Chapter 6 ได้แต่เฝ้าคิดถึง
แม่นุ่มเรียกสาวใช้มาช่วยแยกรษาออกจากมินตรา ที่ตอนนี้เธอมีอาการหน้าเหลืองซีด หายใจหอบอ่อนแรง ส่วนอีกคนเคียดแค้นตาโปนแทบถลนออกมานอกเบ้า
“ออกไป! กรี๊ดดด!!” รษายังคงร้องคลุ้มคลั่งไม่หยุด สาวใช้ต้องจับตัวไว้
“แค่ก ๆ” พอแยกออกมาได้มินตรามีอาการเหมือนสำลักลม เธอหายใจหอบถี่ๆ จากการขาดอากาศเป็นเวลานาน
“เป็นอย่างไรบ้างคะคุณมินตรา”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่นุ่ม รษาคงจะเครียดมาก น่าสงสารเธอจังเลยนะคะ” มินตราตีหน้าเศร้าทำตัวน่าสงสารเหมือนนางเอกผู้อ่อนแอ
“ป้าว่าเราออกไปก่อนดีกว่าค่ะ คุณรษาคงจะไม่สงบง่ายๆ แน่” เมื่อเห็นว่ารษาไม่มีทีท่าว่าจะสงบ เธอยังส่งเสียงกรีดร้องอยู่เนืองๆ จนเหนื่อยหอบแม่บ้านเก่าแก่ก็ชวนทุกคนออกไปข้างนอก
“เมนี่ว่าเราโทรบอกพี่ธามดีกว่าค่ะ” มินตราซ่อนยิ้มร้ายอย่างมีความหมาย อะไรจะไปสำคัญมากไปกว่า น้องสาวสุดที่รัก
‘คุณญาดา เมื่อก่อนพ่อเลี้ยงเป็นของคุณ แต่ต่อจากนี้ไป พ่อเลี้ยงธามจะต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น’ มินตราคิดในใจ
แม่นุ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับเธอ ก่อนที่นางจะต่อโทรศัพท์หาพ่อเลี้ยงธาม ทันทีที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นมา คนปลายสายก็ตอบรับทันที
“ครับแม่นุ่ม”
“แย่แล้วค่ะคุณธาม คุณรษาคลุ้มคลั่งใหญ่แล้วค่ะ กรี๊ดไม่หยุดเลย” แม่บ้านเก่าแก่รายงาน
“เป็นไปได้อย่างไรครับ เดี๋ยวผมจะรีบกลับนะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มบอกอย่างร้อนรนตกใจ
พ่อเลี้ยงธามรีบบึ่งรถกลับมาที่บ้านทันทีหลังจากวางสายแม่บ้านเก่าแก่ของไร่ เขาไม่ลืมสั่งให้แม่บ้านโทรตามหมอ
หมอหนุ่มฉีดยาให้หญิงสาว แล้วเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋า
“เป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ ทำไมน้องสาวผมถึงมีอาการแบบนี้ได้”
“น่าจะมีเรื่องสะเทือนใจหรือมีอะไรบางอย่างมากระทบจิตใจคนป่วยครับ ผมฉีดยาคลายเครียดและยานอนหลับให้แล้ว คงจะนอนหลับยาวจนถึงตอนเช้า พ่อเลี้ยงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ แต่ผมขอย้ำเรื่องการดูแลคนป่วยหน่อย คุณต้องดูแลเธอให้มากกว่านี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนดูแลคนป่วยเป็นคนสุดท้ายครับ”
“เมนี่ค่ะ เมนี่แค่ยกอาหารมาให้แต่รษา แต่เธอก็เกรี้ยวกราดปัดถาดอาหารหล่นหก น้ำแกงร้อนหกใส่เมนี่แสบร้อนไปหมด แล้วก็ยังทำร้ายเมนี่อย่างที่เห็นนั่นล่ะค่ะ เมนี่ยืนยันได้นะคะว่าไม่ได้ทำอะไรให้รษาสะเทือนใจจริงๆ” มินตรายกมือที่มีรอยแดงให้พ่อเลี้ยงหนุ่มดู พร้อมกับบีบน้ำตาเว้าวอนอย่างน่าสงสาร ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร จนที่สุดพ่อเลี้ยงก็ทนมองต่อไปไม่ไหว
“แล้วนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ็บตรงไหนมากไหม ให้หมอตรวจหน่อยดีกว่า” ธามถามมินตราด้วยความห่วงใย
“ขอบคุณค่ะพี่ธาม เมนี่ก็เกือบแย่เหมือนกัน ดีที่แม่นุ่มมาช่วยได้ทัน แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ไม่ต้องให้หมอตรวจก็ได้ เดี๋ยวเมนี่ไปหายามาทาเองก็คงหาย ขอเพียงพี่ธามเข้าใจว่าเมนี่ไม่เคยคิดร้ายกับเพื่อนเลยสักนิด” มินตราตอบทอดสายตาหม่นมองหน้าพ่อเลี้ยงธาม
“ไม่มีใครคิดอย่างนั้นหรอกค่ะ คุณเมนี่เป็นเพื่อนรักของคุณรษา แล้วยิ่งมาช่วยดูแลอย่างนี้ทุกคนยิ่งไม่กล้าคิดเข้าไปใหญ่ คนที่ไร่รู้จักคุณเมนี่ดี” แม่นุ่มเป็นคนตอบแทนพ่อเลี้ยงหนุ่ม เพราะนางเห็นเขาเอาแต่ยืนนิ่งมองน้องสาวไม่วางตา มินตราจำต้องเดินออกไปอย่างจำใจ
คล้อยหลังมินตราพ่อเลี้ยงหนุ่มก็หันมาสบตาแม่บ้านเก่าแก่อย่างขอบคุณ เพราะเขาก็พอมองออกว่าเพื่อนรักของน้องสาวคิดกับเขาเกินพี่ชาย แต่ที่เขาทำได้ก็เพียงรักษาระยะห่าง และรักษาน้ำใจของหญิงสาวเอาไว้เท่านั้น
“ผมต้องขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณหมอนะครับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มหันมากล่าวขอบคุณคุณหมอที่มาช่วยตรวจอาการของน้องสาวอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ ถ้ามีอะไรก็โทรตามผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
“เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ คุณหมอคงไม่ลืมเรื่องที่ผมขอเอาไว้ ช่วยเก็บเรื่องของน้องสาวผมเป็นความลับด้วยนะครับ”
“ครับ”
ห้องทำงานในโรงแรมห้าดาวกลางเมืองเชียงราย ปรินทรหมุนเก้าอี้ทำงานลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงกำยำเกินมาตรฐานชายไทย ถึงแม้ว่าเขาจะมีเลือดไทยในกายร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ด้วยบุพการีเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ทั้งคู่ พอยิ่งได้รัปประทานอาหารอย่างชาติตะวันตกและเติบโตมาจากต่างประเทศ จึงไม่แปลกมากนักที่เขาจะมีร่างกายสูงสง่าอย่างชายตะวันตก
ชายหนุ่มผินหน้าคมเข้มมองออกไปนอกกระจกใสในยามบ่ายคล้อย พระอาทิตย์ขยับเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ เขาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า หวนนึกถึงสาวน้อยร่างบางหน้าหวานปานน้ำผึ้งคนนั้น บางทีเธออ่อนหวานน่าทะนุถนอม ทั้งที่การแต่งตัวของเธอดูขัดกับหน้าหวานของเธอโดยสิ้นเชิง
แต่พอเธอคิดว่าเขาได้ครอบครองย่ำยีร่างกายเธอไปแล้ว เธอก็อาละวาดโวยวายกรี๊ดจนหูเขาแทบดับเหมือนกัน คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏที่มุมปากหนาได้รูป
ป่านนี้คุณคงเกลียดผมมากสินะ แต่ผมนี่สิ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผมก็ไม่สามารถลืมใบหน้าของคุณได้เลย แม้ว่าจะใช้ความพยายามมากสักแค่ไหนก็ตาม สาวน้อยของผม
ในวันนั้น เมื่อเธอปรากฏกายขึ้น เขาไม่อาจหยุดสายตา ยั้งหัวใจของตัวเองเอาไว้ได้ เธอสวยหวานดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจจนเขาบรรยายไม่ถูก เรือนร่างของเธอยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขาไม่จางหาย เขาเฝ้าคิดถึงเธอจนบางครั้งต้องแอบไปยืนมองโต๊ะในผับที่พบเธอครั้งแรก
“เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ในจิตใจ ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เธอเป็นคนแรกที่ฉันอยากได้มาครอบครอง เธอเหมือนพลังบางอย่างที่ทำให้คนหัวใจด้านชา หัวใจเหมือนเต้นไปวันๆ กลับเต้นรัวไม่มีสาเหตุหลังจากที่ฉันได้เจอเธอวันนั้น เขาจะเรียกรักแรกพบได้หรือเปล่านะสาวน้อยของฉัน” ปรินทรพึมพำอยู่คนเดียว
“ได้ครับ”
เสียงตอบรับจากด้านหลังทำให้ปรินทรตื่นจากภวังค์
“นายมาตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มหันกลับมาถามคนสนิทเสียงห้วน รู้สึกเสียหน้าและอับอายที่เลขานุการคนสนิทเข้ามา แล้วจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาหรือเปล่า เลขานุการของเขาเหมือนนกรู้ คำตอบต่อมาของเขาทำเอาหนุ่มมาดขรึมเก๊กหน้านิ่งขึ้นไปอีก
“คิดถึงเธอแล้วทำไมไม่ไปหาล่ะครับ มายืนเพ้อรำพึงคนเดียวเธอก็ไม่รู้หรอก ไร่ปกรักก็อยู่ไม่ไกลมาก” เลขานุการคนสนิทไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขากลับแหย่เจ้านายอย่างรู้ทัน ดูเหมือนว่าเขารู้ใจเจ้านายดี ถึงแม้ว่าจะมาร่วมงานกันไม่ถึงปีแต่เขาก็สนิทและอยู่ใกล้ปรินทรมากที่สุด ทำไมเขาจะมองไม่ออกล่ะว่าเจ้านายเขาคิดอะไรอยู่
“นายอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย งานไม่มีทำเลยหรือไง หรือถ้ามันมีน้อย ฉันจะสงเคราะห์เพิ่มงานให้” คนเป็นนายทำเสียงเข้มกลบเกลื่อน
“คุณปรินทร ถึงแม้ว่าผมจะรู้จักคุณและทำงานกับคุณได้ไม่นาน แต่ผมก็พอจะดูคุณออก ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณจริงจังและทุ่มเทกับงานมาก จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมก็เห็นคุณเปลี่ยนไป คุณดูเหม่อและบ่อยครั้งผมก็เห็นคุณยืนมองโต๊ะในผับโต๊ะหนึ่งนานเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วแบบนี้คุณคิดว่าผมรู้จักคุณดีพอหรือเปล่า”
