ตอนที่ 1 ตื่นมาในร่างมารดาผู้ร้ายกาจ
“อึก!! อื้อออ!!” อาการปวดตัวส่งผลให้ร่างบนเตียงขมวดคิ้วแน่นพลางขยับตัวตื่นขึ้นมา เพียงแค่พลิกตัวเล็กน้อยอาการปวดแปล๊บตามร่างกายพลันเข้าปะทะ
“บ้าเอ๊ย!! เมื่อคืนฉันทำงานหนักไปหรือไงถึงได้เจ็บไปทั้งตัวแบบนี้” คนบนเตียงขยับปากเอื้อนเอ่ยพยายามเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้น
“...!!” แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
ไม่ใช่เพดานสีขาวเหมือนที่เห็นทุกวัน ตรงหน้าเธอคือหลังคาบ้านทำจากกระเบื้อง คานไม้ และกำแพงบ้านซึ่งทำจากอิฐ? ถูกปาดไปมาไม่เรียบเนียน
จวี้หยางพลันรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ถูกต้องจนลืมเลือนความรู้สึกปวดระบมทั่วร่างไปชั่วขณะ
หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ยกมือขึ้นจับหัวพยายามสลัดอาการไม่สดชื่นออกไป
ความทรงจำสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะกลายมาเป็นอย่างนี้คือ ภาพห้องในอพาร์ทเม้นท์ราคาเช่าไม่กี่ร้อยหยวน ห้องนอนขนาดสองคูณสอง เพราะต้องทำงานหนักอยู่เสมอจวี้หยางจึงไม่มีเวลาว่างมานั่งดูทีวีเสพข่าวบันเทิง ทุก ๆ วันนอกจากออกไปทำงานหาเงินแล้วก็กลับบ้านกินข้าวอาบน้ำเข้านอน ด้วยเหตุนี้ในห้องจวี้หยางจึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากมายนอกจากตู้เย็นและฟูกเอาไว้นอน
“ที่ไหนกัน” ในตอนที่ยังสับสนไม่เข้าใจ จวี้หยางพลันรู้สึกถึงสายตาหนึ่งจ้องมองมา พอสายตากวาดมองจนเห็นว่าเป็นใคร หัวคิ้วซึ่งขมวดเข้าหากันอยู่แล้วยิ่งขยับเข้าหากันแน่นขึ้น
เด็กจากไหน? พ่อแม่เป็นใครทำไมถึงปล่อยออกมาเดินเล่นคนเดียวแบบนี้!! แล้วไหนจะชุดมอมแมมร่างกายผอมกระแหล่งนั่นอีก
ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูก็ไม่ต้องให้เขาเกิดมา!! สงสารเด็กเสียเปล่า!!
จวี้หยางบ่นพึมพำในใจพลางมองสีหน้าหวาดกลัวระคนอยากเข้าใกล้ของเด็กน้อย
สายตานี่หมายความว่ายังไงกัน คงไม่ได้กำลังกลัวเธออยู่ใช่ไหม
แต่เธอไปทำอะไรให้กลัว? จำได้ว่าไม่เคยเห็นหน้าเด็กคนนี้มาก่อนนะ
“อึก” เพียงแค่คิดไตร่ตรองความทรงจำสายหนึ่งพลันหลั่งไหลเข้ามาในหัว ภาพความทรงจำแสนร้ายกาจของสตรีผู้หนึ่ง
จวี้หยางกัดปากแน่นไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมา มือหนึ่งกำเข้าหากันแน่นปรากฏเส้นเลือด ใบหน้าชื้นเหงื่อ กลิ่นสนิมโชยเข้าจมูก
หญิงสาวพยายามข่มกลั้นความรู้สึกคล้ายหัวถูกค้อนทุบซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ถอนหายใจยาวออกมา
“ท่านแม่!!” เสียงหน้าประตูดังขึ้นพร้อมร่างเล็กวิ่งเข้ามาใกล้ ท่าทางรีบร้อนของเด็กน้อยตกอยู่ในสายตาก่อนเจ้าตัวเล็กจะปีนขึ้นมานั่งบนเตียง เด็กน้อยมีสีหน้าตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว ถึงกระนั้นในแววตาอับแสงเล็กน้อยกับฉายแววเป็นห่วง
“ท่านแม่เกิดอะไรขึ้นขอรับ เจ็บมากเลยหรือขอรับ?!” เด็กน้อยมีท่าทีลนลานทำอะไรไม่ถูก ก่อนหยาดน้ำตาจะเอ่อคลอบนหน่วยตาและไหลรินลงมาในที่สุด
“ฮึก ท่านแม่ ท่านแม่ เจ็บมากหรือไม่ขอรับ”
จวี้หยางพยายามมองเด็กน้อย ในใจอยากขยับปากเอ่ยปลอบบอกว่าไม่เป็นไร ทว่าความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญทำให้เธอพูดไม่ออก
ได้แต่เหลือบมองสีหน้าน่าสงสารและหมดสติไป
...
เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วไม่รู้ ทว่าคนที่สลบไปเพราะความเจ็บปวดเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาแล้ว
เข้าใจแล้ว...
คือคำแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวจวี้หยางหลังได้รับความทรงจำอันไม่คุ้นเคย
เจ้าของร่างนี้มีชื่อว่า จวี้หยาง หญิงสาววัยยี่สิบสองปี หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาซึ่งเกิดจากบิดามารดาอายุมากแล้ว
สมัยบิดามารดาจวี้หยางอายุไม่มาก ทั้งสองคนได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโจวหลิงซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดาหลังพ่อแม่ของอีกฝ่ายเสียชีวิต
คนสมัยนี้ถือเรื่องมีบุญคุณต้องทดแทนมีแค้นต้องชำระ
ก่อนที่ทั้งสองคนจะตายบิดามารดาจวี้หยางจึงขอให้โจวหลิงแต่งงานกับเธอเพื่อทดแทนบุญคุณ
ด้วยมั่นใจว่าเขาจะสามารถดูแลบุตรสาวผู้มาช้าคนนี้ของพวกเขาได้
ทว่าจวี้หยางกลับไม่ชอบใจ
หญิงสาวคิดเสมอว่าโจวหลิงติดหนี้บุญคุณครอบครัวเธอ อีกฝ่ายไม่มีอะไรเหมาะสมกับเธอเลยสักนิด บวกกับตัวเธอถูกครอบครัวตามใจตั้งแต่เกิดจึงมีนิสัยเอาแต่ใจและหยิ่งยโส
หลังแต่งงานกับเขาจวี้หยางไม่เคยทำดีกับสามีเลยสักครั้ง ไม่ว่าเขาจะคอยดูแลเธออย่างดีมากแค่ไหน จวี้หยางก็ไม่เคยมองเห็นความดีนั้น
โจวหลิงไม่พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการกระทำและนิสัยของภรรยา เขาคิดเสมอว่าทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อตอบแทนบุญคุณคนที่จากไป
ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเงียบปาก ไม่เอ่ยห้าม ไม่หาเรื่องชวนทะเลาะ ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเข้าบ้านเพียงอย่างเดียว
ทั้งที่ไม่มีอะไรเข้ากันได้ทำไมถึงมีลูกด้วยกัน?
เรื่องนี้ต้องย้อนไปตอนแต่งงาน
เด็กชายเกิดขึ้นมาในคืนวันแต่งงานนั่นแหละ
เข้าหอครั้งเดียวก็ท้องเลย สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าทั้งสองแข็งแรงมากขนาดไหน
คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่หน่ายใจ
จวี้หยางไม่เคยสนใจลูกชายตัวน้อยคนนี้เลย แต่ยังดีที่ถึงจะไม่สนใจเธอก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นปล่อยให้ลูกน้อยตาย ถึงเหตุผลหลักที่เธอไม่ปล่อยให้ลูกตายจะมาจากการร้องขอของสามีที่เธอรังเกียจชิงขัง
นางฝืนใจทำก็เพราะเงิน
ด้วยการเอาใจใส่เล็กน้อย เลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลยทำให้ลูกชายตัวน้อยเติบโตมาไม่สมวัยนัก ทั้งที่อายุห้าขวบแล้วแต่รูปร่างเด็กน้อยกับไม่ต่างจากเด็กสามขวบ
จวี้หยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้นสินะ” พึมพำกับตนเองพลางเหลือบตามองเด็กชายตัวน้อยซึ่งนอนหลับคุดคู้อยู่ข้างกาย
จวี้หยางเป็นหญิงสาวนิสัยไม่ดี คนในหมู่บ้านจึงไม่อยากข้องเกี่ยวเพราะกลัวจะติดเชื้อไม่ดีจากนาง ความรู้สึกไม่ชอบเหล่านี้ส่งมาถึงลูกชายตัวน้อยด้วย ส่งผลให้โจวฉีไม่มีเพื่อนเล่น วัน ๆ ทำได้เพียงมองออกไปนอกรั้วบ้านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยพลางเล่นคนเดียว
คิดแล้วก็พาให้รู้สึกสงสาร แม้จะยังทำใจยอมรับเรื่องลูกไม่ได้ แต่อย่างน้อยจวี้หยางก็ไม่คิดปฏิเสธ
เพราะโลกก่อนหากโชคดีได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปเธอก็อยากสร้างครอบครัวอบอุ่นสักครั้งเหมือนกัน
คนคิดได้ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
ก่อนอื่นขอออกไปสำรวจในบ้านก่อน ไม่รู้ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว เพราะท้องของเธอกำลังประท้วงว่าต้องการอะไรมาเติมเต็ม
“หวังว่าจะมีอะไรพอทำกินได้บ้าง”
จวี้หยางคิดพลางเดินออกจากห้องไป ก่อนจะออกจากห้องก็ไม่ลืมขยับผ้าห่มขึ้นคลุมให้เจ้าตัวน้อยก่อนออกจากห้อง
