ตอนที่ 1-1 : หนุ่มเกียร์ช้ำรักกะหล่ำปลี
[เต... ตานายกลับบ้านมาดูแลแม่แทนพี่นะ แม่อายุมากแล้ว พี่ต้องไปทำธุระต่างจังหวัด] เสียงเข้มบอกผ่านสายมาก่อนเงียบไปไม่มีบอกกล่าวคำลา
เจ้าของร่างสูงในเสื้อสีสะท้อนแสงเขียวแปร๋น หมวกเฮลเมทสีขาวทรงกลมยืนหน้าเข้มอยู่กลางไซด์งานด้วยท่าทีหงุดหงิด ต้นเหตุมาจากสายของพี่ชายเจ้าปัญหา ทว่าเขาคงไม่สามารถระบายอารมณ์ลงที่ใครได้ หรือให้มันมารบกวนการทำงาน
ธรรมดาของตฤณภพก็เป็นอย่างนั้น เป็นพี่ชายที่พูดมากต่อยหนัก! แต่ละคำหลุดจากปากมาไม่มีดี บทจะวางหูใส่วางแล้ววางเลยมาตั้งนานโข ทำไมเขาจะไม่ชิน...
ด้วยอาชีพแสนเคร่งเครียดของเจ้าตัวที่ต้องฟังเสียงเครื่องมือแพทย์แสนหนวกหู ใช้ชีวิตอยู่แต่กับช่องปากคนอื่นทั้งวัน น้องชายอย่างเตชินคงยินดีให้อภัย...
สถานที่กว้างขวางเบื้องหน้ามีแหล่งน้ำสำคัญที่เขาจะต้องทำรางวัดเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างคือตึกระฟ้าโครงการใหญ่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของวิศวกรอีกทีมหนึ่งหลังจากนี้
ตัวเขาและเพื่อนร่วมงานต่างชาติคงหมดหน้าที่แล้วได้กลับไปนอนตีขา พักผ่อนยาว ๆ สักพักก่อนกลับมารับงานใหม่
ลมกรรโชกพัดแรงขึ้นตามสภาพอากาศบอกว่าน่าจะมีพายุลูกเล็ก ๆ การใส่เสื้อสีสะท้อนแสงเป็นเครื่องบ่งชี้ของผู้ทำงานกลางแจ้ง ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้ดี
ตึกระฟ้าตรงหน้ากำลังจะเสร็จ หัวหน้าทีมวิศวกรเร่งบอกเพื่อนร่วมงานเกือบสิบชีวิตว่าให้เร่งมือ ต่างคนจึงแยกย้ายกันไปทำงาน
เช่นเดียวกับหนุ่มเอเชียหน้าคมเข้มที่บินลัดฟ้ามาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่า ๆ
เตชินเดินกลับไปในพื้นที่ตรงกลางหน้าตึกกระจก โน้มตัวลงก้มหน้า มองผ่านกล้องที่ใช้วัดมุมระดับแนวราบและแนวดิ่ง [1] ขาตั้งกล้องสีเหลืองและตัวกล้องสีขาวในมือของเขานั้นเรียกว่าเป็นหนึ่งในไอเท็มที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ
ได้เลขและข้อมูลที่ต้องการแล้วเขาจดลงกระดาษบนโต๊ะ เพื่อนอีกสองคนช่วยจับมันไว้จนเขาลงรายละเอียดเล็กน้อยเสร็จจึงพับเก็บมันให้เรียบร้อยลงกล่องกลม ๆ สำหรับเก็บกระดาษ อีกส่วนหนึ่งก็จดลงแท็บเล็ตประจำตัว
การสำรองงานมีทั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์และส่งถึงมือกัน อย่างหลังเป็นที่นิยมมากกว่าสำหรับบอสบางคน ที่ไม่ชอบให้ข้อมูลของตนหลุดรอดลงระบบฐานข้อมูล
เสร็จงานวันนี้แล้วเตชินถึงได้มีรอยยิ้มขึ้นบ้าง เขาเงยหน้าขึ้นโบกมือลา
“Take care Guys, I have to go now.... See you next time”
“Okay, I look forward to our next meeting. Have a goodtime in thailand”
คำบอกลาของเพื่อนร่วมงานคนสนิทผ่านรอยยิ้มของชายหนุ่มไป พร้อมกับที่เขายกนิ้วโป้งให้บรรดามิตรสหายในต่างแดน เป็นอันจบงานยักษ์ใหญ่ของปี
ทั้งการทักทายและบอกลาเป็นการยกมือบอกแทนวัฒนธรรมเก่า เหตุเพราะวิกฤติการณ์โรคระบาด
ชายหนุ่มถอดหมวกของที่นี่แนบไว้กับลำตัว มือยกหมวกฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ ขยับหน้ากากอนามัยสีดำให้กระชับแน่นติดจมูกโด่งเป็นสันคม ด้วยความที่เขาต้องใส่มันทุกวันตั้งแต่ตื่นนอนตามกฎของสถานที่ทุกแห่งในโลก
หลังจากที่ก้าวขาขึ้นรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ด้านหลังตึก เสียงสั่นดังของโทรศัพท์มือถือในกางเกงทำให้ต้องหยิบขึ้นมาอีกรอบ
ตาคมหลุบมองจอสี่เหลี่ยมในกำมือ เป็นเบอร์โทรศัพท์ขึ้นต้นด้วย +66 เตชินจึงสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย ยกโทรศัพท์แนบหูฟังเสียงแสบแก้วหูกรอกมาตามสาย
[เต... พี่โทรมาย้ำ! อย่าลืม... กลับมาอยู่กับแม่ ณ บัดนาว!]
“เออ ๆ เดี๋ยวกลับโว้ย! ไม่ได้หูหนวก บอกให้แม่จองตั๋วมาละกัน เซ้าซี้น่ารำคาญว่ะ”
ตาณวีร์เป็นพี่ชายคนโตสุดของบ้าน ความหมายของชื่อคือผู้ปกป้อง คุ้มกันภัยให้น้อง ๆ อีกสองคน ถึงคนเล็กสุดจะไร้สัมมาคารวะในบางครั้ง
[ขึ้นวะกับพี่ชายเหรอ? เดี๋ยวมึงโดน...]
คำขู่ฟ่อของพี่คนโตสุดนั้นเตชินไม่เคยหวั่นกลัว ไหวไหล่ตอบ “เออสิวะ ไอ้ตาน”
[ไม่แปลกที่คุณอริสาไม่เอาไปทำสามี... ชีช้ำกะหล่ำปลีต่อไปนะ ไอ้หนุ่มเกียร์]
“ไอ้...!”
ตู้ด ตู้ด ตู้ด...
สายที่ตัดไปอย่างไร้เยื่อใย ชายหนุ่มคงทำได้แค่สาดทอคำสบถว่าพี่ชายต่าง ๆ นา ๆ ในรถยนต์ลำพัง
กระทั่งเสียงลมแรงขึ้นเรื่อย ๆ บอกว่าผู้คนควรจะต้องกลับที่พัก เขาชะเง้อคอมองสภาพท้องฟ้ามืดครึ้มจึงรีบบึ่งรถออกในทันที
รถฟอร์ดสีดำแล่นฉลิวไป ในความกังวลใจของคนขับที่กำลังนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง...
อดีตลูกสะใภ้คนดีของคุณแม่ทำให้เขาต้องผิดหวังช้ำรักอยู่นานกับการไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง
พอคุณหมอหมาคาบแม่สาวงามไปรับประทานเรียบร้อย เขาเลยตีตั๋วมาอาศัยอยู่ประเทศอังกฤษ กับโฮสต์แฟมิลี่สมัยเรียนปริญญาตรี และโท
