บทที่ 5 สายตาพยัคฆ์
บทที่ 5 สายตาพยัคฆ์
เสียงเดินเท้าของเหล่าทหารที่ตื่นตัวตั้งแต่รุ่งสาง และกลิ่นอาหารเช้าที่ลอยมาตามลม ไม่ได้ทำให้ไป๋ซูเหมิงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย นางใช้มือลูบใบหน้าซีดเซียวของตัวเอง พยายามขจัดความเหนื่อยล้าที่ยังคงเกาะกุม ร่างกายบอบบางของนางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วราวกับถูกทุบตี ยิ่งเมื่อนึกถึงสัมผัสใกล้ชิดของหลงเทียนเมื่อคืน ใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงก่ำด้วยความอับอายและหวาดหวั่น
ไป๋ซูเหมิงเดินออกมาจากกระโจมใหญ่ของแม่ทัพด้วยท่าทางที่ยังคงหวาดระแวง นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ความรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้จุดหมายเข้าครอบงำ ทหารหลายนายเดินสวนกันไปมา บ้างก็ฝึกซ้อมดาบ บ้างก็เตรียมเสบียง แต่ไม่มีใครสนใจหญิงสาวร่างบอบบางอย่างนางเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูไป๋ซูเหมิง!” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ไป๋ซูเหมิงสะดุ้งเล็กน้อย นางหันกลับไปมอง พบกับชายหนุ่มร่างผอมสูงผู้หนึ่ง ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนและมีแววเป็นห่วงในดวงตา ชายผู้นั้นสวมชุดของแพทย์หลวง
“ท่านคือ...?” ไป๋ซูเหมิงถามอย่างงุนงง
“ข้าคือจิ่นซี แพทย์หลวงประจำกองทัพของแม่ทัพหลง” จิ่นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าทหารคนอื่นๆ “แม่ทัพหลงสั่งให้ข้ามาตรวจอาการท่าน”
ไป๋ซูเหมิงแปลกใจเล็กน้อย หลงเทียนจะใส่ใจอาการของนางด้วยหรือ? หรือนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการควบคุม?
จิ่นซีเดินเข้ามาใกล้ ไป๋ซูเหมิงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากแววตาของจิ่นซี ซึ่งแตกต่างจากความเย็นชาของหลงเทียนอย่างสิ้นเชิง
“ท่านมีบาดแผลหรือไม่” จิ่นซีถาม พร้อมกับกวาดสายตามองสำรวจไปทั่วร่างของไป๋ซูเหมิง “ดูท่านไม่ค่อยสบายนัก”
ไป๋ซูเหมิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยอมดึงขากางเกงขึ้นมา เผยให้เห็นรอยแผลบวมช้ำที่ข้อเท้าที่ยังคงปวดแสบเล็กน้อย
จิ่นซีมองบาดแผลอย่างละเอียด ก่อนจะหยิบขวดเล็กๆ ออกมาบรรจงเทยาลงบนผ้าแล้วพันแผลให้ไป๋ซูเหมิงด้วยความอ่อนโยน
“บาดแผลเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วง” จิ่นซีกล่าว “แต่พักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำเยอะๆ และกินอาหารเสียบ้าง ท่านดูอ่อนเพลียมาก”
ไป๋ซูเหมิงพยักหน้าเล็กน้อย นางรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของจิ่นซี แม้จะรู้สึกอึดอัดที่ต้องรับความช่วยเหลือจากศัตรู
“ทำไมท่านถึง...?” ไป๋ซูเหมิงถามอย่างไม่เข้าใจ
จิ่นซียิ้มเล็กน้อย “แม่ทัพหลงอาจจะดูเย็นชา แต่เขาก็ยังคงดูแลชีวิตของคนในกองทัพเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม”
คำพูดของจิ่นซีไม่ได้ทำให้ไป๋ซูเหมิงรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย นางยังคงมองว่านี่เป็นเพียงการควบคุมที่โหดร้ายของหลงเทียน
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังเข้ามาใกล้ จิ่นซีและไป๋ซูเหมิงหันไปมองพร้อมกัน และก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของหลงเทียนกำลังเดินตรงเข้ามาภายใน ใบหน้าคมคายของนางฉายแววดุดันยิ่งกว่าปกติ ดวงตาคมกริบกวาดมองมาที่ไป๋ซูเหมิงและจิ่นซีอย่างรวดเร็ว
จิ่นซีรีบก้มศีรษะลงทำความเคารพ “ท่านแม่ทัพ”
หลงเทียนไม่ได้ตอบรับคำทักทาย เขาเดินเข้ามาใกล้จนเกือบจะชิดตัวไป๋ซูเหมิง ไป๋ซูเหมิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอันตรายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของหลงเทียน ทำให้ร่างกายของนางเย็นเฉียบจนขนลุก
“เจ้าทำอะไร” หลงเทียนถามเสียงห้วน สายตาคมกริบจับจ้องไปที่มือของจิ่นซีที่ยังคงพันแผลให้ไป๋ซูเหมิงอยู่
“ข้ากำลังทำแผลให้คุณหนูไป๋ซูเหมิงขอรับ” จิ่นซีตอบเสียงนุ่มนวล
หลงเทียนไม่พูดอะไร เขามองไปที่บริเวณข้อเท้าที่ขาวเนียนตรงหน้า แม้ว่าจะมีรอยแดงจ้ำม่วงบดบังสายตาก็ตาม ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้างดงามของไป๋ซูเหมิง ดวงตาของหลงเทียนฉายแววเย็นเยียบจนไป๋ซูเหมิงรู้สึกราวกับถูกเปลวเพลิงเผาผลาญ
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้” หลงเทียนออกคำสั่งกับจิ่นซีเสียงเข้ม
จิ่นซีพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงไป๋ซูเหมิงกับหลงเทียนสองคนในลานโล่ง
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดลงทันที ราวกับว่าเสียงทั้งหมดได้หายไปจากโลกนี้ มีเพียงเสียงหัวใจของไป๋ซูเหมิงที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง นางรู้สึกถึงสายตาของหลงเทียนที่จับจ้องมาอย่างไม่ลดละ ราวกับเหยี่ยวที่กำลังจ้องมองกวางน้อยที่ติดกับดัก
“สบายดีแล้วหรือ” หลงเทียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบจนไป๋ซูเหมิงไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ไป๋ซูเหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ก้มหน้าหลบสายตาคมกริบของหลงเทียน
“ดี” หลงเทียนกล่าวสั้นๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ไป๋ซูเหมิง
ไป๋ซูเหมิงรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเมื่อหลงเทียนยืนอยู่ใกล้ นางพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“เจ้าอย่าได้คิดเล่นลูกไม้อันใดกับข้า” หลงเทียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “จงเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของข้า แล้วชีวิตของเจ้าจะปลอดภัย”
ไป๋ซูเหมิงเงยหน้าขึ้นมองหลงเทียนด้วยความตกใจ นางไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องทำถึงเพียงนี้ การถูกเฝ้าจับตาดูตลอดเวลาเป็นความทรมานอย่างแสนสาหัส
“ทำไม?” ไป๋ซูเหมิงถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
หลงเทียนหันมามองไป๋ซูเหมิงช้าๆ ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาจนไป๋ซูเหมิงรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“ในเมื่อชีวิตเจ้ายังมีประโยชน์ต่อข้า เช่นนั้นก็จงรักษาเอาไว้ให้ดี” หลงเทียนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไล้แก้มขาวเนียนตรงหน้า แม้ว่าเวลานี้จะแห้งตอบลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงนุ่มเนียนจนหลงเทียนถึงกับเผลอกลืนน้ำลายลงคอ
คำพูดและการกระทำของหลงเทียนทำให้ไป๋ซูเหมิงถึงกับสะบัดหน้าหนีด้วยความตื่นตระหนก “นี่ท่านคิดจะทำอันใด” น้ำเสียงประหม่าที่ดังออกมาราวกับคำราม แม้ว่าเนื้อตัวจะเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นขึ้นมา
“เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังข้า” หลงเทียนกล่าวเสียงกระซิบ ใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้ไป๋ซูเหมิง จนไป๋ซูเหมิงสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่าย “และจงจำไว้ว่าหากเจ้าคิดจะขัดคำสั่ง ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ”
ดวงตาของหลงเทียนฉายแววอำมหิตที่ทำให้ไป๋ซูเหมิงรู้สึกขนลุกซู่ นางไม่เคยพบเจอใครที่น่ากลัวเท่านี้มาก่อน ชายผู้นี้สามารถทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย โดยไม่สนใจความรู้สึกหรือชีวิตของใครเลย
ไป๋ซูเหมิงทำได้เพียงยืนนิ่ง ตัวสั่นเทาภายใต้สายตาคมกริบราวเหยี่ยวของหลงเทียน นางรู้สึกราวกับตัวเองกำลังถูกขย้ำ และไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของพยัคฆ์ทมิฬผู้นี้ไปได้เลย
