Episode-01 บุญคุณ
“เรามาทำอะไรกันที่นี่เหรอคะ” ฉันเอ่ยถามพ่อที่ตอนนี้พาฉันมาบ้านหลังหนึ่ง ไม่ใช่สิ! มันใหญ่มากเรียกว่าคฤหาสน์น่าจะเหมาะกว่า
พ่อเงียบไม่มีคำตอบให้กับฉันในทันที กวาดสายตาไปรอบบริเวณตัวบ้านมันร่มลื่นน่าอยู่พอสมควร แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกลึกลับคล้ายมีอะไรให้ค้นหาอยู่ตลอด
“ต่อไปลูกต้องอยู่ที่นี่นะเขียนฟ้า”
“หมายถึงเราสองคนเหรอคะ” ฉันทวนคำถามอีกครั้ง มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไปแน่นอน
“ไม่... แค่ลูกคนเดียว”
“ทำไมล่ะคะ บ้านเราก็มีแล้วทำไมหนูต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย” ฉันเริ่มโวยวายเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของพ่อ อยู่ ๆ ก็พาฉันมาหาใครไม่รู้
“เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่พ่อเลี้ยงลูกมา” น้ำเสียงจริงจังที่เอ่ยออกมาทำเอาฉันแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง บุญคุณพ่อแม่คือต้องตอบแทนแบบไหนก็ได้งั้นเหรอ
“...”
“ฟังนะเขียนฟ้า บ้านเราล้มละลาย พ่อไม่มีเงินไปใช้หนี้เขา ... พวกเราไม่เหลืออะไรอีกแล้ว พ่อไม่มีปัญญา ไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะส่งเสียเลี้ยงดูลูกได้อีกต่อไป”
“ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ อีกสองสามเดือนนี้หนูก็จบมัธยมปลายแล้ว หนูไม่เรียนต่อก็ได้ หนูจะหางานทำหาเงินให้พ่อใช้เอง”
“ไม่ได้...”
“มะ หมายความว่ายังไง ไม่ได้คืออะไร หนูต้องอยู่กับใครก็ไม่รู้อย่างนี้เหรอ”
“...”
“พ่อขายหนูให้เขาใช่ไหม” ฉันเลือกที่จะถามออกไปตามตรง ไหน ๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว
พ่อยังคงเงียบแล้วเอาแต่มองหน้าฉันอยู่แบบนั้น บ้านพัก ที่ดิน โรงแรมตั้งมากมายที่แม่สร้างมามันจะหายไปได้ยังไง ทรัพย์สินพวกนั้นมูลค่ามหาศาลเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่เหลืออะไรเลย
“พ่อกำลังทำอะไรกันแน่ เงินเก็บตั้งมากมายมันไม่เหลือเลยเหรอคะ”
“...”
“พ่อคะ”
“บอกว่าไม่เหลือก็คือไม่เหลือสิ!” พ่อตวาดใส่ฉันเสียงดังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ฉันได้แต่มองหน้าผู้มีพระคุณนิ่ง ๆ ความรู้สึกมันจุกอยู่ในอก ตั้งแต่แม่จากไปความสุขของฉันก็ถดถอยลงไปทุกทีจนมันแทบจะไม่เหลือแล้ว
“ที่พาหนูมาวันนี้...”
“ใช้หนี้ไง ลูกบอกพ่ออยู่ตลอดไม่ใช่เหรอว่าสามารถตอบแทนพ่อได้ทุกอย่าง และพ่อคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว”
“ไม่ใช่สิ มันไม่ควรเป็นแบบนี้”
“มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
“แต่พ่อคะ” ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบพ่อก็รีบออกจากตัวบ้านไปทันที
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณหนูอย่างฉันต้องมาทำอะไรเพื่อแลกกับความอยู่รอดของตัวเองแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงอย่างว่าเลยสักนิด
แม่ฉันเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ตอนนั้นฉันในวัยสิบห้าปี รู้สึกเสียใจและคิดอยู่ตลอดว่าจะใช้ชีวิตยังไงโดยมีแค่พ่อคนเดียว แต่เหมือนตอนนี้จะมีแค่ตัวฉันคนเดียวมากกว่า
‘เขียนฟ้า ณภัสสรณ์’
เป็นชื่อของฉันเองมันควรจะส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าไม่ใช่ล่วงลงมาไม่เป็นท่าเหมือนในตอนนี้
ทุกคนต่างทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวไม่เว้นแม้แต่พ่อบังเกิดเกล้าที่ไม่เคยมาให้ฉันเห็นหน้าเลยสักครั้งนับตั้งแต่จำความได้
เคยนึกดีใจที่อย่างน้อยฉันก็ยังมีพ่อเลี้ยงที่แสนดี ที่รักฉัน รักแม่ฉัน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันคิดมันไม่เป็นความจริง เป็นแค่ภาพลวงตาและความฝันลม ๆ แล้ง ๆ สำหรับฉันแล้วโลกใบนี้มันโหดร้ายมากเกินกว่าที่ฉันจะเรียนรู้ด้วยซ้ำ
“จะร้องไห้อีกนานไหม?” น้ำเสียงราบเรียบของใครบางคนดังขึ้นก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าฉัน
สายตาที่เขามองมามันทำลายล้างมากจนฉันไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย
“จ้องหน้าฉันทำไม?” ได้ยินแบบนั้นฉันจึงก้มหน้าลง ทั้งกลัวและจิตตกในเวลาเดียวกัน “รู้ไหมว่าพ่อเธอติดหนี้ฉันเท่าไหร่?”
“ไม่รู้ค่ะ”
“แล้วรู้ไหมว่าเธอต้องทำอะไรบ้าง”
“...”
“ถอดเสื้อผ้าออกแล้วไปรอฉันบนเตียง”
“ไม่มีทาง” ปฏิเสธโดยอัตโนมัติ เขาคนนั้นมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดประโยคคลายความสงสัยออกมา
“งั้นก็เอาเงินร้อยล้านมาคืนฉัน”
“ระ ร้อยล้านเลยเหรอคะ” ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินจำนวนเงินก้อนนั้น “พ่อหนูเอาเงินพี่ไปเยอะขนาดนั้นจริงเหรอคะ”
“ถามแบบนี้นี่เธอไม่รู้จริง ๆ หรือกำลังแกล้งโง่อยู่” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับประโยคของฉันสักเท่าไหร่
“บ้านหนูมีเงิน มีบริษัท มีรีสอร์ตตั้งมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะเอาเงินพี่ไปเยอะขนาดนี้ แล้วเงินตั้งร้อยล้านพี่กล้าให้เขาไปได้ยังไง” ฉันยังคงแหกปากเถียงเขาอยู่แบบนั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงสมบัติที่แม่ทิ้งไว้ให้อยู่เฉย ๆ ยังสบายไปทั้งชาติ
“งั้นเหรอ... ดูนี่ก่อนดีกว่านะแล้วค่อยเถียงฉัน”
เอกสารฉบับหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าฉัน ในนี้ระบุชัดเจนว่าพ่อฉันขายทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดแล้ว หนำซ้ำยังมีเอกสารกู้ยืมที่มีลายเซ็นต์ของพ่อกำกับไว้อยู่ก่อนแล้วด้วยในเมื่อไม่มีเงินไปถ่ายถอนทุกอย่างจึงเป็นไปตามข้อตกลง เท่ากับว่าสิ่งที่แม่ฉันสร้างมาสูญปล่าทั้งหมดนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“เพราะฉะนั้นเธอไม่มีสิทธิ์ต่อรองฉัน และช่วยทำตัวน่ารักอยู่ในโอวาทของฉันด้วย”
หมับ!
“อ๊ะ!”
“เป็นเด็กดีและเธอต้องเชื่อฟังฉัน เข้าใจไหมเขียนฟ้า”
“...” พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก เหมือนว่าตอนนี้ผู้ชายตรงหน้าจะกลายเป็นเจ้าของชีวิตฉันไปซะแล้ว
“และอย่าคิดหนี อย่าทำอะไรโง่ ๆ หากไม่อยากเจ็บตัว หรือถ้าเธออยากไปจากที่นี่ก็หาเงินร้อยล้านมาคืนฉันให้ครบทุกบาททุกสตางค์” ตั้งร้อยล้านฉันจะหาจากไหนมาคืนเขาได้ ดูท่าทางแล้วคงต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตล่ะมั้ง
แกรก!
ใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
“ไอ้เลย์! ทำอะไรของมึงวะ” ได้ยินแบบนั้นเขาจึงละมือจากฉันแล้วหันไปพูดกับผู้ที่เข้ามาใหม่
“ไอ้กรณ์กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้มึงเคาะประตู”
“โทษทีว่ะ กูไม่รู้ว่ามึงมีเด็ก”
“ไปรอข้างนอกเดี๋ยวกูตามไป”
“เออ”
คล้อยหลังพี่คนนั้นเขาจึงหันกลับมาพูดกับฉันอีกครั้ง
“รออยู่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา”
“ค่ะ” ไม่รู้จะพูดอะไรและไม่รู้ว่าควรถามอะไร ฉันทำได้เพียงขานรับอย่างเข้าใจแค่นั้น
ตัวคนเดียวมันเป็นแบบนี้นี่เอง เคว้งคว้างและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน ทำไมไม่เป็นฉันที่จากไป ทำไมทุกคนถึงให้ฉันเผชิญโลกแห่งความเลวร้ายอยู่แบบนี้
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มที่ฉันหายใจทิ้งอยู่ภายในห้องนี้ กระทั่งบานประตูถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งแต่ว่าคราวนี้เป็นป้าแม่บ้านค่ะ
“เชิญทางนี้ค่ะ” น้ำเสียงเป็นกันเองเอ่ยก่อนจะเดินนำฉันมายังอีกห้องหนึ่ง
“ป้าคะ คือหนู...”
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีใครทำร้ายหนูแน่นอน” ไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรคุณป้าก็พูดแทรกขึ้นก่อนแล้ว
“ทำไมจะไม่มีล่ะคะก็เขาคนนั้นไง” ฉันบ่นพึมพำคนเดียว แน่นอนว่าคุณป้าไม่ได้ยิน
“หนูอยู่ห้องนี้นะ เดี๋ยวป้าไปเอาของใช้ส่วนตัวมาให้” จบประโยขเขาก็ออกจากห้องไปเลยค่ะ
กวาดสายตามองไปรอบบริเวณห้องมันไม่ได้กว้างใหญ่อะไรเลย แต่กลับให้ความรู้สึกเคว้งคว้างจนน่าตกใจ มันต้องมีสักวิธีแหละที่ฉันจะออกไปจากที่นี่โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหน ภาวนาให้ตัวเองใช้ชีวิตผ่านไปได้ทุกวันก็พอ
