บทที่ 1 ร่วมหอกับชายแปลกหน้า NC
เสียงดนตรีครึกครื้นอยู่ในผับชื่อดังพร้อมกับไฟหลากสีกำลังส่องประกายวิบวับไปมาอยู่กลางอากาศ ปรากฏให้เห็นร่างบางของใครบางคนกำลังโยกย้ายส่ายสะโพกไปมาอย่างสนุกสนาน โดยที่มีสายตาคมกริบของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองมายังเธออย่างหมายมาด
“วู้วววว สนุกจังเลย” จันจ้าวร้องออกมาเสียงดัง ขณะที่ยังคงเต้นอย่างเมามัน มือบางถือแก้วยกขึ้นกรอกแอลกอฮอล์ใส่ปากอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเมามายได้ที่ซึ่งเป็นจังหวะดีที่เขาจะได้เข้าไปทำความรู้จักและพาขึ้นห้องเสียเลย ไม่รอช้าชายหนุ่มวางแก้วบรั่นดีราคาแพงในมือลง จากนั้นจึงก้าวเดินตรงไปหาสาวสวยคนนั้นทันใด
“คนสวยมาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ” ทันใดนั้นเองเสียงกระซิบที่ดังขึ้นอยู่ข้างหูทำให้จันจ้าวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองจึงเห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังโน้มเข้ามาใกล้
“นายเป็นใคร” จันจ้าวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“ผมชื่อภูมิ เห็นคุณคนสวยมาเที่ยวคนเดียวกลัวจะเหงาเลยเข้ามาหาเผื่อคุณอยากมีเพื่อนคุย” เขายกมุมปากส่งให้เธอบางๆ หมายจะโปรยเสน่ห์ใส่อย่างเต็มที่
“ไม่จำเป็นหรอก” หญิงสาวเบ้ปากเข้าหากัน จริงๆเธอพอรู้ตัวอยู่แล้วแหละว่าเป็นคนสวย อีกทั้งยังเป็นทายาทเจ้าของบริษัทชื่อดังในประเทศไทย ไม่ว่าใครต่างก็อยากเข้าหาเป็นธรรมดา แต่จันจ้าวไม่เคยปล่อยกายปล่อยใจให้ใครง่ายๆหรอกนะ
‘ฉันไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย ถ้าถูกใจก็พร้อมไปต่อ แต่ที่ผ่านมายังไม่เจอคนถูกใจสักทีเนี่ยสิเลยไม่เคยได้ไปต่อกับใครเลย’ จันจ้าวคิดในใจก่อนจะหันมาสนใจแก้วสีทองในมือต่อ หันหน้าหนีคนที่พยายามเข้ามาทำความรู้จักพร้อมกับหมุนตัวหันหลังหมายจะก้าวเดินหนีไปอีกทาง แต่แล้วผู้ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อภูมิกลับยื่นมือหนาของเขามาจับแขนเรียวของเธอเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอจากไปง่ายๆ
ซ่าาา!
น้ำวิสกี้สีทองที่อยู่ในแก้วถูกสาดไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มทันทีที่เขาแตะต้องเธอ ภูมินิ่งไปเล็กน้อยด้วยความตกใจไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำกับเขาแบบนี้
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” จันจ้าวตวัดน้ำเสียงใส่คนตรงหน้า ก่อนจะสะบัดหน้าก้าวเดินออกไป ท่าทางที่หยิ่งผยองและการกระทำที่เธอทำกับเขาทำให้ภูมิรู้สึกหัวเสียไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าตามจันจ้าวออกไปข้างนอกต่อเพราะแค่นี้เขาก็รู้สึกอับอายเกินจะทนแล้วเมื่อเห็นสายตาของผู้คนในผับที่กำลังมองมาด้วยความสนใจ
“ปวดหัวจัง” จันจ้าวเดินโซเซออกมาจากผับชื่อดังใจกลางเมืองหลวง มือบางควานหาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังในกระเป๋าแบรนด์เนมเพื่อโทรบอกให้คนขับรถเข้ามารับเธอ
ตุ้บ!
เพราะความรีบร้อนทำให้กระเป๋าในมือหล่นลงไปบนพื้น หญิงสาวจึงก้มลงเก็บแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีก็ทำให้เธอแทบสร่างเมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้กำลังยืนอยู่ในป่าไผ่ที่เต็มไปด้วยต้นไผ่สูงชัน นอกจากต้นไผ่ที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย
“อะไรกันเนี่ย” จันจ้าวอุทานออกมาเบาๆด้วยความตกใจ พยายามส่งสายตามองหาทางออก แต่ความมืดในยามค่ำคืนที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณทำให้เธอไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้เลย
หญิงสาวรู้สึกใจเสียไม่น้อย แต่กระนั้นก็ไม่ได้ละความพยายาม คนอย่างจันจ้าวไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆหรอก แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะไม่เป็นใจ เพราะจู่ๆได้มีม่านหมอกหนาแผ่เข้ามาปกคลุมบริเวณที่เธอยืนอยู่ จันจ้าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะโดนม่านหมอกกลืนหายเข้าไปข้างในนั้น!
แสงสว่างที่ส่องมาจากภายในม่านหมอกไม่ต่างอะไรจากแสงไฟนับร้อยดวงที่ส่องกระทบเข้ามาในดวงตาทำให้จันจ้าวต้องหลับตาปี๋ ขณะที่หญิงสาวดำดิ่งลงไปในห้วงของความจริงอันไร้จุดหมาย ความเจ็บปวดที่บังเกิดขึ้นตามร่างกายทำให้เธอต้องขมวดคิ้วเข้าหากันมุ่น
จันจ้าวรู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายของเธอกำลังไหวโยกไปมาราวกับแผ่นดินไหวก็มิปาน ทว่าเสียงหอบกระเส่าที่ดังขึ้นอยู่ข้างใบหูพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางร่างทำให้หญิงสาวพึมพำออกมาเสียงเบา
“อือ เจ็บ”
“เจ็บก็ต้องทนนี่คือชะตาที่เจ้าต้องยอมรับ ซี้ด” เสียงห้าวที่เจือไปด้วยความโกรธผสานกับเสียงครวญครางด้วยความเสียวซ่านทำให้จันจ้าวรีบเปิดเปลือกตาขึ้นในทันใด สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือใบหน้าคมสันของชายผู้หนึ่งกำลังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังมาให้นางอยู่
“กรี๊ดดดดดด! นายเป็นใครกำลังทำอะไรฉัน” หญิงสาวอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องออกมาดังลั่น ยิ่งได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่ากำยำที่กำลังหยัดสะโพกเข้าหาเธออย่างเร่าร้อนยิ่งทำให้ตกใจจนแทบสิ้นสติ
“อย่ามาทำตัวไร้เดียงสาเสียให้ยาก ข้าไม่หลงกลสตรีเจ้าเล่ห์เช่นเจ้าหรอก!” ชายหนุ่มตวาดใส่คนใต้ร่างเสียงดังลั่น ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานของนางเขายิ่งสะใจ ไม่รอช้าจึงหยัดกายลุกขึ้นจับขาเรียวเสลาแยกกว้างออกจากกันพร้อมกระโจนเข้าหาจันจ้าวอย่างต่อเนื่อง
“ไอ้บ้า! มันเจ็บ เอาออกไปนะ!” จันจ้าวขบกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บแปลบ มือเล็กทั้งหยิกทั้งข่วนใส่คนบนร่าง ท่าทางที่เปลี่ยนไปของนางทำให้คิ้วกระบี่ยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
ก่อนหน้านี้หวงซานซานเป็นฝ่ายเข้ามายั่วยวนเขาเองแท้ๆ ทว่าเหตุใดตอนนี้นางถึงได้ทำตัวดีดดิ้นต่อต้านเขากันเล่า
“เจ้าอยากเป็นเมียของข้าจนถึงกับแย่งวาสนาของน้องสาว สตรีอย่างเจ้าช่างน่ารังเกียจ” จางอี้เหลียงรวบข้อมือเล็กที่กำลังประทุษร้ายเขาไปวางไว้เหนือศีรษะพร้อมทั้งส่งสายตามืดดำมาให้
“พูดเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันจะไปแย่งวาสนาใคร” จันจ้าวแหวใส่คนตัวโต คนที่มีทุกอย่างพร้อมอย่างทายาทไฮโซอันดับหนึ่งในประเทศอย่างเธอน่ะเหรอที่จะแย่งวาสนาใคร ในเมื่อมีแต่คนอยากเป็นเธอกันทั้งนั้น
“เกลียดนักก็ออกไปจากตัวของฉันสิ!” แม้จะแปลกใจกับคำพูดแปลกๆของเขา แต่คนอย่างจันจ้าวยอมง่ายๆซะที่ไหนกัน ในเมื่อเขาตวาดใส่เธอ เธอก็ตะโกนใส่หน้าของเขากลับเหมือนกัน
ดวงตาคมกริบดุดันวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัวพลางหลุบสายตาลงต่ำมองส่วนที่ยังเชื่อมประสานกันอยู่ จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าจัดการกระแทกเอวเข้าหาจนร่างเล็กหัวสั่นหัวคลอน
“อ๊ะ! นายเบาๆสิ” เท้าทั้งสองข้างของจันจ้าวจิกเกร็งเข้าหากัน ความรู้สึกเจ็บปวดผสานความเสียวที่ได้รับทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออก อยากออกปากไล่แต่อีกใจก็โหยหาต้องการให้เขาสานต่อสิ่งที่ค้างคาให้มันจบๆไป สุดท้ายจันจ้าวก็ต้องแพ้ความรู้สึกของตัวเอง เลิกต่อต้านคนตัวโตพร้อมกับค่อยๆปิดเปลือกตาลง จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงคำรามแหบห้าวที่ดังขึ้นพร้อมกับอะไรบางอย่างอุ่นร้อนที่พุ่งฉีดเข้ามาในช่องทางรักจนรู้สึกอุ่นวาบไปทั่วช่องท้อง
เสียงลมหายใจหอบกระเส่าพร้อมกับใบหน้าที่ซบลงอยู่บนอกนุ่มทำให้จันจ้าวคิดว่าความทรมานที่มีได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ไม่นานก็ต้องพบว่าเธอคิดผิดเมื่อคนตัวโตขยับสะโพกเข้าหาเธออีกครั้ง
“อ๊ายยย พอแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว” จันจ้าวรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ แต่คำขอร้องของเธอใช้ไม่ได้ผลกับจางอี้เหลียง ยิ่งจันจ้าวดิ้นเขาก็ยิ่งรัวสะโพกเข้าหาเธอ ในขณะที่เปลือกตาของจันจ้าวค่อยๆปิดลง
แปะๆๆ
“หวงซานซานตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ ข้าสั่งให้เจ้าตื่นขึ้นมาอย่างไรเล่า” มือหนาตีไปที่ข้างแก้มขาวเบาๆ แต่กระนั้นหวงซานซานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปทั่วเรือนกายบอบบางที่ปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำๆด้วยฝีมือของเขา ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆด้วยความหงุดหงิด
“หนนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน แต่จำไว้ว่าคนอย่างเจ้าไม่มีวันได้ครอบครองหัวใจของข้า” กล่าวเสียงเข้มราวกับจะย้ำเตือนให้คนตัวเล็กรับรู้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะหมดสติไปแล้วก็ตาม
ร่างสูงถอดถอนความแข็งแรงออกจากช่องทางรักอันคับแน่นพร้อมกับหยิบเสื้อคลุมตัวยาวมาสวมใส่ ก่อนจากไปไม่ลืมที่จะคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างกายเปลือยเปล่าของนางอย่างลวกๆ จากนั้นจึงเดินหุนหันออกไปจากห้องโดยไม่เหลียวกลับมามองคนที่นอนหมดสติอีกเลย
ความเปียกชื้นที่แตะลงบนใบหน้าและผิวกายทำให้คนที่กำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติค่อยๆรู้สึกตัวตื่น ทันทีที่เปลือกตาบางเปิดขึ้นเห็นสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างขอบเตียงในมือถือผ้าขนหนูกำลังซับไปตามลำคอของเธออยู่ จันจ้าวจึงรีบปัดมือของเธอคนนั้นออกและลุกขึ้นเขยิบไปจนชิดหัวเตียงพร้อมส่งสายตามองอย่างหวาดระแวง
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เธอเป็นใครกัน”
หนิงหยู่กะพริบตาปริบๆมองเจ้านายด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดจางฮูหยินถึงได้ถามคำถามแปลกๆพร้อมกับทำท่าเหมือนไม่รู้จักนางด้วยเล่า
“บ่าวชื่อหนิงหยู่เป็นสาวใช้ที่ติดตามจางฮูหยินมาจากบ้านเดิมเจ้าค่ะ”
“จางฮูหยินงั้นหรือ…” จันจ้าวพึมพำเสียงเบาพร้อมกับหันไปมองโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกทองเหลืองตั้งอยู่ ในกระจกนั้นฉายให้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน ทว่าการแต่งกายกลับดูแปลกไป
“ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินมีชื่อว่าหวงซานซานเป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลจางของท่านแม่ทัพจางอี้เหลียงแห่งแคว้นเหยาเจ้าค่ะ”
คำตอบที่ได้รับจากคนที่แนะนำตัวว่าเป็นสาวใช้ของเธอทำให้จันจ้าวใจหายวาบ เหมือนว่าหัวใจของเธอได้หล่นร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ได้แต่อุทานร้องลั่นในใจว่านี่คือเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
“ฉันทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณเหรอ!” และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ยุคไทยโบราณที่เธอเคยเห็นในละครไทยบ้างประปราย แต่เป็นยุคจีนโบราณที่เธอแทบไม่เคยรู้จัก เพราะปกติดูแต่ภาพยนต์ซีรี่ย์จากทางฝั่งอเมริกามากกว่า
“ฮูหยินหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ทะลุมิติอะไรหรือ” หนิงหยู่เอียงคอถามเจ้านายด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นเจ้านายยังคงนั่งนิ่ง ดวงหน้างามฉายชัดถึงความตกใจออกมาอย่างเปิดเผยก็ทำให้หนิงหยู่เริ่มใจเสีย หรือว่าจางฮูหยินจะโดนท่านแม่ทัพทำร้ายจนนางเสียสติไปแล้ว
