สอง อาเว่ยน่าสงสารยิ่ง
หลังจากขบวนพ่อค้าทาสผิดกฎหมายโดนจับกุมตัวได้แม้ไม่ทั้งหมด ทว่าท้ายที่สุดสิ่งที่เจียวเชินพยายามก็ประสบความสำเร็จ ตอนที่นางได้ยินว่าเขาเชื่อในสิ่งนางบอกนั้นหญิงสาวรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้งแทบไม่อยากเชื่อ
ทว่าต่อมามีเรื่องให้แปลกใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าบุรุษท่าทางองอาจตรงหน้าที่นางขอความช่วยเหลือเป็นถึงเจ้าเมืองหลี่ซง
ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้งคุณเซียว หัวหน้าตระกูลเจิ้งคนปัจจุบัน
ยังไม่หมดเรื่องให้เจียวเชินตกใจเพียงเท่านั้น เมื่อรู้ว่า อาเว่ย หรือเด็กผู้ชายอายุห้าหนาวที่ร่างเดิมตามมาช่วยจนตัวเองตายจากไปนั้นมิใช่ใครอื่นใด
เจ้าก้อนแป้งพูดน้อยหน้าบึ้งคนนั้นคือบุตรของขุนนางเมืองหลี่ซงจริง ๆ ซึ่งขุนนางผู้นั้นก็คือบุรุษที่ยืนหน้าตึงถมึงทึงอยู่ตรงหน้านางและอาเว่ยผู้นี้นั่นเอง
เรื่องบังเอิญมีอยู่จริงในโลกนี้หรือเนี่ย เจียวเชินไม่อยากเชื่อ
อาเว่ยเป็นบุตรสายเลือดแท้ ๆ ของใต้เท้าเจิ้งคุนเซียวที่หนีออกจากบ้านมาคนเดียวตอนที่บิดาตัวเองนำทัพไปปราบคนเถื่อนข้างนอกเมืองหลี่ซงกว่าครึ่งปี วันนี้กำลังเดินทางกลับดันมาเจอลูกชายตัวเองโดนจับตัวมาเป็นทาสเด็กเสียอย่างนั้น
หากเจียวเชินเป็นบุพการีของเด็กน้อยก็คงรู้สึกเดือดดาลและมีโทสะไม่น้อยไม่ต่างจากเวลานี้ของใต้เท้าเจิ้งคุนเซียวหรอกกระมัง
แต่มีโทสะอย่างไรก็ไม่ควรมาดุสั่งสอนเด็กที่เพิ่งผ่านเรื่องน่ากลัวอย่างตอนนี้หรือไม่
“...ข้าไม่เคยสั่งสอนให้เจ้าดื้อเช่นนี้นะอาเว่ย หากวันนี้ข้าไม่ได้กลับมาพอดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอันใดขึ้น”
เสียงแข็งกร้าวพร้อมกับสีหน้าน่าหวั่นเกรง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่หากมายืนให้บุรุษผู้นี้ดุด่าคงไม่แคล้วตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวกันทั้งนั้น
อาเว่ยยืนก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าสบตาบิดาตั้งแต่ถูกทหารพบตัวและพามาหาเจ้านายตนเอง
เด็กน้อยไม่เอ่ยแก้ตัวสักคำ พอเห็นบิดาที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานแรมครึ่งปี แววตาแวบแรกเปล่งประกายสว่างวาบก่อนจะหม่นแสงลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยุดยืนห่างออกมานิ่งราวกับกำลังเตรียมพร้อมยอมรับคำดุด่าเต็มที่
ซึ่งมันก็จริง เพราะหลังจากนั้นเจียวเชินก็เห็นใต้เท้าผู้นั้นพ่นคำดุด่าราวกับกำลังต่อว่าทหารใต้บังคับบัญชาตนเองเวลาทำงานผิดพลาดจริง ๆ
“ท่านเจ้าเมืองขอรับใจเย็นก่อนเถอะขอรับ นายน้อยยังเด็กนักคะ...”
“เด็กก็ควรเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่สิ มิใช่ดื้อรั้นจนเกิดเรื่องอันตรายขนาดนี้”
ขนาดลูกน้องที่สงสารเด็กน้อยยังถูกตวาดไม่ไว้หน้าจนต้องล่าถอยกลับเข้าไปยืนเหมือนเดิม
เป็นเจียวเชินที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเด็กน้อยทั้ง ๆ ที่เสียงดุด่าของบิดาอาเว่ยยังไม่หยุด เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาเจ้าเมืองพากันเบิกตากว้างตกตะลึงและรู้สึกหวาดเสียวแทนเจียวเชินกันเป็นแถบ ๆ
การกระทำโดยไม่ขออนุญาตแถมยังเข้าไปขวางกลางคนกำลังสั่งสอนบุตรตัวเองอย่างจริงจังราวกับนางไม่ได้ยิน ไม่เห็นท่านเจ้าเมืองเจิ้งคุนเซียวยืนอยู่ตรงนี้ ทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงธาตุอากาศเช่นนี้ใคร ๆ ก็คิดว่านางนั้นคงมีจุดจบไม่สวยเป็นแน่
พวกเขาต่างภาวนาให้กำลังใจหญิงสาวใจกล้ากันในใจ ไม่กล้าเข้าไปคัดค้านเช่นกันด้วยเพราะกลัวลูกหลง
“อาเว่ย เจ็บตรงไหนหรือไม่ ไหนให้พี่สาวตรวจดูหน่อยซิ”
มือสกปรกมอมแมมไม่ต่างอันใดกับอาเว่ยเองยกขึ้นนาบข้างแก้มที่มีรอยถลอกของเด็กน้อย
ดวงตาใสสบกับดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตาของอาเว่ย เจียวเชินยิ้มจริงใจเพื่อเป็นการปลอบใจให้ก่อนกวาดสายตา มือบางจับพลิกแขนทั้งสองข้าง จับหมุนตัวหาร่องรอยแผลเล็กใหญ่ตามที่พูดอย่างใจเย็น
“พะ…พี่สาว ฮึก ขะ...ข้าไม่เป็นอันใด”
“แผลเต็มตัวขนาดนี้ ไม่เจ็บเลยหรือ อาเว่ยของพี่สาวเป็นเด็กที่เก่งจริง ๆ พี่สาวไม่เคยเห็นใครแก่งเท่านี้มาก่อนเลยนะเนี่ย”
“ฮึก ข้า...”
เมื่อมีคนที่ห่วงใยตนเองคอยปลอบประโลม แม้ว่าเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม อาเว่ยที่ตอนแรกพยายามอดทนกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ออกมาราวกับเด็กอ่อนแออย่างที่บิดาเคยสอนไว้จึงมิอาจฝืนได้อีกต่อไป
ราวกับเขื่อนแตก น้ำตาแห่งความอ่อนแอตามประสาเด็กอายุเพียงห้าหนาวจึงไหลบ่าออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เป็นเด็กไม่เห็นต้องเก่งถึงขนาดนี้เลยนี่ พี่สาวมีแผลเหมือนอาเว่ย เจ็บมาก ๆ ก็บอกว่าเจ็บเลย”
“พะ…พี่สาว ฮึก พี่สาว ฮึก ข้าเจ็บ เจ็บมาก ฮึก...”
ภาพกอดกันกลมของหนึ่งเด็กชายที่ทุกคนในที่นี้รู้จักดีเพราะเป็นบุตรของเจ้านายกับอีกสตรีที่ไม่มีใครรู้จักทำให้เหล่าลูกน้องเช่นพวกเขาถึงกับน้ำตาซึม พากันก้มหน้าเม้มปากกลัวร้องไห้ตามเช่นกัน
“เจ้า ! เป็นผู้ใดไยจึงกล้าสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของครอบครัวผู้อื่น”
แม้ว่าเจิ้งคุนเซียวจะลดระดับเสียงลงอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วก็ตาม อย่างไรก็ยังคงฟังดูเหมือนตะคอกมากกว่าสอบถามธรรมดาอยู่ดี
“...”
“อะ…เอ่อ ท่านเจ้าเมืองขอรับ นายน้อยบาดเจ็บให้ท่านหมอมาดูอาการทำแผลก่อนดีหรือไม่ขอรับ ท่านหมอมาถึงแล้วขอรับ”
“ข้าพูดกับเจ้านะ ไม่ได้ยินหรืออย่างไรกัน”
ไม่มีใครเคยเมินคำพูดของเขามาก่อน การที่เจียวเชินทำเหมือนชายหนุ่มเป็นอากาศจึงยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลูกน้องคนสนิทของตนเองพูดเพราะมัวแต่จ้องเจียวเชินเขม็งด้วยโทสะ
เจียวเชินเองก็ไม่สนใจว่าตนเองกำลังโดนสายตาใครเพ่งเล็งเช่นกัน นางสนเพียงสภาพร่างกายและจิตใจของเด็กน้อยตรงหน้าตัวเอง พอได้ยินคนบอกว่ามีหมอมาถึงนางจึงรีบลุกขึ้นจูงมืออาเว่ยให้เดินตามตัวเองไปโดยเร็ว
“ไปทำแผลกันเถอะอาเว่ย”
“เจ้า ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยว !”
เจิ้งคุนเซียวไม่เคยรู้สึกเสียหน้าเท่าครั้งนี้มาก่อน ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเท้าไปขวางทางสตรีแปลกหน้าไร้มารยาททว่าเขากลับไม่สามารถเดินตามไปได้ทัน เพราะพวกลูกน้องของตนไม่รู้อยู่ ๆ เป็นอันใดจึงพากันเดินขวางหน้าเขาอยู่นั่นแหละ
สุดท้ายจึงได้แต่มองตามอย่างหัวเสีย โดยไม่ลืมตวัดสายตาดุตักเตือนเหล่าลูกน้องตัวดีของตนเองที่เข้าข้างคนอื่นที่ไม่ใช่เขาอย่างออกนอกหน้า
“เหอะ !”
