1
พงศ์พิทัย ธนาภิวัฒน์ มองบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ริมแม่น้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วยรอยยิ้ม เขาตั้งใจจะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรเพราะเบื่อชีวิตในเมืองกรุงฯ เต็มทน
บ้านหลังนี้เขาจ้างให้ป้าทับทิมเป็นคนดูแล ให้นางมาช่วยทำความสะอาด และให้สามีของนางมาช่วยตัดต้นไม้ไห้แลดูเรียบร้อยไม่รกร้างเพราะถูกทิ้งเอาไว้
บ้านหลังนี้เดิมทีนั้นเป็นบ้านของคุณยาย ท่านยกให้เขาเพราะเป็นหลานชายเพียงคนเดียว
“โอ๊ย!”
พงศ์พิทัย ร้องเสียงหลงเมื่อโดนอะไรสักอย่างยิงเข้าให้ พยายามมองหาคนยิง
คนยิงที่อยู่บนต้นไม้ชะโงกไปดู ก่อนจะตาโตที่เห็นคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในบ้านที่ป้าของเธอดูแลอยู่
“ยิงนกแต่ไปโดนโจร แบบนี้เรียกว่ายิงนกนัดเดียว ได้โจรหนึ่งคน”
“หยุดนะอย่าขยับ”
เธอตะโกนมาจากต้นมะม่วง พงศ์พิทัยลูบแขนไปมาป้อยๆ มองหาที่มาของเสียง เงยขึ้นไปก็เจอเข้ากับเด็กสาวหน้าตาน่ารัก
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่งั้นฉันยิงจริงๆ ด้วย”
เฌอปรางขู่เสียงฝ่อ พงศ์พิทัยนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เพราะโดนยิงเข้าเต็มๆ เขารู้แล้วว่ากระสุนมาจากหนังสติ๊กของเธอนั่นเอง
“เธอเป็นใคร”
พงศ์พิทัยเอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นมองยัยเด็กน่ารักนั่นไม่วางตา
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ แล้วนายล่ะเป็นใคร บุกรุกเข้ามาในบ้าน จะมาขโมยของใช่ไหม ฉันจะแจ้งความข้อหาบุกรุกนะ”
เธอเห็นการแต่งตัวของเขาก็คิดว่าหมอนี่ต้องเป็นโจรห้าร้อยแน่ๆ พงศ์พิทัยก้มมองตัวเอง การแต่งตัวของเขาธรรมดา เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่ตอนขามาเขาลงไปช่วยเข็ญรถที่ติดหล่ม เลยโดนโคลนสาดไปทั้งตัว สภาพเลยไม่น่าดูนัก เธอคงคิดว่าเขาเป็นโจร
ชายหนุ่มหลุบตาลงซ่อนรอยยิ้มบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวด้วยสายตานิ่งสนิทไม่เผยสิ่งใดออกมา
“ฉันไม่อยู่บ้านหลายเดือน เปลี่ยนเจ้าของบ้านใหม่แล้วเหรอ”
พงศ์พิทัยเอ่ยถาม คนฟังที่ยืนอยู่บนต้นไม้หูผึ่ง สมองกำลังขบคิด หรี่ตามองคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นิ่ง
หมอนี่ต้องหลอกเธอแหงๆ ก็ไหนคุณลุงกับคุณป้าบอกว่าเจ้าของบ้านรวย คนรวยที่ไหนแต่งตัวกันแบบนี้ เธอไม่หลงกลง่ายๆ แน่นอน
เธอเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของบ้านหรอกนะ เพราะว่าเพิ่งย้ายมาอยู่กับลุงและป้า เนื่องจากบิดามารดาแยกทางกัน ทุกคนแสดงความรักด้วยกันแย่ง หมายถึง... แย่งกันไม่เอาเธอ เลยต้องระเห็จมาอยู่กับลุงและป้าที่นี่ แต่ดีหน่อยที่ท่านใจดี เธอก็กลัวว่าจะเจอญาติผู้ใหญ่ใจร้ายอยู่เหมือนกัน
มาอยู่กับลุงและป้าเลยไม่นิ่งดูดาย ช่วยทำงานทุกอย่าง พวกท่านจะได้รัก พวกท่านไม่มีลูกหลานที่ไหน จึงค่อนข้างจะรักเธอเหมือนลูกในไส้
“ใครเชื่อนายก็ออกลูกเป็นแมวแล้ว”
เธอพูดอย่างรู้ทัน พงศ์พิทัยโครงศีรษะไปมา
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“ฉันจะโทรไปแจ้งตำรวจว่านายบุกรุก อย่ามาโกหกเสียให้ยาก ฉันไม่เชื่อหรอก โจรเดี๋ยวนี้เยอะจะตายไป”
“โทรไปแจ้งเลย” พงศ์พิทัยท้าทาย
“ฉันโทรแน่ อย่ามาท้านะ”
เฌอปรางล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกางเกงขาสั้น ก่อนจะร้องอย่างตกใจ
“เฮ้ยๆๆๆ ไอ้มดบ้า มากัดอะไรตอนนี้”
มดตัวเล็กๆ ที่กัดเธอทำให้เฌอปรางร้องด้วยความเจ็บความคัน หนังสติ๊กสอดเข้าไปในข้อมือ อีกมือก็ล้วงโทรศัพท์เพื่อจะโทรไปแจ้งตำรวจ จึงปล่อยมือจากกิ่งไม้แบบไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ยยัยเด็กบ๊อง ปล่อยมือแบบนั้นก็ตกลงมาหรอก”
“รับด้วย กรี๊ดดด”
เฌอปรางร้องบอกให้คนด้านล่างรับเธอด้วย ในวินาทีนั้นพงศ์พิทัยไม่ได้คิดอะไร เขาวิ่งไปรับร่างเล็กที่ตกลงมาจากต้นไม้เอาไว้ทั้งตัว
“โอ๊ย!”
คนที่ร้องดูเหมือนไม่ใช่คนที่ตกลงมาจากต้นไม้ แต่เป็นคนที่อ้าแขนรับอยู่ด้านล่าง และทิ้งตัวลงโดนทาบทับอยู่ตรงโคนต้น
“เป็นไปได้ไงไม่เจ็บเลย ไม่เจ็บจริงๆ ด้วย”
เด็กสาววัยยี่สิบลุกจากการทาบทับร่างสูงของพงศ์พิทัย เธอสำรวจร่างกายของตัวเอง ปรากฏว่าไม่เจ็บอะไรเลย ไม่รู้ตัวว่ากำลังนั่งคร่อมทับร่างของเขาอยู่ ดีใจที่ตัวเองไม่ตกลงมาแข้งขาหัก
“ปลื้มพอหรือยังยัยเด็กบ๊อง”
เสียงของคนใต้ร่างทำเอาเฌอปรางก้มมอง ก่อนจะอุทาน
“เฮ้ย!”
เธอรีบตะกายร่างหนี มองร่างที่ยังนอนไม่ไหวติงตาไม่กะพริบ
“ไม่คิดจะช่วยกันเลยเหรอ”
พงศ์พิทัยเอ่ยถามเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ที่มองเขาอย่างระแวงระวัด
