กลิ่นนวล

43.0K · จบแล้ว
ชนิตร์นันท์
33
บท
1.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

พ่อปาน(หลวงธรณีพิทักษ์) - นวล(แม่ค้าขายปลาในตลาด) ‘ปาน’ ได้รับมอบหมายจากคุณพระนพ ให้ตรวจตราว่าชาวบ้านถูกเอารัดเอาเปรียบหรือไม่ ทางที่จะรู้ได้กว้างคือต้องเข้าไปที่ตลาด เพราะว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมด ‘นวล’ แม่ค้าขายปลา เกิดเป็นคนจนยังไม่พอ ยังจะถูกย่ำยีจากนายเงิน ในเมื่อขายปลาผ่อนที่นาไม่ไหว นวลจึงคิดขายตัวเองเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น แต่คนซื้อนี่สิ เลือกได้หรือต้องจำใจขาย เมื่อกลิ่นคาวปลาหอมหวนจนใจชายระส่ำ ++++ “แล้วพี่ไม่ต้องรักหรือ” “รักสิ สำหรับพี่ เรียกว่า ‘รักแรกพบ’ นวลเล่า มองพี่แบบนี้ นวลก็รักพี่เหมือนกันใช่หรือไม่” “ฉัน… เอ่อ... ฉันไม่รู้จ้ะ ฉันไม่เคยรักใคร” “พี่จะสอนให้นวลรักเอง” “สอนอย่างไร” “สอนอย่างนี้” สิ้นคำพูดร่างอรชรก็ถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด และปานก็สอนให้นวลรู้ว่ารักเป็นเช่นไร ‘รัก’ ที่เริ่มต้นจากแรกพบ และกลายเป็น ‘รัก’ ที่ต้องการปกป้องดูแล ‘รัก’ ที่ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ไม่ใช่เพียงตัว เพราะหมายรวมถึงหัวใจ ‘รัก’ ที่ไม่ใช่เพียงหลงใหลรูปกายภายนอก แต่เป็นความหลงใหล ‘หัวใจ’ ที่เข้มแข็งดวงนี้ ‘รัก’ ที่พร้อมจะร่วมหัวจมท้าย เป็นคู่ผัวตัวเมียกันไปตลอด “พี่รักนวล และพี่จะสอนให้นวลรักพี่”

นิยายรักโรแมนติกนางเอกเก่งตำรวจโรแมนติกพระเอกเก่งนิยายย้อนยุคคนธรรมดายุค70

บทที่ 1 - ปากตลาด มีอะไรก็พูดหมด

ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัด

ดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่

เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมด

เป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบ

คนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรง

ติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้

ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่กลับไม่ดูดำดูดี ไปเข้าพวกกับกำนันเดช เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ปล่อยให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนแก้ปัญหาไปตามยถากรรม

‘พระเกษตรานพคุณ’ ผู้บังคับบัญชาของเขาหมายใจแล้วว่ายังไงก็ต้องหาทางเอาผิดกำนันเดชกับพรรคพวกให้จงได้ เขากับผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่น ในฐานะข้าฯ ของแผ่นดิน จึงมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องช่วยกันกำจัดคนชั่วไม่ให้มีอำนาจคดโกงใครได้

ในเมื่อตั้งรับและเก็บหลักฐานมาหลายเดือนแต่ยังไม่คืบหน้า ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปค้นหาหลักฐานด้วยตัวเองแล้ว

“พี่ปาน เช้าขนาดนี้ ไอ้พวกนั้นมันจะมาเหรอจ๊ะพี่”

‘หลวงธรณีพิทักษ์’ ที่ถูกเรียกว่า ‘ปาน’ มองสบสายตาร้ายๆ ของ ‘ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์’ หรือ ‘เปลว’ น้องชายเพียงคนเดียวของเขา ซึ่งติดตามมารับราชการในสังกัดนายเดียวกัน

ทีแรกเมื่อน้องชายบอกว่าอยากรับราชการเช่นเดียวกัน เขากลับคิดว่าความใจกล้าบ้าบิ่นของเปลวจะทำให้ขาดความรอบคอบและอดทนต่อสิ่งใดไม่ได้นาน แต่ก็ห้ามไม่ได้ ในเมื่อมีความตั้งใจก็ควรจะสนับสนุน เพราะหากเปลวสามารถเป็นข้าราชการที่ดีได้ ก็เท่ากับว่าบ้านเมืองจะมีคนดีอีกหนึ่งคนมาช่วยกันปกป้อง

และหลายปีที่ทำงานรับใช้คุณพระนพมาด้วยกัน เปลวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ‘ความใจกล้าบ้าบิ่น’ ก็มีแง่ดี เพราะเปลวไม่ยอมใคร แต่ก็ไม่ได้ก้าวร้าว ซึ่งเขาที่เป็นพี่ชายและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง แค่สั่งการหรืออยากรู้อะไรเพิ่มเติม เปลวก็จะเสาะแสวงหาคำตอบมาจนได้ ประเภทถาม 1 ได้ 10 เพราะทุกอย่างจะครบถ้วน โดยไม่ต้องถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน ใครให้มา รู้แต่เพียงว่าเปลวหาข้อมูลมาให้ได้ก็พอแล้ว

เปลวจึงไม่ต่างจากเป็นมือขวา ส่วน ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘ขวัญ’ ที่ตอนนี้ไปตามซุ่มอยู่ที่รั้วบ้านกำนันเดช ก็ไม่ต่างจากเป็นมือซ้าย และเพราะมีผู้ช่วยที่ดีถึง 2 คน เขาจึงตั้งใจว่าจะไม่ทำให้คุณพระนพผิดหวังเด็ดขาด

อีกไม่นาน การกวาดล้างอิทธิพลของกำนันเดชจะต้องสำเร็จจงได้

“พี่แน่ใจว่ามันต้องมาตอนเช้านะพ่อเปลว เพราะหลายวันแล้วที่เราไม่เจอพวกมันทั้งที่ตลาดเย็น ทั้งตามหมู่บ้าน ก็เหลือที่ตลาดเช้านี่ล่ะ ยังไงมันก็ต้องมาเก็บดอกเก็บผลไปให้กำนันจนได้สิ แต่ถ้าไม่เจออีก เราค่อยกลับไปคิดหาวิธีกันใหม่ พี่เชื่อว่าต้องมีสักคนที่พร้อมจะฮึดสู้ไปกับพวกเรา”

ปานหมายถึงว่าหลายวันแล้วที่ไปซุ่มดูอยู่ที่ตลาดเย็นท้ายน้ำ และให้ลูกน้องเดินตรวจตราตามหมู่บ้าน เพื่อดูว่าลูกน้องกำนันจะมารีดไถดอกเบี้ยหรือมาข่มขู่ชาวบ้านบ้างหรือไม่

แต่ไอ้พวกนี้มันเหมือนนกรู้ พอมันรู้ว่าพวกเขามาซุ่มดู จากที่เคยเห็นเดินกร่างกลางตลาดเย็น ก็กลายเป็นหายไปหมด และเมื่อสอบถามจากชาวบ้านก็รู้ว่ายังมีอีกสถานที่ที่ลูกน้องกำนันมักไป นั่นคือ ตลาดเช้ากลางหมู่บ้าน

ดังนั้นเขาแน่ใจว่าพวกมันต้องมาที่ตลาดเช้าอย่างแน่นอน เพราะเหลือเพียงช่องทางเดียวที่มันจะรีดไถและข่มขู่ชาวบ้านได้

ถ้ารอบเช้ายังไม่เจอพวกมันอีก เขาจะไปปรึกษาคุณพระ และหาวิธีจับให้มั่นคั้นให้ตาย แต่ที่สำคัญสุดคือต้องทำให้ชาวบ้านไว้เนื้อเชื่อใจ จนยอมจะเป็นพยานในความผิดเหล่านั้นด้วย เพราะหลายเดือนแล้วที่มีแต่การกล่าวหาลอยๆ พอขอให้ยืนยันลงชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร ชาวบ้านก็ล่าถอยกันไปหมด

ซึ่งคุณพระนพเองท่านก็บอกว่าเข้าใจชาวบ้านเหล่านั้น เพราะอิทธิพลของกำนันเดชไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เกิดขึ้นมานานนับสิบปี แล้วนับประสาอะไรที่ท่านและพวกเขาจะถอนรากถอนโคนได้โดยง่าย เท่าที่หยัดยืนอยู่ในพื้นที่ได้นานหลายเดือน ก็เท่ากับทำสำเร็จไปได้เปลาะหนึ่งแล้ว อีกไม่นานท่านเชื่อว่าจะต้องมีคนที่กล้าหาญที่จะต่อกรกับกำนันเดชอย่างแน่นอน

ซึ่งหลายเดือนแล้วที่มาอยู่ ณ ชานเมืองแห่งนี้ คนที่กล้าหาญเข้าข่ายก็คือ ‘แม่จันทร์’ เมียคุณพระนพ