ตอนที่ 8 เริ่มต้นค้าขาย
“ชอบขนาดนั้นเลยหรือฉีเอ๋อร์?” จวี้หยางเอ่ยถามบุตรชาย เมื่อพบว่าโจวฉียังเอาแต่เล่นกังหันหมุนไม่หยุด
“สนุกมากขอรับ ฉีเอ๋อร์ชอบมาก!” เด็กน้อยเงยหน้าตอบ ดวงตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยประกายมีความสุข ริมฝีปากแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ลูกชอบก็ดีแล้ว” จวี้หยางเอ่ยพร้อมยกมือขึ้นลูบศีรษะ
กังหันหมุนในมือบุตรชายเป็นนางที่ทำขึ้นมา
ตัวกังหันประกอบเข้าด้วยกันสองส่วน ไผ่ลำเล็กมีรูตรงกลาง และก้านกังหัน
การทำกังหันหมุนไม่ยากเลย ก่อนอื่นเหลาไผ่เป็นรูปกังหันขนาดยาวประมาณนิ้วกลางผู้ใหญ่ จากนั้นเหลาไม้ไผ่ให้กลมเหมือนตะเกียบ เจาะรู้ที่ใบกังหัน เสียบตะเกียบเข้าไปยึดให้แน่น
เมื่อได้แล้วก็นำเชือกมาผูกกับตัวก้านพัดเชือกกับตัวก้านสักยี่สิบสามสิบรอบ แล้วนำเข้าไปประกอบกันกับลำไผ่ชิ้นแรก
หลังหย่อนตัวกังหันลงไปในลำไผ่ แล้วสอดปลายด้ายที่ไม่ได้มัดกับตัวกังหันออกมาทางรูเล็ก นำปลายด้ายมัดเข้ากับหินหรืออะไรก็ได้ที่พอจะใช้มือจับได้
เวลาจะเล่นก็แค่ดึงตัวจับให้ตัวกังหันหมุน ขยับมือเข้าออกปล่อยให้เชือกพันกลับเข้าไปและดึงออกมาใหม่
มองบุตรชายเล่นกังหันหมุนต่ออีกสักพัก จวี้หยางก็หันมาหาคนข้างกาย
“ท่านพร้อมแล้วหรือ?”
อีกฝ่ายพยักหน้าเงียบ ๆ
แล้วทั้งสามคนก็เดินทางออกจากบ้านพร้อมกัน
วันนี้จวี้หยางตั้งใจเดินทางเข้าเมืองพร้อมโจวหลิง หญิงสาวคิดจะนำอ้ายหวี้ที่ทำเมื่อวานไปขาย เพราะเป็นการทำไปขายครั้งแรกจวี้หยางจึงไม่ได้ทำไปเยอะมากนักเพียงหนึ่งตะกร้าแบกหลังเท่านั้น
พอใกล้จะถึงปลายยามเหม่าสามคนพ่อแม่ลูกก็เดินออกจากบ้านพร้อมกัน จวี้หยางหันไปลงกลอนประตูบ้านเหมือนที่เคยทำปกติ จากนั้นมุ่งหน้าสู่ทางเข้าหมู่บ้าน
“โจวหลิงวันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือเหตุใดภรรยาผู้ไม่เอาการเอางานของเจ้าถึงสามารถตื่นแต่เช้าออกจากบ้านมาพร้อมกับเจ้าได้” หญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งเอ่ยถาม
“นั้นสิ คงไม่ใช่ว่าอยากได้ของมีค่ามีราคาถึงได้ยอมตื่นแต่เช้าใช่ไหม?” อีกคนเอ่ยเสริม หันหน้ามาหาจวี้หยาง “อย่าว่าป้าสอนเลยนะ สามีทำงานนอกบ้านกลับมาบ้านเหนื่อย ๆ แทนที่เจ้าจะออกไปเที่ยวเล่นใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย สู้อยู่บ้านดี ๆ ดูแลลูกดูแลบ้านรอสามีไม่ดีกว่าหรือ? สามีเจ้าจะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยมากนักยามกลับมาถึงบ้าน”
“เหล่าหลี่เจ้าพูดถูก” คนแรกหันไปหาคนที่ถูกเรียกว่าเหล่าหลี่ จากนั้นหันมาจวี้หยาง “ป้าเห็นว่าเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันถึงได้เอ่ยปากบอกกล่าว เห็นว่าบ้านพวกเจ้าไม่มีผู้ใหญ่แล้ว บางครั้งจึงอาจจะทำตัวไม่สมกับฐานะตนเองไปบ้าง จวี้หยางเกิดเป็นผู้หญิงควรรู้จักทำงานบ้านรอสามี หุงหาอาหาร เลี้ยงดูบุตร ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่ทำตัวขี้เกียจไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นมองไม่ดีเอาได้”
จวี้หยางมองทั้งสองคนตาปริบ ๆ เผยยิ้มมุมปาก
“ขอบคุณท่านป้าทั้งสองที่ช่วยบอกกล่าวข้อบกพร่องของข้า” ทั้งสองคนเห็นว่าวันนี้จวี้หยางว่านอนสอนง่ายจึงคิดเอ่ยสอนอีกสักประโยคสองประโยค ทว่าประโยคต่อมาของจวี้หยางกับทำทั้งสองหน้าม้าน
“แต่ก่อนท่านป้าจะมาสอนข้าเรื่องการวางตัวในฐานะภรรยาและมารดา ท่านป้าควรสนใจเรื่องในครอบครัวตนเองก่อนไม่ดีกว่าหรือ ข้าจำได้ว่าไม่กี่วันก่อนพวกท่านยังตั้งวงเล่นพนันกันไม่เป็นอันทำงานทำการอยู่เลยไม่ใช่หรือ? กระทั่งสามีกลับมาถึงบ้านข้าวปลาอาหารก็ยังไม่แล้วเสร็จ” จวี้หยางยังคงยิ้ม หญิงสาวยิ้มมองคนทั้งสองที่หลุบตาหนี เอ่ยขึ้นมาอีกประโยคว่า
“เรื่องภายในครอบครัวข้า ข้ารู้ตัวว่าควรทำไม่ควรทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้ท่านป้าทั้งสอดปากเข้ามายุ่งเจ้าค่ะ”
“....”
“ในเมื่อท่านป้าทั้งสองไม่มีเรื่องจะพูดแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” กล่าวจบก็หันไปจับจูงมือบุตรชายตัวน้อย หันหลังเดินหนีออกมา
จวี้หยางส่ายหัวหน่ายใจ
บ้านตนเองก็ใช่ว่าจะจัดการได้ดียังกล้ามาสอดปากเรื่องบ้านคนอื่น ถึงนางจะคลุกตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมานอกจากขึ้นภูเขาไปกับสามีแล้ว ก็ใช่ว่านางจะไม่รู้เรื่องภายในหมู่บ้าน
ขอแค่สนใจเรื่องบ้านอื่นสักนิด ออกมานั่งเล่นหน้าบ้านสักหน่อย เวลาบ้านไหนเกิดเรื่องขึ้นมาไม่ว่าหัวหรือท้ายหมู่บ้านล้วนได้ยินและรู้กันทั้งนั้น
สตรีแต่งงานแล้วถูกจวี้หยางตอกกลับจนบื้อใบ้ พอตั้งสติได้ก็ถึงกับเดือดดาล ก่นด่าอีกฝ่ายในใจว่าไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ สมแล้วที่ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน!!
เอ่ยต่อว่าคนอื่นแล้วเสร็จในใจทั้งสองจึงหันกลับเข้าไปในบ้าน ท่าทางไม่พอใจสุด ๆ
โจวหลิงมองภรรยานิ่ง
ครั้งแรกเลยที่เขาเห็นอีกฝ่ายตอกกลับคนอื่นด้วยวาจาเพียงอย่างเดียว น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ รอยยิ้มมุมปากแต่กลับไปไม่ถึงดวงตา การแสดงออกเช่นนี้ส่งผลให้สตรีสองคนนั้นถึงกับไม่กล้าโต้ตอบ ทำได้เพียงอ้าปากค้างแล้วหุบปากสงบคำ
“มีอะไรหรือ?” จวี้หลายสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาจึงหันไปถาม
โจวหลิงส่ายหัวเบา ๆ “ไม่มีอะไร”
จวี้หยางพยักหน้าเข้าใจไม่เอ่ยถาม
...
จากหมู่บ้านถึงในเมืองใช้เวลาเดินทางประมาณสองเค่อ จากนั้นต่อเดินเท้าต่ออีกประมาณครึ่งเค่อก็จะถึงจุดที่โจวหลิงทำงาน
พอเดินเข้ามาใกล้ท่าเรือแล้วจวี้หยางก็มองเห็นความวุ่นวายทันที ชายร่างใหญ่หลายคนเดินสวนกันไปมา บนบ่าแบกหีบบรรจุของมากมายจากอีกฟากหนึ่งของน่านน้ำ ไม่ก็เป็นของจากเมืองที่ชาวทะเลต้องการซื้อกลับไปยังบ้านของตน
“ตามข้ามา” โจวหลิงเห็นว่าภรรยาเอาแต่กวาดตามอง สายตาเต็มไปด้วยความสนอกสนใจระคนตื่นเต้นจึงเอ่ยออกไป
“อ่ะ อืมได้” หญิงสาวพยักหน้ารับ จับจูงมือบุตรชายเดินตามหลังสามีไป
“เถ้าแก่นางคือภรรยาข้า” โจวหลิงแนะนำจวี้หยางกับอีกฝ่ายนิ่ง
คนถูกเรียกว่าเถ้าแก่พยักหน้ารับ ยกมือขึ้นชี้ไปด้านข้าง บริเวณนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ เหนือโต๊ะเป็นร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
“ตรงนั้นคือที่ของพวกเจ้า เห็นแก่ที่สามีเจ้าทำงานขยันขันแข็ง ค่าเช่าแผงของเจ้าต่อวันคิดอยู่ที่สิบอีแปะ”
“ขอบคุณเถ้าแก่”
จวี้หยางได้ยินมาจากโจวหลิงแล้วว่าเถ้าแก่เจ้าของพื้นที่จะคิดค่าเช่าแผงลอยกับคนที่มาค้าขาย ปกติอีกฝ่ายจะคิดราคาต่อวันอยู่ที่สิบห้าอีแปะ ถึงราคานี้จะเรียกได้ว่าสูงในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับยอดขายในแต่ละวันไม่นับเป็นอะไรเลย
แต่ละวันจะมีเรือเทียบท่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบลำ ลูกเรือและนายเรือหลายร้อยคนต่างเป็นคนมีเงิน ยอดขายแผงลอยแต่ละวันจึงไม่น้อย
หากร้านไหนขายไม่ได้เลยจริง ๆ อย่างน้อยวันนั้นก็มีเงินเข้ามือไม่ต่ำกว่าร้อยอีแปะ
หักลบต้นทุนและค่าเช่าที่ออกอย่างไรก็มีกำไร
นอกจากนี้ใช่ว่าจะมีเพียงชาวทะเลเท่านั้นที่มาจับจ่ายซื้อของ คนงานในเมืองและผู้คนในเมืองก็มักจะเดินมาแถวนี้ด้วยเหมือนกัน
หลังจ่ายค่าเช่าที่เรียบร้อยแล้วจวี้หยางจึงเดินไปจัดของลงบนโต๊ะ สินค้าแปลกใหม่รูปร่างแปลกตา และยังมีเจ้าของร้านเป็นถึงสตรีหน้าตาน่ามองไม่นานก็มีคนเดินเข้าไปหา
“แม่นางไม่ทราบว่าสิ่งนี้คืออะไรหรือ?”
จวี้หยางเผยยิ้มบางส่งไปให้ เอ่ยเสียงติดอ่อนหวานอย่างเอาใจใส่ “สิ่งนี้คืออ้ายหวี้ ของกินเล่นช่วยคลายร้อนเจ้าค่ะ”
