บทที่ 1
บ้านหลังใหญ่แถบชานเมืองกรุงเทพมหานครถูกซื้อมาในราคาราวสามล้านบาท เนื่องจากมีพื้นที่ใช้สอยมากมาย สะดวกสบายหรูหราสมฐานะ และยังเงียบสงบผู้คนไม่พลุกพล่านอีกด้วย ชายหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้านซึ่งมีความสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ยืนกอดอกมองสมบัติชิ้นใหม่ของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ รอยยิ้มมีเสน่ห์บนใบหน้าบ่งบอกเขาว่ากำลังมีความสุขอย่างที่สุด
แทนธีรา ไตรชีรารัตน์…เป็นคนจันทบุรีโดยกำเนิด บิดามารดาของเขาทำธุรกิจไร่ดอกไม้นานาพันธุ์มานานหลายสิบปี หลังจากพวกท่านเสียชีวิตไป เขาก็มีหน้าที่รับช่วงกิจการต่อ ไร่ไตรชีรารัตน์ถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในภาคตะวันออก เนื่องจากมีพันธุ์ดอกไม้และต้นไม้ที่หายากมากมาย แน่นอนว่ามันย่อมเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง ด้วยสภาพอากาศของเมืองไทยอาจจะไม่เหมาะกับพืชพันธุ์บางประเภทนัก แต่ที่เขาสามารถประคับประคองธุรกิจนี้จนมั่นคงได้ เพราะรู้จักการค้นคว้าด้วยตัวเอง และยังลองผิดลองถูกจนเกือบต้องปิดกิจการอยู่แล้ว โชคดีที่แทนธีราไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาจึงหาทางพลิกผันกลับมารุ่งเรืองได้อีก
อันที่จริงก็ใช่ว่าแทนธีราจะอยากย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายนัก แต่เขากำลังจะขยายธุรกิจในกรุงเทพให้มากขึ้น เลยต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่นานเป็นปี ด้วยความที่เป็นคนรักลูกเมีย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจซื้อบ้านอีกหลัง และขอให้ภรรยาพาลูกสาวเพียงคนเดียวย้ายมาอยู่ด้วยกันเสียเลย ตอนนี้บ้านสวนที่จันทบุรีมีน้องสาวกับเพื่อนสนิทของเขาดูแลแทนอยู่ ซึ่งข้อนี้เองที่ทำให้หมดห่วง หากมีเวลาค่อยกลับไปดูงานบ้างเป็นครั้งคราวก็พอ
“คุณพ่อขา” เจ้าของเสียงแหลมเล็กฉุดแทนธีราให้ตื่นจากภวังค์ รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ว่าไงคะน้องอ้อน หนูชอบบ้านหลังใหม่หรือเปล่า” คนเป็นพ่อถามพร้อมยกร่างเล็กลอยละลิ่วขึ้นสู่อ้อมอก แทนธีราหอมแก้มนุ่มนิ่มของลูกสาวซ้ายขวา
“ชอบค่ะ บ้านหลังใหญ่มากเลย มีสระว่ายน้ำด้วย” เด็กหญิงอารียาหรือน้องอ้อนจูบแก้มคุณพ่ออย่างเอาใจ
“ลูกชอบมากเลยค่ะ แต่แกบอกว่าคิดถึงบ้านที่จันทบุรีมากกว่า” ภรรยาคนสวยเดินตามมาสบทบ
“เป็นธรรมดาครับ ลูกเกิดและโตที่บ้านสวน อีกหน่อยคงคุ้นเคยกับกรุงเทพมากขึ้นเอง”
ภัทรรัตน์พยักหน้าเห็นด้วยกับสามี ก่อนจะรับลูกสาววัยสามขวบมาอุ้มไว้เอง แทนธีราโอบเอวภรรยาเดินเข้าไปในบ้าน ข้าวของที่จำเป็นถูกนำเข้ามาจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้ว เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่นั้นชายหนุ่มสั่งซื้อใหม่ทั้งหมด เสียเงินเพิ่มไปอีกหลายแสนบาท แต่เขาไม่รู้สึกเสียดายเลยเมื่อเห็นรอยยิ้มของภรรยาและลูกสาว
“แทนคะ คุณคงไม่ลืมนะคะว่าวันนี้วันอะไร” ภัทรรัตน์หันมาถาม
“ผมไม่ลืมหรอกครับ วันเกิดลูกสาวคนสวยของเราทั้งที ผมจะลืมไปได้ยังไง” แทนธีราโน้มตัวลงหอมแก้มหญิงสาว แต่ถูกเธอตำหนิผ่านทางสายตาแบบไม่จริงจังนัก เพราะเขินอายแม่บ้านสองคนที่พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อีกทาง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมรักคุณยังไง ผมก็แสดงออกแบบนั้น” สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทำให้ภัทรรัตน์ยิ้มหวาน แม้จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมากว่าห้าปีแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังแสนดีกับเธอเสมอ
เดิมทีภัทรรัตน์เป็นคนที่ค่อนข้างขี้โรค และดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขเหมือนกับคนอื่น เพราะเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่สร้างปมด้อยให้เธอสารพัด แต่เมื่อมีแทนธีราก้าวมาเข้าในชีวิต หัวใจเธอก็ได้พบกับสิ่งที่โหยหามาตั้งแต่เด็ก นั่นคือความรักความห่วงใยที่จริงใจจากใครสักคน
“ขอบคุณมากนะคะที่ดีกับภัทรเสมอ ภัทรดีใจมากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับแทน แต่ถ้าวันไหนไม่มีภัทรแล้ว แทนต้องดูแลตัวเองให้ดีนะคะ” ภัทรรัตน์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ออกมา
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะภัทร ผมไม่ชอบเลยนะ” แทนธีราใจหายอย่างประหลาด
“ภัทรก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ อืม...เราขึ้นข้างบนไปอาบน้ำแต่งตัวกันดีไหมคะ ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้วด้วย ภัทรกลัวว่าลูกจะหิวน่ะค่ะ” ภัทรรัตน์ตัดบทเปลี่ยนเรื่องเอาง่ายๆ แทนธีราไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมา เพราะคิดว่าเธอคงพูดไปเรื่อยเปื่อย ต่อให้คำพูดพวกนั้นจะสะกิดใจเขาอย่างประหลาดก็ตาม
“โอเคครับ แต่งตัวสวยๆกันเป็นพิเศษเลยนะ วันนี้ผมจะพาคุณกับลูกไปเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบสี่ขวบที่ร้านอาหาร วันนี้ห้ามทานน้อยด้วย คุณต้องทานให้มากหน่อยนะภัทร รู้ไหมว่าคุณน่ะผอมมากเลย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มภรรยาเบาๆ
“ได้สิคะ อาหารมื้อค่ำของวันนี้ ภัทรจะทานให้ท้องแตกไปเลย” หญิงสาวยิ้มรับอย่างว่าง่าย แต่รู้สึกใจหวิวไม่น้อย เมื่อคิดไปเองว่าบางทีนี่อาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่จะได้ร่วมโต๊ะกับสามีและลูก
“ดีครับ ถ้างั้นคุณพาลูกขึ้นไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวผมขอจัดการธุระสักครู่ แล้วจะรีบตามขึ้นไป”
“ค่ะ” ภัทรรัตน์พยักหน้า ก่อนจะพาน้องอ้อนเดินขึ้นข้างบนไป
