ตอนที่ 1 หนุ่มบ้านนา
หนุ่มบ้านนา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคอีสาน)
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่ขนานเรียกกันติดปากว่า ‘ภาคอีสาน’ นั่นเอง ในพื้นที่ของถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญ เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในชนบท ปลายฤดูหนาว มีเพียงฝูงวัวควาย ที่ชาวบ้านต่างนำออกมาเลี้ยงที่กลางทุ่งนา เพราะเป็นช่วงที่ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว
บ้างก็ขุดปูหาปลาตามหนองน้ำ และน้ำที่พอยังขอดอยู่ตามซอกหลุมเล็ก ๆ (ปลาข่อน) เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้มีชีวิตรอดไปในแต่ละวัน ส่วนคนหนุ่มสาวนั้น ส่วนใหญ่ต่างก็มุ่งหน้าสู่เมืองกรุงกัน เพื่อหางานทำเลี้ยงชีพต่อไป...
“บักหล่า แน่ใจแล้วบ้อลูก ว่าสิไปเรียนต่อกรุงเทพฯอีหลี” (ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม ที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯจริง ๆ) เสียงหญิงวัยสี่สิบปีเอ่ยถาม เมื่อลูกชายในวัยเพียงสิบแปดปี ซึ่งเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้าน และเป็นลูกชายคนโต ยื่นรายชื่อนักศึกษาใหม่ที่ลูกชายสอบติดมาให้ดู
คำนาง หญิงวัย 40 ปี ตอนนี้กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อผู้เป็นสามีที่เป็นเสาหลักของครอบครัว เสียชีวิตไปเมื่อ 5 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุ นับจากนั้นมาคำนางจึงทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้แก่ลูก ๆ ทั้งสอง และผู้เป็นแม่ในวัยชราด้วย
คำนางมีลูกสองคนเป็นชายและหญิงที่อายุห่างกันมาก ลูกชายคนโต(ลูกชายกก) มีชื่อว่า ชนาวิชญ์ หรือ บักวิด เป็นชื่อเรียกติดปาก ของคนที่สนิทมักใช้เรียกขานกัน พึ่งจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และกำลังจะเข้าไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่เมืองหลวง เพราะสอบได้ทุนติดที่นั่น
ส่วนคนที่สองนั้น คือลูกสาว(ลูกสาวหล่า) ซึ่งมีนามว่า ชนิดา หรือที่ทุกคนเรียกขานกันในนามของ หนูนิด เด็กหญิงอายุพึ่งได้ 7 ขวบ และพึ่งจบการศึกษาในระดับชั้นอนุบาล ลูกทั้งสองคนของเธออายุห่างกันตั้งสิบสองปี
เดิมทีคำนาง ตั้งใจที่จะมีลูกแค่คนเดียว เพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ลูกสาวเลยกลายมาเป็นลูกหลงที่ห่างกันกับพี่ชายเป็นรอบ
“แน่ใจแล้วครับแม่ ไปอยู่กรุงเทพฯกะดีคือกัน สิได้ลดค่าใช้จ่ายแม่ทางนี้ แล้ววิดสิหางานเฮ็ดไปนำเลย” (แน่ใจแล้วครับแม่ ไปอยู่กรุงเทพฯก็ดีเหมือนกัน จะได้ลดค่าใช้จ่ายแม่ทางนี้ด้วย แล้ววิชญ์จะหาทำไปด้วยเลย) เสียงหนักแน่เอ่ยตอบคนเป็นแม่ออกไป เพราะตั้งใจแล้วว่าจะไปหางานทำและศึกษาเล่าเรียนต่อที่นั่น
ชนาวิชญ์ หนุ่มวัยเพียง 18 ปีกว่า ที่ตอนนี้เป็นเสาหลักของครอบครัวแทนผู้เป็นบิดา ต้องหารายได้ระหว่างเรียนในช่วงปิดเทอมและในวันหยุด เพื่อช่วยจุนเจือครอบครัว เพราะคิดว่าการที่ได้ไปอยู่ในเมืองแห่งความเจริญแบบนั้น จะสามารถหางานทำได้ง่าย และเงินจะดีกว่าทางนี้ เลยเลือกสมัครสอบชิงทุนตามคำแนะนำของครูที่ปรึกษาดู แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสอบติดจริง ๆ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากพอสมควร
และตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ระหว่างที่รอมหาวิทยาลัยเปิดภาคเรียนนั้น เขาจะเดินทางไปล่วงหน้า เพื่อหางานทำก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิด เพื่อที่จะได้มีเงินส่งกลับมาให้แม่และน้องสาวที่บ้าน
“แล้วบักหล่าสิไปมื้อใด” (แล้วลูกจะไปวันไหน) เสียงของหญิงชรา ผู้เป็นยายถามขึ้นมา
ยายนา หญิงวัยชราในวัย 70 ปี ที่ร่างกายยังคงแข็งแรงดีอยู่ และยังเป็นคนที่ลี้ยงดูหลานชายเพียงคนเดียวมาตั้งแต่แบเบาะอีกด้วย
“ไปอาทิตย์หน้าเลยครับยาย วิดโทรฯไปบอกลุงหมานไว้แล้ว” (ไปอาทิตย์หน้าเลยครับยาย วิชญ์โทรฯไปบอกลุงหมานไว้แล้ว) เขาตอบผู้เป็นยายออกไปตามตรง
เพราะลุงหมานที่เขาเอ่ยถึง ก็คือลุงสมานที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับแม่ของเขา เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ แถมอยากให้เขาเข้าไปทำงานด้วย เมื่อรู้ว่าหลานชายจะไปเรียนที่นั่น เพราะเขาปรึกษาเรื่องที่อยู่กับลุงหมานก่อน ค่อยมาบอกแม่และยาย
ส่วนเรื่องเรียน เขาไม่กังวลแล้ว เพราะเมื่อถึงเวลาเปิดเรียน เขาจะเข้าพักที่หอพักนักศึกษาแทน จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปด้วย
*
*
*
*
สัปดาห์ต่อมา
และเมื่อถึงวันเดินทางจริง ๆ ที่ชนาวิชญ์ต้องจากบ้านเกิดไปอยู่เมืองกรุงจริง ๆ ผู้เป็นยาย จึงนำฝ้ายผูกแขนให้แก่หลานชาย และสร้อยคอทองคำ แต่เป็นลายสำหรับผู้หญิงน้ำหนักหนึ่งบาทให้แก่หลานชายไปด้วย เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่อยากจะมอบให้แก่หลานชาย
เขาเดินทางด้วยรถตู้ เพราะส่งถึงที่ จะได้ไม่ลำบากลุงหมานมารับด้วย และมีของฝากที่คนเป็นแม่ของเขานำไปให้ลุงหมานด้วย จึงเลือกนั่งรถตู้แทนรถบัสประจำทาง
เมื่อมาถึงที่พักของลุงหมาน ซึ่งเป็นตึกแถวอยู่ในชุมชน แถมยังใกล้กับมหาวิทยาลัยของเขาพอดี และลุงหมานเปิดร้านขายข้าวแกงอาหารตามสั่ง เขาจึงทำหน้าที่เป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ช่วยงานเกือบสามเดือน โดยที่ไม่ขอรับค่าจ้างเลย เพื่อตอบแทนที่ลุงหมานและป้าสะใภ้ให้ที่อยู่อาศัยตน แต่ลุงหมานก็ให้เขาอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร แต่ลุงหมานก็หาวิธีอ้างจ่ายค่าจ้างอยู่ดี
*
*
*
สามเดือนต่อมา
แล้วเมื่อถึงวันที่มหาวิทยาลัยเปิด และเขาก็ได้ย้ายออกไปอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัยแทน ส่วนทุกวันหยุดก็จะเข้ามาช่วยลุงหมานและป้าสะใภ้อยู่ตลอดเหมือนเช่นเดิม
และวันนี้หนึ่งเดือนเต็มแล้วที่เขาเป็นนักศึกษาอย่างเต็มตัว เขายังไม่มีเพื่อนหรือใคร เพราะเขาเป็นคนที่พูดน้อย และไม่กล้าที่จะเข้าไปหาใครก่อน
เขากำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึกคณะฯ เมื่อเดินออกมาจากตึกในช่วงก่อนเวลาพักกลางวัน แต่สายตาดันสะดุดเข้ากับอะไรบ้างอย่างที่ล่วงอยู่ หลังจากหญิงสาวพึ่งจะลุกออกไปได้ไม่ไกลมากนัก เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วตามเอาไปให้หญิงสาวทันที
“ขอโทษครับ นี่ใช่กระเป๋าสตางค์ของพี่หรือเปล่า พอดีผมเห็นว่ามันตกอยู่ที่พื้นตรงโต๊ะหินอ่อนที่พี่นั่งอยู่ ก่อนที่ผมจะไปนั่ง” เขาเอ่ยเรียกตามหลังหญิงสาวที่กำลังเดินออกไป ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอทันที
หญิงสาวหยุดชะงักนิ่ง เพราะยังอึ้งที่คนร่างสูงตรงหน้าใบหน้าหล่อเหลาเอาการถึงแม้จะไม่ถึงขั้นที่ว่าฟ้าประทาน แต่ใบหน้าเจ้าเสน่ห์สามารถทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ได้ ก่อนที่จะพยักหน้ารับเมื่อตั้งสติได้
“ใช่จริง ๆ ด้วย ขอบคุณนะ” เธอรับกระเป๋าสตางค์มาจากมือของเขา แล้วเขาก็จากไปทันที โดยที่เธอเอ่ยเรียกไว้ไม่ทัน เพราะอยากตอบแทนเขา อย่างน้อยก็เลี้ยงน้ำเขาก็ยังดี
นับแต่จากนั้นมาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่อยู่คณะเดียวกัน ทำไมไม่เจอหน้าชายหนุ่มปีหนึ่ง ผู้หวังดีคนนั้นเลย
