MY HUSBAND รักมากมายนายสามี

117.0K · จบแล้ว
ลีอิมนา
40
บท
825
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

MY HUSBAND รักมากมายนายสามี [ คาวี x มีนา ] _____ คาวี คาวี ภัทรเวศ      "แต่งงานกับคาวีสิครับ แล้วคาวีจะไป"          "พูดอะไรของนาย"          "ถ้าเราแต่งงานกัน ได้อยู่ด้วยกัน มีนาอาจจะรักคาวีก็ได้นะครับ"          "..."          "แต่ถ้าวันไหนที่ความรู้สึกของคาวีมันบอกว่ามีนาไม่มีทางรักคาวีได้จริง ๆ … คาวีจะไปเองครับ"          "..." มีนา หรือ ปลา มีนา ปัญญากาล "อย่าบอกนะว่ากำลังคิดว่าฉันเป็นห่วงนาย" "..." "ถ้าคิดแบบนั้นจริง ๆ นายคิดผิดนะ เพราะฉันไม่ได้เป็นห่วงนาย และที่ลงมาทำนี่ก็เพราะนาฬิกาปลุกบ้า ๆ ของนายนั่นแหละที่มันดังรบกวนเวลานอนของฉัน" "..." "อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย" ...ร่วมด้วย... ไททั่น "ฉันชอบเธอนะยี่หวา" ยี่หวา "เออ! ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน พอใจยัง!" _____ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่2ของเรา ฝากติดตาม สนับสนุน และให้กำลังใจเราด้วยนะคะ

ผู้ชายอบอุ่นแต่งงานก่อนรักเด็กเรียนนิยายรักโรแมนติกพระเอกเก่งนิยายรักรักวัยรุ่นนิยายปัจจุบันรักแรกพบนักศึกษา

MY HUSBAND EP: 1

1

 

         มีนา TALK

         คาวีรักมีนา

         ฉันยืนอ่านตัวหนังสือสีฟ้าที่ถูกเขียนไว้ด้านหลังของเสื้อนักเรียนม.ปลาย เพราะในขณะที่กำลังจะหยิบเสื้อนักศึกษาในตู้เสื้อผ้าออกมารีด สายตาของฉันก็สะดุดเข้ากับเสื้อนักเรียนตัวนี้ แถมมือเจ้ากรรมก็ดันหยิบออกมาดูเฉยเลยด้วย

         มันเป็นประโยคเดียวที่ถูกเขียนไว้บนเสื้อนักเรียนของฉันในวันที่ฉันจบม.6 และด้วยความที่หน้าตาฉันมันดูหยิ่ง ๆ เลยไม่ค่อยมีเพื่อน และไม่ค่อยมีใครอยากเข้าหา ส่วนฉันเองก็ไม่อยากสุงสิงกับใครเหมือนกัน แต่โชคดีที่พอเข้าเรียนระดับมหา'ลัยฉันมีเพื่อนถึงสองคนคือ ยี่หวา กับ ไททั่น

         ส่วนคนที่เขียนประโยคนี้ให้ฉันน่ะเหรอ อย่าให้พูดถึงเลยดีกว่า เพราะขนาดตัวฉันเองก็ยังงงมาจนถึงทุกวันนี้เลยว่า ยอมให้เขาเขียนประโยคนี้ใส่เสื้อตัวเองได้ยังไง

         "ยายปลา! เอาเงินมาซิฉันจะไปถอนทุนที่เสียไปเมื่อวานคืนมา" นี่เป็นเสียงของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าของฉันเอง เธอมักจะมาขอเงินฉันแบบนี้ในทุก ๆ เช้า

         "เมื่อไหร่จะเลิกเล่นสักทีแม่ มันไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้นหรอกนะไอ้วงไพ่บ้า ๆ นั่นน่ะ"

         "วงไพ่บ้า ๆ งั้นเหรอ ปากแกนี่มันจริง ๆ เลยนะ"

         "นังปู! แกจะขอเงินลูกทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะ ปลามันทำงานหาเงินกว่าจะได้แต่ละบาท แกจะเอาไปเล่นไพ่ทุกวันเลยเรอะ สงสารลูกมันบ้างสิ" เสียงของยายป้อม ยายบังเกิดเกล้าของฉันตะโกนมาจากชั้นล่าง

         "แล้วใครใช้ให้มันโง่ปล่อยคนรวย ๆ แบบคาวีไปละ ไม่งั้นป่านนี้เราก็คงสบาย มีลูกเขยหลานเขยเป็นเศรษฐีไปนานแล้ว" แม่หันมามองฉันตาขวาง

         "หนูให้ร้อยเดียวนะคะ" เมื่อได้ยินชื่อของคนที่เป็นเจ้าของประโยคบนเสื้อฉันก็เลยรีบควักเงินออกมาให้แม่

         "ร้อยเดียว! แกจะให้ฉันวางเดิมพันครั้งละบาทเหรอ"

         "ถ้าแม่จะเอามากกว่านี้ เย็นนี้ก็ไม่มีเงินซื้อกับข้าวนะคะ คงต้องกินแค่ข้าวเปล่า ๆ " ฉันพูดออกไปตามตรง แม้จะรู้ว่าคนอย่างแม่คงจะคิดไม่ได้ แต่อย่างน้อยเธอก็คงไม่อยากกินข้าวเปล่า ๆ โดยที่ไม่มีกับข้าวหรอกนะ

         "เออ! ร้อยเดียวก็ดีกว่าไม่ได้เล่นวะ" แม่ดึงเงินไปจากมือของฉันแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สบอารมณ์ ฉันจึงเก็บเสื้อนักเรียนไว้ในตู้ตามเดิม ก่อนจะลงมือรีดชุดนักศึกษาที่จะใส่ไปเรียนวันนี้

         "ปลาไปเรียนก่อนนะคะพี่ขุนเขา แล้วเจอกันนะคะ" ฉันหันไปพูดกับโปสเตอร์พี่ขุนเขาที่ติดไว้บนผนังหัวเตียง หลังจากที่แต่งตัวเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว

         ในห้องยังมีรูปของพี่ขุนเขาอีกหลายรูป เพราะฉันติดเอาไว้จนเต็มห้อง เวลาเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ นอกจากยายแล้วก็มีรูปพวกนี้แหละที่ทำให้ฉันยิ้มได้และสบายใจขึ้น

         พี่ขุนเขาเป็นซุปตาร์ที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้ ฉันติดตามพี่เขามาตั้งแต่ที่เราอยู่โรงเรียนม.ปลายด้วยกัน ตอนนั้นถึงเขาจะยังไม่ได้เป็นดารา แต่ก็ฮอตมาก ๆ เลยละ ถึงแม้ว่าฉันจะหน้านิ่ง ๆ แต่ก็แอบปลื้มพี่เขาอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่ได้ปลื้มจนคิดอยากจะเป็นคนรักหรือพิศวาสอะไรนะ มันเป็นรักที่ไม่ได้หวังให้พี่เขารักตอบ และเป็นรักที่แฟนคลับมีให้กับดาราหรือศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ เพราะฉันรู้ไงว่าถ้ารักแบบคู่รักจริง ๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน และตอนนี้พี่ขุนเขาก็แต่งงานแล้วด้วยนะ ภรรยาของพี่เขาชื่อพี่ขนม น่ารักมาก ๆ เลยละ แถมตอนนี้พี่ขนมก็กำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ อีกด้วย

         ฉันเก็บของที่ต้องใช้ใส่กระเป๋าแล้วเดินลงมาชั้นล่างก็เห็นยายป้อมกำลังนั่งลูบหัวเจ้าสำลีที่นอนอยู่บนตัก พอได้เห็นภาพนี้ที่ไรขอบตาของฉันมันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทุกครั้ง

         ยายของฉันมองไม่ค่อยเห็น แม้ภาพที่ท่านมองเห็นจะยังไม่มืดสนิทแต่มันเลื่อนลางไปหมดแล้ว เพราะท่านป่วยเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่อายุสี่สิบกว่าปี เป็นมานานจนตอนนี้ท่านอายุหกสิบห้าปีแล้ว เมื่อสองปีที่แล้วท่านมักจะเดินชนสิ่งของต่าง ๆ บ่อยมากจนฉันเริ่มผิดสังเกต แต่พอถามท่านก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร และด้วยความที่ยายฉันทำอาชีพขายผลไม้สด ท่านจะเข็นรถเข็นไปขายที่หน้าโรงเรียนของฉันทุกวัน แต่สองปีที่แล้วนั้นฉันกำลังอยู่ชั้นปีที่1 เลยไม่สามารถไปช่วยยายขายได้เหมือนแต่ก่อน

         แล้ววันหนึ่งเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะยายเกือบจะโดนรถชน แต่โชคดีที่มีคนช่วยยายไว้ เขาแนะนำให้ฉันพายายไปหาหมอ เพราะดูเหมือนว่าท่านจะมองไม่เห็นแล้ว

         ฉันพยายามถามและเกลี้ยกล่อมให้ยายไปหาหมอ จนสุดท้ายยายถึงยอมไป คุณหมอบอกว่ายายเป็นโรคเบาหวานมานานเลยทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่จอประสาทตา หรือที่เรียกว่าเบาหวานขึ้นตา จะต้องรีบรักษาด้วยการใช้เลเซอร์

          พอรับการรักษาแล้วแต่อาการก็ยังไม่หายดี ฉันจึงให้ยายเลิกขายผลไม้ เพราะฉันกลัวว่ายายจะเป็นอันตราย อีกอย่างยายก็มักจะโกหกฉันเสมอว่าท่านหายแล้วไม่เป็นอะไรเลย แต่ท่านไม่อยากเลิกขาย เพราะกลัวว่าฉันจะลำบากมากกว่าเดิม เนื่องจากฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหา'ลัยทุกอย่างเลยเต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นา ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น

         แต่ฉันสัญญาว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง เพราะยายเหนื่อยเพราะฉันกับแม่มามากแล้ว ท่านควรจะได้พักสักที ยายจึงยอมเลิกขายผลไม้และยอมอยู่ที่บ้านเฉย ๆ เหมือนกับแม่ แต่ท่านก็ยังขอร้องให้ฉันเก็บรถเข็นผลไม้เหมือนเดิม

         หลังจากที่ยายเลิกขายผลไม้ทุกอย่างก็เหมือนจะดีขึ้น แต่พอมาถึงปีนี้อาการของท่านกลับแย่ลงกว่าเดิม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วฉันพายายไปพบจักษุแพทย์ ท่านบอกว่าต้องทำการผ่าตัดโดยเร็วไม่อย่างนั้นยายอาจจะต้องสูญเสียดวงตาและมองไม่เห็นไปตลอดชีวิต แต่ด้วยค่ารักษาที่ค่อนข้างสูงสำหรับครอบครัวฉัน ยายจึงยังไม่ได้ผ่าตัด ฉันถึงต้องหาเงินมาให้พอค่ารักษาให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป

         ถ้าฉันรู้เร็วกว่านี้ ฉันจะไม่เรียนต่อเลย

         "จะไปแล้วเหรอ" ยายถามขึ้นเมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ ๆ ท่าน ถึงยายจะมองไม่ค่อยเห็นแต่หูท่านดีเชียวนะ

         "ใช่ค่ะ หนูจะไปทำงานก่อนแล้วค่อยไปเรียน" ฉันนั่งลงข้าง ๆ ยายแล้วเอื้อมมือไปลูบขนเจ้าสำลีที่นับวันยิ่งจะอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ มันนอนหลับปุ๋ยอยู่บนตักอุ่น ๆ ของยายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

         "พักบ้างนะปลา อย่าทำแต่งานมากนักสิ เดี๋ยวจะไม่มีเรี่ยวมีแรงเรียนนะลูก" ยายเอ่ยและหันมาหา ฉันจึงขยับเข้าไปใกล้ ๆ ท่านแล้วสวมกอดเพื่อหากำลังใจ

         "หนูจะหาเงินมารักษายายให้ได้ค่ะ รอหน่อยนะคะ" ฉันพูดออกไปโดยที่ไม่สามารถห้ามน้ำตาเอาไว้ได้เลย แต่ก็ต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพราะไม่อยากให้ยายได้ยิน กลัวว่าท่านจะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม

         "ไม่เป็นไร ๆ ขอแค่หนูไม่เหนื่อย ต่อให้ตาบอดตลอดชีวิตยายก็ยอมลูก" ยายเอามือคลำ ๆ เพื่อหาศีรษะของฉัน พอคลำถูกแล้วท่านจึงค่อย ๆ ลูบกลุ่มผมของฉันอย่างอ่อนโยน

         "อย่าพูดแบบนี้สิคะ" ฉันผละออกจากอ้อมกอดและเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ

         ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดแน่ ๆ ต่อให้ยายจะช่วยเหลือตัวเองได้เป็นบางอย่างเพราะมีไม้เท้า รวมถึงท่านใช้ความพยายามและความชำนาญจดจำว่าห้องน้ำ ห้องครัว หรือแม้กระทั่งห้องนอนและส่วนต่าง ๆ ของบ้านมีอะไรอยู่ตรงไหนบ้างก็ตาม ยายต้องกลับมามองเห็นอีกครั้งสิ

         "จะไปก็รีบไปเถอะ อาลัยอาวรกันอยู่ได้ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายกันพอดี" แม่เดินออกมาจากห้องครัวโดยที่ในมือกำลังถือถ้วยข้าวต้มที่ฉันตื่นมาทำตั้งแต่หกโมงเช้าออกมาด้วย

         "ไปเถอะลูก อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลย"

         "แม่!"

         "หรือมันไม่จริงล่ะ แกมันไม่เคยสร้างประโยชน์อะไรเลยจริง ๆ เอาแต่พูดแว๊ด ๆ อยู่ได้"

         "พอเถอะค่ะ อย่าทะเลาะกันเลย" ฉันรีบปรามไว้ก่อนที่เรื่องมันจะไม่จบอยู่แค่นี้

         "ค่ากับข้าวมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นนะคะ วันนี้หนูอาจจะกลับดึก" ฉันบอกยายพร้อมกับยัดเงินใส่มือให้ท่านสองร้อย เพราะถ้าฉันให้แม่เธอก็คงเอาไปลงวงไพ่จนหมดนั่นแหละ และแม่ก็ต้องมาเอาเงินจากยายเพื่อไปซื้อกับข้าวในตอนเที่ยงอีกที เพราะฉันไม่อยากให้ยายทานของที่เหลือจากตอนเช้า ส่วนตอนเย็นฉันจะซื้อกับข้าวมาเองหลังจากเลิกงาน ปกติฉันจะให้ไว้แค่ร้อยเดียว แต่วันนี้ฉันต้องไปทำงานที่ผับตามคำแนะนำของพี่ดา เจ้าของร้านกาแฟที่ฉันทำงานอยู่ เพราะเธอแนะนำว่าถ้าฉันไปเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นั่นจะได้เงินดีมาก ๆ พี่ดาเลยฝากเพื่อนที่เป็นผู้จัดการผับรับฉันเข้าทำงาน วันนี้ฉันเลยอาจจะกลับดึกหน่อย

         "หนูจะทำงานเพิ่มอีกเหรอ" ยายถามด้วยสีหน้ากังวล

         "เปล่าหรอกค่ะ พอดีว่ายี่หวาขอให้หนูช่วยติวให้" ฉันจำเป็นต้องโกหกท่านออกไป เพราะไม่อยากให้ยายเป็นห่วงมากกว่าเดิม

         "ติวให้แบบนี้ก็ต้องคิดค่าติวด้วยนะ ไม่งั้นแกจะเหนื่อยเปล่า ๆ " ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่านี่เสียงใคร

         "นังปู!" ยายตะคอกออกไปอย่างเหลืออด

         "แม่นะแม่ เดี๋ยวก็ปล่อยให้อยู่คนเดียวซะหรอก" ว่าแล้วแม่จึงวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะตรงหน้ายาย

         "พูดเหมือนกับแกไม่เคยปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวเลยนะ เดี๋ยวพอฉันกินเสร็จแกก็ไปเข้าวงไพ่อีกตามเคย"

         "แม่!"

         ทั้งสองยังคงไม่มีใครยอมใคร แต่ที่ยายพูดมันก็เป็นเรื่องจริง ยังดีที่อย่างน้อย ๆ แม่ก็ยังกลับมาหาข้าวหาน้ำให้ยายกิน ถึงยายจะบอกว่าไม่ต้องมาก็ตาม

         "แต่ฉันก็ไม่ได้ทิ้งแม่หนิ"

         "เพราะแกกลัวว่ายายปลาจะไม่ให้เงินไปเล่นไพ่ไงละ"

         "แม่!"

         "พอเถอะค่ะ!" ฉันห้ามศึกเป็นครั้งสุดท้าย สมแล้วจริง ๆ ที่ทั้งสองคนเป็นแม่ลูกกัน ไม่มีใครยอมใครเลยจริง ๆ

         "เดี๋ยวฉันจะไปเอาน้ำมาให้ล้างมือนะ" ว่าจบแม่ก็เดินสะบัดก้นไปยังห้องครัวอย่างอารมณ์เสีย

         "แล้วเอามันออกไปไกล ๆ เลยนะไอ้สำลีน่ะ ขนหล่นลงถ้วยหมดพอดี" แต่ก็ยังไม่วายหันมาแว๊ดใส่ยายอีกครั้ง

         "เออ!" ยายตวาดทั้งสีหน้าเอื้อมระอา

         "มาค่ะ เดี๋ยวหนูเอามันไปนอนที่ของมันเอง" ฉันอุ้มเจ้าสำลีมาไว้แนบอก แม่กับยายเถียงกันดังลั่นแต่มันก็ยังนอนเฉยอยู่อีก ขี้เซาจริง ๆ

         "คราวนี้หนูไปจริง ๆ แล้วนะคะ" ฉันหันไปบอกยายอีกครั้งเมื่อเอาเจ้าสำลีไปนอนที่ของมันแล้ว

         "ไปเถอะลูก" ท่านพยักหน้าเบา ๆ

         "หนูไปแล้วนะแม่"

         "เออ ๆ !" เสียงแม่ตะโกนมาจากในครัว

         "อย่ากลับดึกนักละ"

         "ค่ะยาย" รอหนูหน่อยนะคะ ยายจะต้องหายให้ได้

…..

         ฉันออกจากบ้านและเดินมายังร้านโจ๊กของลุงน้อยที่อยู่หน้าปากซอยไม่ไกลจากบ้านฉันมากนัก

         ฉันมาที่นี่เพื่อรับจ้างล้างถ้วยโจ๊กที่ลูกค้ากินเสร็จแล้ว ซึ่งจะมีคนเอามากองไว้หลังร้านให้ฉันล้างก่อนจะไปเรียนในทุก ๆ เช้า มันเป็นงานอีกอย่างหนึ่งที่ฉันกำลังทำอยู่

         "สวัสดีค่ะลุง"

         "หวัดดี ๆ วันนี้เยอะหน่อยนะ คนมาเยอะกว่าปกติ" ฉันพยักหน้าและเดินไปหลังร้านอย่างรีบร้อน เพราะตอนนี้มันเจ็ดโมงแล้ว และฉันมีเรียนตอนแปดโมงตรง แต่จะไปทันไหมล่ะเนี่ย

         และพอได้เห็นกองถ้วยชามที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเต็มไปหมด ความหวังที่จะไปเรียนให้ทันมันก็หายไปทันที รู้อย่างนี้ฉันไม่น่าใส่ชุดนักศึกษามาเลย กระโปรงทรงเออีกต่างหาก

         ฉันลงมือจัดการล้างกองถ้วยชามอย่างเอาเป็นเอาตาย กว่าจะล้างเสร็จก็จะแปดโมงแล้ว

         ครืดดด ครืดดด

         เสียงโทรศัพท์ของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น ฉันเลยถอดถุงมือและหยิบขึ้นมาดู

       ยี่หวา

         "ฮัลโหล"

       "ยายปลา ทำไมไม่มาสักทีเนี่ย อ.จะเข้าแล้วนะ" ปลายสายพูดออกมาอย่างรีบร้อน

         "ฉันเพิ่งล้างถ้วยเสร็จ วันนี้มันเยอะกว่าปกติ"

       "โอ๊ยยย ทำไงดีล่ะทีนี้ วันนี้ อ.ยิ่งจะเก็บสามคะแนนอยู่ด้วย"

         "ไม่เป็นไรหรอก แกกับไททั่นเรียนไปก่อนเถอะ"

       "เฮ้อออ งั้นก็รีบมาให้ทันวิชาต่อไปนะ"

         "โอเค"

       "อื้ม เจอกัน ๆ / รีบมานะปลาน้อย" เสียงยายยี่หวาที่พ่วงมากับไททั่น

         พอยี่หวาวางสายไปแล้วฉันจึงถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า วิชานี้เป็นวิชาว่าความของชั้นปีที่สาม และด้วยความที่คณะฉันคะแนนสอบไฟนอลเต็มเก้าสิบคะแนน ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่มีทางสอบได้เยอะขนาดนั้น นั่นจึงทำให้คะแนนเก็บสิบคะแนนนี้มีค่ามาก ๆ แต่วันนี้ฉันก็พลาดไปแล้วสามคะแนน

         "ขยันจริง ๆ เลยนะ" ลุงน้อยเอ่ยชมแล้วยื่นเงินห้าร้อยบาทมาให้ฉัน

         "ทำไมเยอะจังคะ" ปกติลุงน้อยจะให้แค่สองร้อยเองนะ วันนี้ถ้วยเยอะก็จริงแต่ค่าจ้างมันก็เยอะเกินไปอยู่ดี

         "เอ่อ..." ลุงน้อยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนพยายามคิดอะไรสักอย่าง

         "พอดีว่าวันนี้ถ้วยมันเยอะ ลุงก็สงสารเรานั่นแหละที่ขยันมาทำงานทุกวัน คิดซะว่าเป็นสินน้ำใจจากลุงก็แล้วกันนะ นาน ๆ ถึงจะให้ทีหนึ่ง ไม่ได้ให้ทุกวัน รับ ๆ ไปเถอะนะอย่าคิดมากเลย" ลุงน้อยยัดเงินใส่มือให้ฉันอย่างรีบ ๆ

         "ขอบคุณนะคะลุง" ฉันรับมาแบบไม่เต็มใจมากนัก แต่ก็ยกมือไหว้และเอ่ยขอบคุณลุงน้อยอย่างเต็มใจ ซึ่งท่านก็พยักหน้าให้ฉัน

         พอลาลุงน้อยเสร็จแล้วฉันจึงเดินออกมาจากหลังร้านเพื่อไปรอรถเมล์ไปมหา'ลัย

         "แก ๆ นั่นไงลูกนางปู นางชื่อปลา"

         "หลานยายป้อมที่เคยขายผลไม้น่ะเหรอ"

         แต่ยังไม่ทันจะเดินออกมาจากร้านได้ ฉันก็หยุดชะงักโดยอัตโนมัติ เมื่อได้ยินชื่อของยายกับแม่

         "ก็ใช่น่ะสิ เมื่อกี้ฉันเห็นมีผู้ชายเอาเงินให้ลุงน้อยไปจ่ายค่าจ้างให้นางด้วยนะ สงสัยจะตกหลุมรักนางเข้าซะแล้ว"

         "ตายจริง! เดี๋ยวก็โดนทำเสน่ห์ใส่เหมือนที่นางปูมันทำกับผัวหรอก ยิ่งเป็นแม่ลูกกันซะด้วยสิ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแน่ ๆ " ฉันทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่นอย่างโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อได้ยินทุกอย่างที่ผู้หญิงสองคนนั้นคุยกัน นินทาระยะเผ่าขนขนาดนี้เลยเหรอ

         แต่สิ่งที่ทำให้ฉันโมโหไม่ได้มีแค่เรื่องที่แม่หรือฉันจะไปทำเสน่ห์ใส่ใครหรอกนะ

         ฉันโมโหเพราะได้ยินว่ามีผู้ชายเอาเงินให้ลุงน้อยเพื่อมาจ่ายค่าจ้างให้ฉันต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ถ้าไม่ใช่... นายคาวี

         ฉันหันหลังกลับและเดินตรงไปหาลุงน้อยที่อยู่หลังร้าน แต่ก่อนจะไปหลังร้านฉันก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองหน้าผู้หญิงสองคนที่เหลืออยู่ในร้าน ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและดูหยิ่ง ๆ ของฉัน ซึ่งเธอทั้งสองก้มหน้าและกินโจ๊กต่ออย่างตั้งอกตั้งใจทันทีเมื่อเห็นหน้าฉัน

         "อ้าวปลา ลืมอะไรไว้เหรอ" ลุงน้อยถามฉันอย่างงง ๆ

         "เขาอยู่ไหนคะ ผู้ชายที่ให้เงินนี้มาเขาอยู่ไหน" ฉันถามออกไปอย่างมีน้ำโห พร้อมทั้งชูเงินที่ลุงน้อยให้ขึ้นมาอย่างเหลืออด

         "มะ หมายถึงใครเหรอ ลุงไม่เข้าใจ" ลุงน้อยยังคงทำเป็นไม่รู้เรื่อง

         "ก็ผู้ชายคนนั้นไงคะ นายอยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ฉันตะโกนขึ้นและมองไปรอบ ๆ บริเวณนี้ นายนั่นต้องอยู่แถวนี้แน่ ๆ

         "มะ มีนา..."