนึกถึงอยู่หรือไม่ แต่อย่างน้อย ๆ ถ้าจอดรอเจ้าของกลับมาก็คงทำให้ได้คำตอบดีกว่าการคิดไปเองคนเดียว
ไม่รอช้าฉันรีบจอดรถใต้ต้นไม้ก่อนจะเดินลงไปรอที่ร้านน้ำปั่นใกล้ ๆ ขณะที่สายตาก็จับจ้องรอคอยเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นกลับมา ภายในใจก็ได้แต่หวังว่าขอให้คนคนนั้นเป็นคนที่ฉันกำลังนึกถึง
“ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน บาย!”
“ขับรถดี ๆ นะโมนา อย่าซิ่งนักล่ะ”
“ค่า คุณกวิน รับทราบ!”
บทสนทนาของคนสองคนดังขึ้นกระทบโสตประสาท ทำให้ฉันหันไปมองตามสัญชาตญาณ กระทั่งพบว่าบุคคลที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นคือคนที่ฉันคิดไว้จริง ๆ
คุณเนื้อคู่!
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เสียงเข้มของคนที่คิดไว้เอ่ยบอกกับผู้หญิงคนนั้นจนเธอเดินจากไป และหลังจากนั้นคุณเนื้อคู่ก็เดินตรงมาทางฉัน ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับพื้นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ที่ฉันเพ่งเล็งไว้ตั้งแต่ต้น
ความคิดนับล้านตีพันกันจนยุ่ง ไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง แต่จังหวะการก้าวเดินอันรวดเร็วของเขาคนนั้นทำให้ฉันต้องรีบตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เพื่อหวังให้เขาหยุดการกระทำและหันมาสนใจฉันที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้
“คุณ! คุณเนื้อคู่อย่าเพิ่งไปค่ะ รอด้วย!” การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีคือการร้องเรียกเขา ตามมาด้วยกันสาวเท้าวิ่งเข้าไปหาคนตัวโตที่ตอนนี้มีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาชะงักฝีเท้าหยุดการเคลื่อนไหว นัยน์ตาคมมองมาด้วยความแปลกใจ ส่วนคิ้วสองข้างก็ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม
“นี่คุณ...”
“คุณเรียนอยู่คณะนี้เหรอคะ โชคดีสุด ๆ เลยอะไม่คิดว่าจะได้เจอนะเนี่ย คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันขอไปหยิบยาก่อน นี่พกติดตัวตลอดเลยนะเนี่ย รอแป๊บ” ฉันเอ่ยปากโพล่งบอกเสร็จสรรพก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อหยิบของบางอย่าง
กระทั่งเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคุณเนื้อคู่ก็รีบชูถุงกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงพยาบาล และส่งยื่นไปให้คนตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังชะงักค้าง ราวกับว่าตกตะลึงกับการปรากฏตัวของฉันไม่หาย
“ยาค่ะ วันนั้นคุณรีบกลับไปก่อนอะ มันมียาแก้ปวดด้วยนะ ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเอาไปให้คุณที่ไหนก็เลยพกติดตัวไว้ตลอดเลย เผื่อบังเอิญได้เจอกัน แล้วก็บังเอิญจริง ๆ ไม่คิดเลยนะคะเนี่ยว่าฉันจะได้เจอคุณที่นี่อะ” เมื่อเห็นว่าคนตัวโตยังยืนนิ่งไม่ยอมรับสิ่งที่ฉันส่งยื่นไป ก็ทำให้ฉันตัดสินใจใช้ปลายถุงเกี่ยวกับนิ้วเรียวของเขาเอาไว้ ก่อนจะรีบสาธยายถึงความบังเอิญที่ไม่ทันคาดคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างน่าตกใจแบบนี้
“…”
“แล้วคุณชื่ออะไรอ่า ฉันชื่อณินนะ ณินที่มาจากคำว่าญาณิน ไม่ใช่จากคำว่านินจาอะ” ความเงียบของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ความอยากรู้จักลดน้อยลงสักนิด ฉันแนะนำตัวเองก่อนพร้อมกับการอธิบายถึงที่มาของคำว่า ‘ณิน’ ให้เขารับรู้ เพราะโดยส่วนมากใครหลาย ๆ คนก็คงแปลกใจทั้งนั้นว่ามันมาจากอะไรกันแน่
อย่างเพื่อนในคณะก็ชอบเรียกฉันว่านินจากันทั้งนั้นจนมันกลายเป็นฉายาและชื่อที่เรียกติดปากกันไปหมดแล้ว
“...” ไร้ซึ่งคำตอบ มันมีเพียงเสียงถอนหายใจที่ดังออกมา พร้อมกับดวงตาคมคู่นั้นที่ตวัดมองผ่านไป
“แล้วคุณเรียนอยู่ปีไหนอะ จริง ๆ ฉันอายุยี่สิบเอ็ดนะแต่ว่าอยู่ปีสอง พอดีว่าซิ่วมาอะเลยได้เรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน คุณน่าจะเป็นน้องฉันแน่เลยใช่ป้ะ” จากการคาดเดาก็คงคิดว่าคุณเนื้อคู่น่าจะอายุน้อยกว่าฉันนั่นแหละ ดูจากการใส่เนคไทและเข็มขัดของมอแล้วน่าจะอยู่ปีหนึ่งแหง ๆ
ใคร ๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น เวลาเข้าเรียนใหม่ ๆ ก็คงแต่งตัวถูกระเบียบจัดเต็ม แต่มีอย่างหนึ่งที่ฉันขอค้านก็คือใบหน้าของคุณเนื้อคู่ที่มันดูหงุดหงิด และไม่มีความอ่อนน้อมเหมือนเด็กใหม่เลยสักนิด
วีนเหวี่ยง เย็นชา รำคาญ...ครบจบในคนคนเดียว!
“อ๊ะ...จะไปไหน อย่าเพิ่งไปสิ ยังไม่ได้บอกชื่อเลยนะ” ฉันรีบยกมือห้ามและขยับตัวไปขวางทางเดินเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง
“กวิน”
“ฮะ?” เสียงร้องออกมาด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับใบหน้าที่ตอนนี้เหลอหลาบ่งบอกว่ากำลังงงขั้นสุด
“ชื่อกวิน เรียนนิเทศ อยู่ปีหนึ่ง เด็กกว่าคุณ แค่นี้ใช่ไหมที่อยากรู้”
“อ่อ...อ๊ะ! เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป” ฉันพยักหน้ารับหงึก ๆ ในหัวก็กำลังประมวลถึงข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาหมาด ๆ แต่ไม่นานก็ต้องรีบดึงสติกลับมา เพราะคนตรงหน้ากำลังจะสาวเท้าเดินเลี่ยงออกไปอีกครั้ง แถมครั้งนี้เขายังแสดงสีหน้าและท่าทางที่ไม่พอใจอย่างถึงที่สุดอีกด้วย
“คุณมีอะไรอีกครับ อยากรู้อะไรอีก อ้อ...ขอบคุณมากครับสำหรับความรับผิดชอบและก็ยานี่ ขอบคุณครับ ขอตัว”
“ไม่ได้อยากได้ยินคำขอบคุณสักหน่อย แหม...แล้วดูเรียกสิมาคงมาคุณอะไร เรียกพี่ณินก็ได้จ้ะน้องกวิน คนกันเองอะเนอะ” ฉันสะบัดมือไปมาพลางป้องปากหัวเราะเหมือนนักแสดงตามละครหลังข่าว ใช้จริตมารยาหวังตีเนียนเพิ่มความสนิทกับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ให้ได้มากที่สุด
“ครับ มีอะไรอีกไหมครับ ผมรีบ”
“มี มีจ้ะ” ท่าทางรำคาญของอีกฝ่ายทำให้ฉันนึกหมั่นไส้ แต่ก็ทำได้เพียงกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ และแสดงออกผ่านรอยยิ้มแป้นกว้าง ๆ ออกไปแทน
“ครับ?”
“เอ่อคือ เอ่อ...อะไรดีวะ…” พอถูกสายตาคมจดจ้องก็ทำให้ไปไม่เป็น
เหตุผลร้อยแปดที่เพียรคิดอยู่ ๆ หายลับดับวูบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือนอกจากความว่างเปล่า
“ถ้าไม่พูดผมไปนะ”
“คือรถพี่เสียอะ! น้องช่วยพี่หน่อยสิ พี่ไม่รู้จะทำยังไงดี เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว โสดสนิทไม่มีคนคุย นี่ก็ป่วยไม่ค่อยสบายด้วย ไอค้อกไอแค้ก ไอดีวายเอเอ็นไอเอ็น น้องกวินพอจะช่วยพี่ได้ป้ะคะ” แกล้งกระแอมเหมือนคนป่วยนิด ๆ พร้อมกับส่งสายตาหยอด ๆ ไปให้ อยากจะตกรางวัลให้ตัวเองด้วยกระเป๋าสักใบจริง ๆ ว่าการแสดงของฉันมันล้ำเลิศขนาดนี้
“ยังไงนะ” คนตัวสูงเลิกคิ้วมองฉันอย่างพิจารณา ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจกับคำพูดเมื่อกี้นี้เลยสักนิด การกระทำเหล่านั้นจึงทำให้ฉันต้องปัดตกการจีบเสี่ยว ๆ นั้นไปโดยปริยาย ก่อนจะปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติเพื่อเข้าสู่โหมดจริงจังมากที่สุด
“อะแฮ่ม! คือรถพี่เสีย มันเป็นอะไรก็ไม่รู้อะ น้องพอจะช่วยพี่ได้บ้างเปล่า พี่ไม่รู้จะทำไงแล้วจริง ๆ ไม่รู้เรื่องรถด้วย เบอร์โทรช่างก็ไม่มี จะโทรหาเพื่อนก็เกรงใจอะ นี่พี่เจอน้องพอดีเลยอยากมาขอความช่วยเหลือ”
“แล้วไม่เกรงใจผมบ้างเหรอ”
ไอ้เด็กบ้านี่...ฉันพูดคำคำนี้ในใจออกมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายตอบโต้กลับมาแบบนั้น
“ก็...”
“หน้ามอมีร้านซ่อมอยู่ เดี๋ยวพี่ไปกับผมแล้วกัน ไปบอกอาการกับช่าง เดี๋ยวช่างคงให้รถมายกไปแหละ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนตรงหน้าเดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองกระทั่งขับมาจอดเทียบข้างลำตัว โดยที่ฉันยังคงมึนงงยืนนิ่งเพราะยังคิดตามสิ่งที่เขาพูดไม่ทัน
เมื่อกี้เขาว่าไงนะ?
“ขึ้นดิ ไปหาช่างกัน”
“ฮะ?”
“เร็วดิพี่ ผมไม่ได้ว่างทั้งวันนะ ขึ้นรถแล้วไปหาช่างกัน!”
ฉันตอบรับและรีบพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะลนลานรีบขึ้นนั่งซ้อนท้ายที่รถทรงสูงด้วยความยากลำบาก
โชคดีมากที่ฉันไม่ได้ใส่กระโปรงทรงเออย่างที่ชอบใส่บ่อย ๆ วันนี้ฉันใส่กระโปรงพลีทขนาดยาวเหนือเข่าเล็กน้อย มันจึงทำให้สะดวกต่อการซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ๆ แบบนี้หลายเท่า
แต่สิ่งที่ฉันคิดว่าโชคร้ายกำลังจะมาเยือนก็คือคำตอบที่ต้องอธิบายกับช่างนี่แหละ จะหาข้ออ้างอะไรมาพูดดีวะเนี่ย รถก็ปกติดีทุกอย่าง แค่อยากหาเรื่องชวนคุณเนื้อคู่คุยเฉย ๆ
ไอ้ณินอยากจะบ้า!
