บทที่ 5
ห้องนอนของปอป่าน
ธราเทพโยนร่างบอบบางในชุดแสนเซ็กซี่นั้นลงไปบนเตียง
ตุบ...
“ว้าย... กรี๊ด...” เธอทั้งตกใจ เจ็บจุก และกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจ
หมอนที่มีอยู่บนเตียงถูกเจ้าของขว้างเข้าใส่ธราเทพจนหมดบนเตียงด้วยใบหน้าที่แดงเถือกด้วยความโกรธ
“เลว... สารเลว...” ปากคอยังเราะร้ายว่าให้เขา ปอป่านรีบมองหาสิ่งอื่นที่พอจะทำร้ายเขาได้
‘โคมไฟ’
เธอกระโจนเข้าไปยังโคมไฟ แต่ช้ากว่าธราเทพ เขาคว้าข้อมือน้อย ๆ ที่ตั้งใจจะทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บ
“ปล่อยฉัน โอ๊ย...” แรงที่บีบอยู่ที่ข้อมือทำให้เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ทุกอย่างมันย่อมมีเหตุและผล แล้วคุณควรจะฟังคนอื่นเขาบ้าง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะสกัดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้เต็มที่ เพราะหน้าตาก็แดงก่ำปรากฏให้เห็น
“อะ... ไอ้...” เธอกำลังจะขยับปากด่าทอเขาอีกครั้ง
ธราเทพยกนิ้วชี้ขึ้นมาชี้ตรงไปที่ใบหน้าของเธอ
“หยุด... อย่าเชียวนะ” เขาปรามเธอ
หญิงสาวหายใจฟึดฟัดด้วยความเจ็บใจ
“ไอ้บ้า...” มีหรือที่ปอป่านจะเชื่อและฟังเขา
สองมือที่แข็งแกร่งตะครุบลงไปบนตัวเธอ ก่อนจะทิ้งทั้งร่างทับร่างเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังยื้อยุดกับเขา
ตุบ... แผ่นหลังเล็ก ๆ กระทบลงไปบนที่นอน ตามด้วยร่างใหญ่ที่โถมทับเข้ามาเต็ม ๆ
“อึก... อุบ...” ริมฝีปากสีแดงของเธอถูกปิดลงไปด้วยริมฝีปากหนาและร้อนรุ่มของธราเทพ
“อื้อ..... (ไอ้บ้า)...” เสียงที่ดังอื้ออ้าอยู่ในลำคอ อยากจะด่าเขาแบบนี้
ริมฝีปากของธราเทพบดขยี้เหมือนจะสั่งสอนให้หญิงสาวที่ปากดีหยุดทุกคำพูดให้มันกลืนหายเข้าไปในลำคอ ไม่ให้ส่งเสียงใด ๆ ที่จะลั่นออกมาด่าทอเขาอีก ปลายลิ้นที่สอดแทรกและควานหาความหวานในโพรงปากของเธอ ทำให้ปอป่านตกใจ เธอดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของเขา แต่ก็แพ้แรงของคนตัวใหญ่
ธราเทพแสดงตัวตนให้เธอเห็นว่านับจากวันนี้ไป ปอป่านเป็นของเขา และควรจะต้องอยู่ใต้อาณัติของเขา ไม่ใช่มายืนเถียงหรือด่าทอเขาฉอด ๆ
เธอใช้แรงที่มีอยู่ผลักอกของเขาออกอย่างแรง ธราเทพผละออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวอย่างเสียดาย
ลิปสติกสีแดงถูกละเลงจนเลอะปากของทั้งคู่
ปอป่านถลันตัวลุกขึ้นนั่งได้ ก็ส่งฝ่ามือน้อย ๆ ตีกระทบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มทันที
เผียะ...เผียะ... เขาถึงกับหน้าหันไปตามแรงมือ
น้ำตาของปอป่านไหลริน เธอยกหลังมือขยี้ปากตัวเองเหมือนจะให้ร่องรอยของธราเทพที่ประทับลงมาให้หมดไป
“ออกไป” เธอตะโกนลั่น
แวบนั้น ธราเทพมองใบหน้าของหญิงสาวมีแววเสียใจ แต่ก็แค่แวบเดียว เขาลุกขึ้นหยิบทิชชูใกล้ ๆ ขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปาก
“ถ้ายังมีพฤติกรรมแบบนี้ ก็จะถูกขังอยู่ในห้องนี้ จนกว่าคุณป่านจะทำตัวดีขึ้น และเชื่อฟัง”
“กรี๊ด...” เธอกรี๊ดลั่น ยกสองมือขึ้นทุบบนที่นอนด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะซบหน้าลงไปร้องไห้สะอึกสะอื้นทำตัวเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต และไม่มองหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น
ธราเทพเดินออกมายืนอยู่ที่หน้าห้อง พร้อมกับเช็ดริมฝีปากตัวเองที่เลอะไปด้วยสีแดง
“เอ่อ... อ้า... คะ... คุณธาม” อังศุมายืนเสนอหน้าอยู่ที่หน้าห้อง มองใบหน้าของธราเทพแล้วก็เก้อ รู้เลยว่าต้องเกิดอะไรในห้องนั้น
“ล็อกเอาไว้นะครับ อย่าให้คุณป่านออกมา” เขาสั่ง
“ค่ะ ค่ะ ค่ะ” อังศุมาละล่ำละลัก รีบเอากุญแจที่เตรียมมา ล็อกห้องของหญิงสาวตามที่ธราเทพสั่ง
“ผมจะตามไปดูคุณอาที่โรงพยาบาล แล้วเรื่องที่คุณอาป่วย ห้ามให้คุณป่านรู้โดยเด็ดขาด”
“ค่ะ” อังศุมารับปากอย่างหนักแน่น มองตามแผ่นหลังของธราเทพที่กำลังเดินลงไปทางบันได
อังศุมาแนบหูฟังที่บานประตู ได้ยินเสียงสิ่งของที่หล่นลงไปกระทบกับพื้นแข็ง ๆ แตกกระจาย
“โธ่เอ๊ย... เรื่องมันจะวุ่นวายไปกว่านี้อีกไหม ทำไมไม่บอกคุณป่านไปเลยว่า คุณเฟื่องแย่แล้ว เฮ้อ...” อังศุมายังรู้สึกหนักในหัวใจกับทุกเรื่องที่กำลังดูเหมือนจะแย่ลงไปกว่าเดิม
ณ โรงพยาบาล
“มีอะไรกันอีกครับ”
คุณหมอมนัสทำหน้าเครียด ๆ
“เฟื่องอยากจะกลับบ้านค่ะ เฟื่องไม่อยากจะนอนโรงพยาบาล”
ทั้งคุณหมอมนัสและธราเทพต่างมองหน้ากัน
คุณผุดผ่องยังจับมือของเฟื่องรัตน์แน่น
“คุณเฟื่องคะ รักษาตัวก่อนนะคะ คุณหมอเพิ่งให้ยาทางสายน้ำเกลือไปเอง นอนพักเถอะค่ะ ยังไงถ้าคุณเฟื่องดีขึ้น พรุ่งนี้เราค่อยกลับบ้านกัน” ผุดผ่องปลอบโยนเหมือนเฟื่องรัตน์เป็นเด็ก ๆ
“แต่เฟื่องเป็นห่วงยายป่าน เฟื่องไม่อยากให้ยายป่านรู้เรื่องที่เฟื่องป่วย”
“โธ่เอ๊ย... คุณเฟื่องคะ เรื่องแบบนี้จะปิดกันได้อีกนานแค่ไหนคะ อีกหน่อยทุกคนก็ต้องรู้ รวมถึงคุณป่านด้วย”
“แต่มันก็คงไม่ใช่ตอนนี้ เฟื่องเป็นห่วงความรู้สึกของยายป่าน ยายป่านแกต้องเสียใจมาก”
คุณหมอมนัสพยักหน้าให้พยาบาลฉีดยาอีกเข็ม
ธราเทพเดินเข้าไปใกล้ แตะมือลงไปบนหลังมือของเฟื่องรัตน์
“นอนหลับพักผ่อนก่อนนะครับคุณอา อย่าคิดมาก ผมยังอยู่ทั้งคน”
ทุกคนต่างสงสารเธอแต่คงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้
ธราเทพนั่งอยู่กับนายแพทย์มนัสเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทของเขาที่เชี่ยวชาญในเรื่องประสาทวิทยา
“ผมหนักใจที่คุณเฟื่องไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาต่างหากครับ”
ธราเทพถึงกับถอนหายใจ
“ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการรักษาและผ่าตัดก้อนเนื้อในสมอง ซึ่งดีขึ้นกว่าในอดีตมาก ผลแทรกซ้อนก็น้อย มีความแม่นยำในการผ่าตัดสูงขึ้น อีกอย่างความก้าวหน้าทางยาเคมีบำบัด ฉายแสงก็มีให้เลือก ทีนี้เราจะปกปิดทางญาติของคุณเฟื่องรัตน์ตามคำขอไม่ได้อีกแล้วนะครับ เพราะพวกเราทุกคนต้องมาช่วยกันตัดสินใจและเลือกวิธีการรักษาคุณเฟื่องรัตน์ร่วมกัน”
หมอมนัสแสดงความกังวล
“ขอเวลาผมคุยแบบจริงจังกับคุณเฟื่องอีกทีนะครับ”
“ก็ได้ครับ แต่เร็วนิดหนึ่งนะครับ เพราะอาการที่เป็นอยู่ของคุณเฟื่องจะทำให้เธอทรมานมาก ๆ”
“ผมรู้ครับ”
“ตอนนี้ทำได้แต่ให้ยาระงับอาการปวดแบบนี้ต่อไป แต่อีกหน่อยยาที่ให้มันก็จะให้ผลน้อยลง เพราะก้อนเนื้อที่กดทับเนื้อสมองที่ใหญ่ขึ้น จากที่ผมดูแล้วมันโตรวดเร็วด้วยนะครับ” หมอมนัสชี้ให้เขาดูภาพที่แสดงอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ครับ”
สองหนุ่มมองหน้ากัน ชีวิตของคนหนึ่งคน ใครจะตัดสินใจแทนได้ ถ้าเจ้าตัวแสดงเจตนารมณ์ออกมาแบบนั้น
ธราเทพหนักใจในเรื่องของเฟื่องรัตน์แล้ว ยังต้องมานั่งหนักใจในเรื่องของคู่หมั้นสาวอีกด้วย เขานึกไปถึงใบหน้าน้อย ๆ ที่แผลงฤทธิ์จนเขานึกขยาด
‘นี่แค่เริ่มต้นนะ ต่อไปจะเป็นยังไงอีก หากเรื่องต่าง ๆ ที่ปกปิดปอป่านเอาไว้ตอนนี้ เธอรู้เรื่องขึ้นมา เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ’
