CHAPTER 2
“จริงสิ ถ้าช้าขึ้นไปก่อนได้ไม่ต้องรอนะ ฝากบอกน้ำหวานด้วย”
การแยกออกมามันเป็นแค่ความตั้งใจล้วนๆ ไม่ได้อยากเข้าห้องนงห้องน้ำอะไรหรอกเพียงแค่เห็นอะไรบางอย่างเข้ามาเตะสายตาต่างหาก สายตาของฉันจ้องมองไปยังกลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้นประมาณห้าหกคนเดินมาก็สามารถเรียกสายตาของพวกผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
ก็ที่เปลวหล่อนบอกให้หนามเตยดูนั่นแหละ
เปิดฉากขึ้นแล้วสินะ...
พวกนั้นเดินเข้ามานั่งม้าหินอ่อนถัดจากที่ฉันไปเว้นระยะห่างแค่หนึ่งโต๊ะ ความโดดเด่นแต่ละคนไม่แพ้กัน คงมีแค่ฉันเท่านั้นที่จับจุดมองไปจุดเดียว
ชายคนนั้นนั่งบนที่พิงเอาเท้าใหญ่เหยียบเก้าอี้หนึ่งข้างอีกข้างกับเหยียดตรง เรือนผมสีเทาเน้นใบหน้าเรียวให้ดูขาวสว่างออร่า เขาอยู่ในชุดนักศึกษาไม่เรียบร้อยใดๆ ทั้งสิ้นโดยปลดกระดุมลงมาสองเม็ดโชว์แผงอก ชายเสื้อนักศึกษาแขนสั้นออกนอกกางเกงยีนเผยรอยยิ้มเสียงหัวเราะกับเพื่อน มีความสุขเหลือเกิน
หึ... พอฉันละสายตามองโต๊ะที่จากมามันก็ว่างเปล่าไร้คนนั่งมีแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวดตั้งอยู่พร้อมแก้วพลาสติกส่วนกระเป๋าน้ำหวานคงเอาไปให้แล้ว
ไม่ว่าจะวันไหนการเผชิญหน้าต้องเกิดขึ้นอยู่ดีแล้วทำไมฉันต้องหลบอีก การเท้าก้าวออกมาเดินอ้อมไปอีกด้านมานั่งลงม้าหินอ่อนตัวเดิมประจวบเหมาะที่เดิมของฉันหันหลังให้พวกนั่นอยู่แล้ว
“เบอร์ดาวนิติ อยู่ในมือกูแล้วเว้ย”
“ไรกันวะ ไหนเมื่อวานมึงบอกอยากได้ไลน์ดาวแพทย์”
หัวข้อก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าหยุดยั้งใดๆ ทั้งสิ้นมีแต่จะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ตามประสาแต่สำหรับฉันมันขัดตา
“มึงต้องถามไอ้ห่าอาร์ต มันเอามาให้กู”
หึ... คราวนี้เป็นฉันเองที่เหยียดยิ้มสมเพชกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“เหี้ยแล้วมึงดูรอยยิ้มมันดิ ดูดิวะ เหยด... บ่งบอกมากว่ามันมีความสุขแค่ไหน ห่ารากคนเป็นเพื่อนอิจฉาครับ”
ฝ่ามือฉันกำเข้าหากันแน่น บีบรัดเกร็งจนกระทั่งมันสั่นน่าแปลกที่ความเจ็บปวดไม่แล่นเข้ามาให้รู้สึกแต่อย่างใดทว่ามันมีความอัดอั้นเต็มไปหมด
คนหนึ่งมีแต่น้ำตา อีกคนกับมีรอยยิ้ม
คนหนึ่งชีวิตนี้คงปราศจากเสียงหัวเราะ อีกคนกับไม่สำนึก
“ก็แค่... มีความสุขไม่ได้หรอวะ?”
ปัง!
ทุกอย่างรอบตัวเงียบเฉียบ
ไม่มีเสียงเปล่าอะไรออกมาสักแอ๊ะ
เสียงมาจากฉันเองโดยการใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงโต๊ะไม้ข้างกายไปอีกนิดความรุนแรงไม่ต้องถาม มันแรงมาก
แรงเพราะอยากให้มันดัง
ไม่ละเวลาให้มันล่วงเลย ฉันเลือกยืนเต็มความสูงค่อยๆ หันใบหน้าไปมองกลุ่มผู้ชายพวกนั้นไม่สนสายตาคู่ไหนเว้นแค่นัยน์ตาสีดำคู่นั้น คู่ที่ฉันต้องการให้ชีวิตนี้มันมีแต่ความฉิบหายไม่สามารถแสดงความสุขออกมาให้เห็นได้อีก
แว่นตาถูกถอดออกทิ้งลงพื้นไม่คิดใยดีมัน
แกร็ก...
พร้อมกับคว้าน้ำมาในมือ น้ำขวดนั้นถูกเปิดออกก่อนยื่นออกมาเทตรงหน้า สายน้ำเล็กๆ หยดลงสู่พื้นอิฐตัวหนอนกระเด็นกระทบปลายรองเท้าหยดแล้วหยดเล่าแต่ฉันก็ไม่คิดสนใจเพราะจ้องมองไปยังผู้ชายคนนั้น พอน้ำหมดขวดรอยยิ้มเหยียดของตัวเองก็แสดงให้เห็นกึ่งท้าทายกึ่งสมเพช
“มีซะให้พอ ก่อนที่เจ้ากรรมนายเวรมาตามเก็บ”
ต้องการเน้นย้ำประโยคและเน้นย้ำในแต่ละคำช้าๆ เป็นประโยคยาว ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เสียเวลาเหมือนทุกครั้งที่ฉันคิดว่าแม้จะพูดคุยกับใครจะสาวความยึดไปทำไม บอกไปสิตรงๆ คนฟังถ้าไม่โง่ปัญญาอ่อนเขาเข้าใจอยู่แล้ว
ทุกอย่างรอบตัวเงียบงันลงไม่มีเสียงใครพูด ไม่มีเสียงหัวเราะใดๆ ทั้งสิ้น สถานการณ์ชวนสยองขนลุกแม้กระทั่งน่ากลัวสำหรับคนอื่นแต่ไม่ใช่ฉันกับร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีดำคู่นั้น เขายังอยู่ในถ่วงท่าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทว่าสบสายตาฉันไม่ได้สักนิด
เงียบเหรอ...
ใช้ความเงียบเอาชนะทุกอย่างสินะ
คิดว่าโลกนี้มีคนเดียวที่เคยทำหรือยังไง ไม่มีใครโง่มาตั้งแต่กำเนิดหรอกทุกอย่างคือการเรียนรู้ไปหมดจะชั่วดีเทามันคือการพัฒนาทั้งนั้น ใครบางคนเมื่อก่อนดีแสนดีแม่ชียังเรียกพี่ทว่าตอนนี้กับเลวแสนเลวนรกยังน่าขยาดไม่อยากรับด้วยซ้ำฉันคงเป็นคนจำพวกหนึ่งในนั้น
“มึงรู้จักหรือวะไอ้อาร์ต?”
“...”
หน่วยกล้าตายหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นเบือนใบหน้ามองฉันทีมองผู้ชายนั้นที คำตอบที่ได้ก็คือความเงียบเหมือนในตอนนี้ไม่มีคนชื่ออาร์ตอีก
‘อาร์ต’ ชื่อของมัน ชื่อที่ทำให้ฉันกลับมาตรงนี้อีกครั้ง ชื่อที่ทำให้ฉันลืมไม่ลง ชื่อที่ถูกลิสต์ขึ้นบัญชีดำฐานะเกลียดเข้ากระดูกดำฝังลงเส้นเลือดและก็เป็นชื่อที่ฉันตั้งใจตั้งชื่อใครคนหนึ่งคล้ายเพื่อเตือนความเจ็บปวด
เตือนทุกอย่างไม่ให้ลืมแล้วถึงกลับมาใหม่
ใครหลายคนต่างเตือนต่างห้ามก็ไม่เป็นผล ความคลั่งแค้นมันต้องจบด้วยการเอาคืนเท่านั้นไม่ใช่ปล่อยให้จางหายลืมเลือนไปกับสายลมแล้วถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เราเจ็บคนนั้นต้องเจ็บ
แกร๊ก...
เพราะจมอยู่กับความคิดนานไปพอรู้ตัวร่างสูงของผู้ชายคนนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้นตรงหน้าที่ฉันยืน เขาไม่สนใจกางเกงตรงเข่าอีกข้างมันเปียกชื่นไปด้วยน้ำแค่ไหน มือขาวซีดเห็นเส้นเลือดปูดออกมาตามลักษณะมือผู้ชายยื่นออกมาจับแว่นตาที่ฉันทิ้ง การกระทำพวกนี้เงียบมากถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่แต่มันก็ไม่ได้มีอิทธิพลแม้แต่น้อย
อยากเป็นคนดี?
หึ...
ได้สิ
แกร๊ก!
คนดีไม่มีในโลก
โลกนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว
ทันทีที่เท้าเหยียบเข้าไปตรงกลางแว่นตาก็หักครึ่งเลนส์ตาแยกกระจาย ไม่พอฉันยังขยับเท้าขยี้ซ้ำไปมาโดยฉิวเฉียดมือขาวแค่นี้ก็ประจักษ์สายตาทุกคนแล้วว่าฉันไม่ใช่คนดี ฉันคือนางร้ายในโลกละคร คือนางแม่มดนางปีศาจในโลกนิยายและก็คือนางมารร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง
“สะเออะ”
