บทนำ
บทนำ
“แม่คับ พายกลัว...” เสียงเด็กชายวัยสี่ขวบสั่นเครือเอ่ยจมอยู่กับอกของคนเป็นแม่ ซึ่งตอนนี้กำลังหลบซ่อนอยู่ในซอกตึกแคบหลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาไกลแค่ไหนก็สุดรู้
คนถูกเรียกกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น กดศีรษะให้ซบอิงบดบังทุกการมองเห็นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เปลือกตาปิดลงพร้อมกันกับลมหายใจที่เก็บกลั้นยามเสียงฝีเท้าคืบดังเข้าใกล้มากขึ้นทุกที
แม้แต่แรงลมจากการหายใจแทบไม่อยากผ่อนระบายออกมา หัวใจกระหน่ำอย่างหวาดระทึกก็คอยพร่ำกล่อมให้มันเบาบางลง กลัวว่าคนตามล่าจะได้ยินและลากตัวเธอเข้ากรงขังสีดำที่พยายามหลุดพ้นมาตลอด
“ไม่ต้องกลัวนะครับลูก ไม่ต้องกลัวนะ แม่อยู่ตรงนี้” พูดปลอบและลูบที่แผ่นหลังของลูกชายทั้งที่ตัวเองกลับมองไม่เห็นหนทางรอดอื่นอีกแล้ว
เสียงเหยียบย่ำและรองเท้าหนังดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แม้สถานที่กำบังแห่งนี้จะทั้งแคบและมืด แต่ก็วางใจไม่ได้ว่ามันจะเป็นที่หลบซ่อนต่อชีวิตให้รอดพ้นได้อีกวัน เพราะถ้าหากถูกจับได้นั่นก็เท่ากับว่าชีวิตของ ‘เธอ’ และ ‘ลูกชาย’ จะถูกโยนเข้ากรงทมิฬอย่างไม่มีวันตะเกียกตะกายออกมาได้อีก
สองแม่ลูกเบียดตัวอยู่ในพื้นที่แคบ โดยใช้เพียงวงแขนที่กอดแนบเป็นเครื่องประโลมจิตใจ ยิ่งเสียงฝีเท้าที่ดังเข้าใกล้หัวใจของทั้งคู่ก็ยิ่งสั่นไหว อยากให้มันดับวูบและไม่ต้องรับรู้อะไรอีกเลย แต่ก็เหมือนว่าร่างกายจะแข็งแรงกว่าที่คิด เสี่ยงตายมาหลายหนหลายครั้งก็ยังรอดชีวิตมาได้ นับประสาอะไรเล่ากับค่ำคืนแย่ ๆ คืนหนึ่งที่อีกไม่นานมันก็คงจะผ่านพ้นอย่างทุกครั้ง
เธอพร่ำหวังกล่อมตัวเองแบบนั้นว่าอีกไม่นานจะผ่านไป แต่ทว่าแรงกดน้อย ๆ และเสียงดัง ‘แกร็ก’ ที่แนบขมับเป็นเหมือนมือมารกระชากให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“ถ้าขยับแม้แต่นิดเดียวมันลั่นใส่หัวแน่!”
ลำปืนวาววับสะท้อนกับแสงจันทร์ก่อนที่นิ้วโป้งจะกดง้างในจุดนกสับ เพียงต่อต้านขมับของเธอจะถูกเป่าเป็นเขม่าควันและมลายสิ้นไร้ลมหายใจ
หากเป็นแบบนั้นเธอยินยอม ทว่าในสถานการณ์ตอนนี้เธอจะตายไม่ได้ ลูกชายวัยสี่ขวบที่อยู่ในอ้อมอกกำลังร้องไห้ตัวสั่น ถ้าเธอตายแล้วลูกจะอยู่ยังไง
“คุณ...” เปลือกตาเปิดขึ้นเมื่อรับรู้ถึงโชคชะตาที่ไม่เป็นดั่งหวัง แต่ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏเห็นก็ยิ่งแตกต่างจากสิ่งที่ควรเป็นไปอีกขั้น เพราะเจ้าของปืนเตรียมตัดสินความตายไม่ใช่คนที่กำลังหลบหนี
“ดีใจไหมที่เป็นฉัน แทนที่จะเป็นลูกน้องของไอ้หิรัญ” เสียงเข้มห้าวเอ่ยกลั้วขำ รอยยิ้มหยันปรากฏอย่างไม่ปิดบัง เช่นเดียวกับแววตาหยามเหยียดที่ปรายมองส่งไปยังสองแม่ลูก
‘พระแพง’ หลุบสายตาลงอย่างคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่คนจ่อปืนใส่หัวไม่ใช่คนที่กำลังหลบหนี ทว่าเขาคนนี้ก็สามารถพรากชีวิตและผลักเธอเข้าสู่กรงขังได้เหมือนกัน
“แม่ นั่นใคร” เด็กน้อยร้องถาม พยายามเบี่ยงหน้าหันมองเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของมารดาและใครอีกคน แต่ติดตรงที่ว่าฝ่ามืออุ่น ๆ ยังคงปิดทาบการมองเห็น
ไม่ได้ตอบคำถาม แล้วก็ไม่ได้คลายมือไขข้อข้องใจให้ลูกชายรับรู้ ตอนนี้เธอกำลังถูกปืนจ่อหัว จะเปิดตาให้ลูกเห็นในสภาพนี้ได้ยังไง
“มันหายไปไหนวะ! ตามหามันให้เจอ หาให้ทั่ว ไม่งั้นนายเอาพวกเราตายแน่!” เสียงตะโกนตวาดกร้าวออกคำสั่ง พร้อมด้วยเสียงฝีเท้าของคนอีกหลายชีวิตที่ฟังดูก็รู้ว่ามีมากกว่าสิบ
มันดังอยู่บริเวณนอกซอย แต่ก็ชัดเจนพอจะคาดคะเนได้ง่าย ๆ ว่าอีกไม่นานคงวิ่งตามหาเธอและลูกจนพบ
หญิงสาวตัวสั่นเทากอดเด็กน้อยไว้แน่น ดวงตาเธอเบิกโพลงหวั่นระส่ายมองซ้ายขวา พวกนั้นเป็นกลุ่มคนที่เธอหนีมา มันโหดเหี้ยมและชั่วช้า หากถูกจับได้ก็เท่ากับว่าทั้งชีวิตและลมหายใจจะตกอยู่ในขุมนรก
ถ้าเป็นตัวเธอคนเดียวคงพลีชีพตั้งแต่วินาทีแรก แต่นี่เธอมีลูกชายมาด้วย ลูกชายที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กน้อยที่เพิ่งได้เรียนรู้โลกใบนี้ได้ไม่นาน เธอไม่ต้องการให้ชีวิตของลูกต้องแปดเปื้อนกับเรื่องโสมมพวกนั้น
เมื่อคิดแบบนั้นการตัดสินใจหาทางออกอย่างคนจนตรอกก็เกิดขึ้น พระแพงเชยใบหน้าส่งสายตาอ้อนวอนให้กับเจ้าของปืนราวกับเขาคือที่พึ่งสุดท้าย ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถพรากชีวิตเธอได้ แต่หากลองเปรียบเทียบดูแล้วเขาเลวน้อยกว่าคนพวกนั้น
“ช่วยด้วย ฉันขอร้อง ฉันยอมทุกอย่าง ขอแค่ช่วยฉันกับลูกด้วยเถอะนะ” มือเล็กเอื้อมไปสัมผัสที่ขอบกางเกงของคนตรงหน้า เธอร้องขอทั้งน้ำตา วางทิ้งทุกความถือดีเย่อหยิ่ง
ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากถูกคนพวกนั้นจับได้ชีวิตของเธอก็จะถูกโยนเข้ากรงสีดำ ลูกของเธออาจจะตายหรือไม่ก็ต้องเติบโตในวังวนสกปรกเหล่านั้น ทางเดียวที่ทำได้ก็คือกราบกรานแทบเท้าขอความช่วยเหลือจากเขาคนนี้
เขาโหดเหี้ยมแต่ไม่ได้เลวทรามต่ำช้า เธอยอมเดินเข้ากรงขังของเขาเสียยังดีกว่า
“มาขอร้องฉัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเธอหนีฉันมาตลอดเนี่ยนะ ฮึ...ไม่สมเพชตัวเองหน่อยเหรอ” ร่างสูงตระหง่านย่อลงให้อยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว มือของเขาคว้าจับและออกแรงบีบที่ใบหน้าอาบน้ำตาของเธอ หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนที่เธอดิ้นรนหนีหัวซุกหัวซุนจากเขา
ทว่าในวันนี้เธอกลับมาร้องไห้กราบกรานขอความช่วยเหลือ...น่าสมเพชเสียจริง!
“ฉันขอร้อง ช่วยฉันกับลูกด้วย ฉันยอมทุกอย่างเลย ฉันขอร้อง” หญิงสาวส่ายหน้า มันคือกิริยาปฏิเสธกับคำถามที่ว่าเธอสมเพชตัวเองหรือไม่
ไม่เลย...ตอนนี้เธอไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นนอกจากการเอาชีวิตรอด
หากให้เลือกระหว่างเดินเข้ากรงสีดำกับกรงขังของผู้ชายคนนี้ เธอขอเลือกอย่างหลังแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
เธอรู้จักชื่อเสียงเขาดี เขาไม่ใช่คนใจดีแต่ก็ไม่ใช่คนเลวที่จะพาชีวิตของเธอกับลูกไปสู่ที่อโคจร แต่ก็อาจจะเป็นจุดที่ต่ำที่สุดสำหรับชนชั้นความเป็นมนุษย์ ซึ่งเธอน้อมรับ
“ฉันขอร้องนะคุณศตวรรษ ฉันขอร้อง ช่วยฉันด้วย ฉันยอมทุกอย่างเลย นะคะคุณศตวรรษ” เอ่ยอีกครั้งทั้งแรงสะอื้นที่ตีตื้นหนักขึ้นกว่าเก่า เสียงฝีเท้าและคำตวาดของคนหลายสิบชีวิตเริ่มดังใกล้มากขึ้นทุกที
“ยอมทุกอย่างเลยเหรอ จริงดิ” รอยยิ้มหยัดกว้างขึ้น ทวนคำอ้อนวอนอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เธอเอ่ยออกมานั้นเป็นจริง
ในเมื่อถูกร้องขอก็คงใจร้ายเมินเฉยไม่ได้
‘ศตวรรษ’ ตัดสินใจกับตัวเองได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินตามมาในซอยแคบ ๆ นี้แล้วว่าจะจัดการกับชีวิตสองแม่ลูกยังไง เพียงเขาต้องการได้ยินข้อแลกเปลี่ยนจากเธอเท่านั้น และในเมื่อเธอยอมทุกอย่างดั่งปากว่าจริง ๆ ก็ยินดีช่วยเหลือเธอตามปรารถนา
“ใช่ ฉันยอมทุกอย่าง ขอร้องล่ะ ขอร้องนะคะคุณศตวรรษ” พระแพงตอบรับหนักแน่นไม่มีข้อต่อรอง สิ้นคำพูดเธอก็พร้อมรับมือกับโชคชะตาตัวเองแล้วว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
ใช่ว่าขอร้องเขาแล้วชีวิตของเธอจะได้ดี ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเลวแต่ก็ไม่ใช่คนดีที่จะช่วยเหลือใครฟรี ๆ ซึ่งเธอก็ยอมรับเพราะตัวเลือกสองทางที่มีก็คือเขาที่เลวน้อยสุด
บาปกรรมที่เธอเคยทำไว้กับเขายังมีอยู่มาก และสิ่งที่เขาต้องการจากเธอก็คือการชดใช้อย่างสาสม
เสียงหัวเราะกดต่ำลง มันดังอยู่ในลำคอก่อนที่คำประกาศิตจะเปล่งข้างหู ย้ำชัดให้รู้ว่านับจากนี้ชีวิตของเธอได้หลุดพ้นจากกรงสีดำ และย่างกรายเข้าสู่กรงศตวรรษเป็นที่เรียบร้อย...
“ยินดีต้อนรับสู่โลกใบใหม่!”
