บทที่ 10
ตั้งแต่ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิงออกราชโองการถอนหมั้นให้แก่เฟิ่งอวี่เหิงกับฟู่อวิ้นหลงเวลาก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ผู้คนยังพูดคุยเรื่องการถอนหมั้นอยู่ต่อเนื่องว่าสาเหตุเกิดจากอะไร
ผู้คนต่างพากันพูดไปต่างๆ นานา แต่เสียงส่วนมากว่าเป็นเพราะเฟิ่งอวี่เหิงนั้นมีนิสัยร้ายกาจ ที่ผ่านมานางเองก็ชอบดุด่าว่าสตรีอื่นที่ยุ่งกับองค์ชายสาม และยังลงมือกับสตรีเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล
ทั้งหมดเป็นเพราะความใจแคบของนาง เป็นเหตุให้ฟู่อวิ้นหลงทนนิสัยของนางไม่ได้จนถึงขั้นขอถอนหมั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าความจริงนั้นมีเพียงหนึ่ง
จวนสกุลเฟิ่ง
กู่ม่านชิงมาหาเฟิ่งอวี่เหิงที่จวนแต่เช้าเพราะวันนี้นางมีนัดไปเที่ยวตลาดด้วยกัน
“แม่ยังไม่อยากให้เจ้าไปข้างนอกตอนนี้เลย ข่าวลือของเจ้ายังเป็นที่พูดถึงไม่หยุดปาก แม่กลัวว่าเจ้าจะคิดมากอีก”
เฟิ่งฮูหยินออกความคิดเห็น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากให้บุตรสาวไปข้างนอก แต่เพราะยังมีข่าวลือเกี่ยวกับบุตรสาวของนางอยู่
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งอวี่เหิงพูดปลอบมารดา
“ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ หลานจะปกป้องเหิงเหิงเอง ถ้ามีคนมาว่าร้ายนาง ข้าจะเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ!” กู่ม่านชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หากมาทำร้ายสหายนาง คงต้องผ่านนางไปก่อน!
เฟิ่งฮูหยินฟังการรบเร้าของหญิงสาวทั้งคู่ไม่ไหว จึงยอมตกลงแต่โดยดี ความจริงตนก็ไม่อยากให้บุตรสาวอยู่แต่ในเรือนเช่นเดียวกัน ที่ไม่อยากให้ไปเพราะเป็นห่วงความรู้สึก แต่ในเมื่อพวกนี้ยืนยันจะไปเช่นนี้ นางก็จำยอมแต่โดยดี
รถม้าของทั้งคู่เดินทางไปยังโรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อของเมืองหลวง ทันทีที่รถม้าจวนสกุลกู่จอดก็ปรากฏร่างของสองสาวงาม โดยมีสาวใช้คอยประคองให้ทั้งคู่ลงจากรถม้า
ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับหยุดดูสตรีสองคนเพราะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง ตลอดทางที่เดินเข้าไปโรงเตี๊ยม เฟิ่งอวี่เหิงได้ยินแต่ผู้คนพูดซุบซิบเรื่องของตนไม่ขาดปากแต่ไม่ได้สนใจ มีเพียงกู่ม่านชิงเท่านั้นที่ออกนอกหน้าแทนทำเอาเฟิ่งอวี่เหิงห้ามสหายของตนแทบไม่ทัน โดยไม่ได้รู้ตัวกันเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดได้อยู่ในสายตาของชายผู้หนึ่งที่อยู่บนชั้นสามของโรงเตี๊ยมตลอดเวลาตั้งแต่ที่พวกนางพากันเดินลงมาจากรถม้าแล้ว
ทั้งสองคนได้สั่งอาหารขึ้นชื่อมาสองสามอย่าง พวกนางกินไปคุยไปพลาง หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ทั้งคู่จึงเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อพากันเดินไปยังตลาดที่อยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินออกมา จู่ ๆ กู่ม่านชิงก็ปวดท้องเสียอย่างนั้น
“เหิงเหิงเจ้าไปรอข้าที่ด้านนอกก่อนได้หรือไม่? ข้าอยากไปปลดทุกข์เสียหน่อย” กู่ม่านชิงพูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
เฟิ่งอวี่เหิงเห็นใบหน้าของคนเหมือนอมทุกข์ก็ได้แต่หัวเราะออกมา นางพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ได้”
จากนั้นทั้งคู่ก็แยกทางกัน เฟิ่งอวี่เหิงเดินไปรอสหายตัวเองที่หน้าโรงเตี๊ยมตามตกลง ในขณะที่นางกำลังจะเดินออกไปนั้น ก็ถูกคนผู้หนึ่งเดินชนเข้าอย่างจัง
พลั่ก!
"โอ๊ยย!!" เฟิ่งอวี่เหิงเกือบล้มตัวลงกับพื้น โชคดีที่สาวใช้มารับตัวไว้ทัน
"คุณหนูเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ?"
"ข้าไม่เป็นไร"
ชินชินจัดแจงตัวคุณหนูให้เรียบร้อยว่ามีสิ่งใดหลุดลุ่ยหรือไม่ หญิงสาวก็ดูความเรียบร้อยของตนเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เงยดูคนตรงหน้าว่าเป็นผู้ใดที่เดินมาชน
"นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูเฟิ่งผู้ถูกถอนหมั้นหรอกหรือ?"
ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ทักตนด้วยน้ำเสียงประชดประชัน เฟิ่งอวี่เหิงจึงเงยหน้าขึ้นมาดู อี้หลิงฟาง...
เฟิ่งอวี่เหิงเห็นเป็นอี้หลิงฟางที่มากับเหล่าสหายของนางก็ไม่ได้ใส่ใจ ร่างหงส์เดินออกจากโรงเตี๊ยมทันที นางกำลังจะเดินผ่านพวกนางไปนั้น ทว่าจู่ ๆ อี้หลิงฟางก็จับแขนของนางเอาไว้ ไม่ให้เฟิ่งอวี่เหิงเดินจากไปโดยง่าย
"ปล่อย"
"จะรีบไปไหนเล่า"
อี้หลิงฟางยังคงรั้งแขนเฟิ่งอวี่เหิงไว้เช่นเดิม โดยไม่มีท่าทีจะปล่อยมือแต่อย่างใด
"ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า จะปล่อยแขนข้าหรือไม่" เฟิ่งอวี่เหิงกำลังจะอดกลั้นอารมณ์ของตนเอง นางไม่อยากมีเรื่องให้มากกว่านี้
ทว่าอี้หลิงฟางตีความหมายท่าทีของเฟิ่งอวี่เหิงผิดการที่เฟิ่งอวี่เหิงมีท่าทีเช่นนี้ แปลว่าอาจต้องการเรียกร้องความสนใจ เพราะนางไม่เชื่อว่าสตรีตรงหน้าจะตัดใจจากอ๋องเจ็ดได้แล้วจริง ๆ เหตุผลที่นางมีทำไปทั้งหมดเช่นนี้ เพราะต้องการเรียกร้องจากท่านอ๋องมากกว่า แต่ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดออกไป ก็มีเสียงสตรีนางหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
"มีเรื่องอะไรกัน"
เป็นกู่ม่านชิงที่เข้ามาหาเฟิ่งอวี่เหิงแล้วดึงสหายตนมาไว้ข้างหลัง จากนั้นก็ใช้สายตาเย็นชาต่อเหล่าบรรดาอี้หลิงฟาง กู่ม่านชิงไม่รอให้พวกอี้หลิงฟางตอบ นางถามอย่างหาเรื่องทันที
"พวกเจ้ามาหาเรื่องสหายของข้ารึ?"
เสียงของกู่ม่านชิงที่เอ่ยถามนั้นไม่เบา ทำให้ผู้คนแถวนั้นต่างพากันสนใจเหตุการณ์นี้รวมถึงบุรุษชุดสีม่วง ใบหน้าที่ราวกับเทพเซียนที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่บนชั้นสามโรงเตี๊ยมก็สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน
เหล่าองครักษ์มองดูนายของตนที่กำลังสนใจกับเหตุการณ์ของเหล่าสตรีข้างล่างนี้ก็พากันสงสัย นายท่านสนใจเรื่องของสตรีตั้งแต่เมื่อใดกัน?
