Chapter 4: Favorite smell
พ่อเลี้ยงของกานต์ไม่ใช่คนดุ แต่เป็นคนระเบียบจัด เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่เป็นแบบแผน ไม่ชอบอะไรที่นอกกฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้ และที่สำคัญ...ไม่ชอบเด็กดื้อ
เรื่องนี้กานต์ท่องจำขึ้นใจแล้ว ถึงจะไม่ได้โดนดุ แต่ก็ใช่ว่าอยากจะถูกดวงตาคู่สวยของออสตินจับจ้องอย่างจับผิดเท่าไรหรอก หลังจากที่โดนดุไปวันนั้น วันรุ่งขึ้นมาเรียก็ถูกสั่งให้มาดูแลเขาระหว่างที่พ่อเลี้ยงไม่อยู่อีกครั้ง คราวนี้กานต์ข่มความเกร็ง ไม่หนีไม่หลบ ยอมพูดคุยกับมาเรียตลอดทั้งวัน จนกระทั่งความขัดเขินระหว่างคนแปลกหน้าค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย ความจริงแล้ว แม่บ้านคนนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ทำให้เด็กหนุ่มกำพร้าอย่างเขารู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีออสตินเป็นพ่อเลี้ยง
เหตุผลน่ะเหรอ?
เพราะออสตินเป็นคนใจกว้าง...
มาเรียพร่ำชมชายหนุ่มไม่หยุดว่าถึงจะเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความลึกลับจนให้บรรยากาศเข้าถึงได้ยาก ทว่าตัวตนที่แท้จริงของเขากลับเมตตาใจดี เขาเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเกี่ยวกับเด็กและสตรี มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาสในอเมริกามากมายหลายร้อยโครงการด้วยซ้ำ
ไม่ใช่แค่ใจกว้างแล้ว ยังใจดีอีกด้วย
กานต์เสริมในใจ จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับตัวออสตินโดยการเล่าเรื่องผ่านมาเรียตลอดทั้งวัน ข้อมูลใหม่เท่าที่กานต์รู้ในวันนี้นอกจากเรื่องข้างต้นก็คือออสตินอายุสามสิบห้า ไม่เคยแต่งงานมาก่อน ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว เป็นหนุ่มโสดตัวคนเดียว ครอบครัวเก่าก็ไม่มี พอคิดจะสร้างครอบครัวกับผู้หญิงสักคนขึ้นมาบ้าง ผู้หญิงคนนั้นก็มาด่วนจากไปทั้งที่แต่งงานกันได้ไม่กี่เดือน ซึ่งนั่นก็คือแม่ของเขาเอง
เด็กหนุ่มเสียดายอยู่สักหน่อยที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ถ้ามีแม่อยู่ด้วยในตอนนี้ ครอบครัวของเขาจะสมบูรณ์แค่ไหน กานต์ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย แต่ถึงจะไม่มีแม่อยู่แล้ว เขาก็ยังชอบออสตินอยู่ดี และความนิยมชมชอบก็ทวีมากขึ้นด้วยเมื่อมาเรียว่า...
“ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะรับเธอมาอุปการะ มีแต่คนรอบข้างคัดค้าน แต่เขาไม่ฟังใครเลย พูดอยู่ประโยคเดียวว่าจะต้องรักษาสัญญา จากนั้นก็ไปรับเธอมาอย่างที่เห็น”
ถ้าฝรั่งรู้ว่าการกราบเบญจางคประดิษฐ์คืออะไร กานต์คงจะไม่รีรอที่จะทำอย่างนั้นกับออสติน แต่สำหรับชาวตะวันตก แค่ขอบคุณกับทำตัวเป็นเด็กดีอย่างสม่ำเสมอให้ออสตินสบายใจก็คงจะเป็นการขอบคุณที่เพียงพอแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่ ดูท่าทางสนุกเชียว”
คุยกับมาเรียต่อได้อีกไม่นานเท่าไร เสียงทุ้มก็ดังขึ้นหลังจากที่เสียงประตูบ้านถูกเปิดดังมาให้ได้ยินก่อนหน้า
สายตาของเด็กหนุ่มและแม่บ้านหันไปมองยังผู้มาใหม่ที่เดินเข้าบ้านมาในสภาพที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด ก่อนที่มาเรียจะยิ้มรับ
“กำลังคุยเรื่องของคุณค่ะ”
“เรื่องของฉัน?”
“ฉันเล่าให้คาร์ลฟังว่าคุณเป็นคนดีแค่ไหน”
คาร์ล...กลายเป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกกานต์ ด้วยชื่อนี้มันออกเสียงคล้ายกับชื่อภาษาไทย ออสตินเลยตัดสินใจให้เขาใช้ชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ ขณะที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเรียกเด็กหนุ่มด้วยชื่อภาษาไทย
“งั้นเหรอ แต่ฉันกลับมาแล้ว พวกเธอคงหมดเวลาที่จะนินทาฉันต่อแล้วมั้ง”
ออสตินว่าทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากกานต์อยู่คนเดียวคงจะทำหน้าไม่ถูกด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดเล่นหรือจริงจัง ขณะที่มาเรียซึ่งทำงานกับชายหนุ่มมานานรับรู้ได้ ก่อนที่เธอจะหัวเราะร่วน
“ไม่ได้นินทาคุณสักหน่อย เล่าถึงความดีของคุณต่างหาก”
ออสตินยิ้มบางๆ “งั้นก็เก็บเอาไว้เล่าวันอื่นบ้าง หมดเวลางานแล้ว กลับได้เลยมาเรีย”
เขาไม่ได้ไล่ แค่เตือน อันที่จริงมาเรียยังอยากอยู่ต่อเพราะการพูดคุยกับกานต์ก็สนุกดีไม่น้อย แต่ออสตินนั้นเป็นเจ้านายที่เข้มงวดเรื่องเวลา ทั้งเวลาเข้างานและออกงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ตรงเป๊ะๆ ห้ามขาดห้ามเกิน
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณสเวน เจอกันใหม่จ้ะคาร์ล”
โบกมือลาพ่อลูกคนละสายเลือดเรียบร้อยก็ผลุบหายออกไปจากบ้าน เสียงประตูปิดดังขึ้น ออสตินเดินตรงไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาเพื่อพักเหนื่อยจากการขับรถ ขณะที่กานต์นึกอยากจะเอาใจพ่อเลี้ยงขึ้นมา จึงเดินตามไปหยุดตรงหน้า พอออสตินเหลือบมอง อีกฝ่ายก็เปิดปาก
“เหนื่อยไหมครับ”
“เธอจะเอาอะไร”
“ครับ?”
“ฉันถามว่าอยากได้อะไรถึงได้ถาม”
หัวสมองของกานต์ประมวลผลทันที เข้าใจได้ว่าออสตินหมายความว่าอะไร
“ผมไม่ได้ถามแด๊ดดี้เพราะอยากได้อะไรนะครับ”
“ฉันก็คิดว่าประจบเพราะอยากได้อะไร” ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าง้ำ ก่อนจะเสริมขึ้นมา “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น บางทีฉันก็อยากจะหยอกเธอเล่น แต่มุกของฉันอาจจะไม่ตลกสำหรับเธอ”
ใช่...ไม่ตลกเลย ไม่ตลกสักนิด
กานต์ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะว่าพึมพำ
“ผมแค่อยากจะดูแลแด๊ดดี้เป็นการตอบแทนที่ใจดีกับผมเฉยๆ ไม่ได้อยากจะประจบประแจงอะไรหรอกครับ”
คนฟังพยักหน้า เข้าใจที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ พลันยกขาขึ้นไขว่ห้าง แขนข้างหนึ่งวางราบไปกับพนักโซฟา ปรายตามองพลางถาม
“แล้วเธออยากจะดูแลฉันด้วยวิธีไหนดีล่ะ”
นั่นสิ ดูแลด้วยวิธีไหนดี จะบอกว่าทำงานบ้านก็ไม่ได้ เพราะบ้านนี้มีมาเรียมาดูแลทุกวัน
ถ้าอย่างนั้น...
“ให้ผมเอาเสื้อสูทไปเก็บให้ไหมครับ”
วิธีเดิมก็แล้วกัน ได้ดูแลนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี
“ก็เอาสิ” ออสตินไม่ปฏิเสธ ขยับตัวมาถอดเสื้อสูทออกแล้วส่งให้กับลูกเลี้ยง “แต่ครั้งนี้ไม่ต้องเอาไปแขวนในตู้นะ เอาไปใส่ตะกร้าที่ห้องน้ำไว้ ฉันจะให้มาเรียส่งไปร้านซักพรุ่งนี้”
กานต์พยักหน้า ถือเสื้อสูทเตรียมจะเอาไปพับใส่ไว้ในตะกร้าที่หน้าห้องน้ำข้างๆ ครัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ออสตินก็ร้องเรียกไว้ พอหันไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน
“อันนั้นไม่ต้องซักเอง จะส่งไปร้านซักสูทโดยเฉพาะ แต่อันนี้ต้องซัก เอาไปใส่เครื่องซักผ้า ปั่นแล้วอบให้แห้งด้วย”
ว่าพลางถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากตัวโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบรับ กานต์ถึงกับเบิกตาโตเมื่อเห็นแผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย เขารู้ว่าไม่สมควรจะมองจ้อง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไล่สำรวจอย่างลืมตัว
ผิวสีบ่มแดดจนออกสีน้ำตาลและไรขนอ่อนๆ ที่ขึ้นประปรายบริเวณหน้าอกทำให้กานต์ต้องลอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อออสตินก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งเสื้อเชิ้ตให้
“ไปจัดการซะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปอาบน้ำ ลงมาแล้วค่อยกินมื้อเย็นกัน”
จังหวะนี้เองที่กลิ่นหอมจากน้ำหอมซึ่งออสตินใช้ประจำลอยเข้ามาในผัสสะทางจมูก
มันยังคงหอม...เย้ายวนเสียจนปลุกความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่มวัยรุ่นให้เตลิดเปิดเปิง
“มัวยืนมองอะไรอยู่ ไปสิ”
ได้สติกลับคืนมาในคราวนี้ กานต์พยักหน้ารับเร็วๆ
“คะ...ครับ”
สองขารีบก้าวไปโดยไว ออสตินมองตามหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ปลีกตัวขึ้นไปบนบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวของตัวเอง
กานต์ยืนอยู่หน้าเครื่องซักผ้า ศึกษาวิธีใช้ด้วยการอ่านปุ่มสวิตช์ต่างๆ อยู่พักใหญ่ กดมั่วบ้างไม่มั่วบ้าง แต่สุดท้ายก็ใช้งานมันได้ เขาหยิบเสื้อผ้าทำงานของออสตินใส่ลงไปในเครื่องทีละตัว ก่อนจะต้องนิ่งงันไปเมื่อมือคว้าเอาเสื้อเชิ้ตที่ออสตินถอดส่งมาให้มาถือไว้ในมือ
ถึงตอนนี้กลิ่นหอมนั่นก็ยังติดอยู่เลย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นของไม้แห้งที่ให้อารมณ์ผู้ชายแข็งกระด้างแต่เรียบง่าย กานต์ชอบกลิ่นนี้ มันทำให้หัวของเขารู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่มีเหตุผลหรอกว่าทำไมถึงชอบ ที่รู้ๆ เขาอยากจะได้กลิ่นมันชัดๆ อีกครั้ง
มือยกเสื้อเชิ้ตตัวนั้นขึ้นจรดปลายจมูก สูดลมหายใจเข้าปอด กลิ่นสารสกัดดอกไม้สารพัดอบอวลอยู่ในโพรงจมูก เย้ายวนให้เด็กหนุ่มเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นนั้นจนลืมไปสิ้นว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร
กลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น...
กลิ่นหอมยั่วยวน...
กลิ่นของความนิ่งขรึม ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอ่อนโยน...
“ทำอะไร”
เสียงทุ้มทำให้กานต์สะดุ้งสุดตัว หลุดออกจากภวังค์ รีบลดมือลงทันใดก่อนจะหันไปเห็นเจ้าของเสียง เท่านั้นก็พลันหน้าซีดเผือดไปหมด
“มะ...ไม่ได้ทำอะไรครับ”
“เหรอ” ออสตินครางรับอย่างไม่เชื่อ เมื่อครู่นี้เขาเห็นอยู่เต็มๆ สองตาว่าเจ้าลูกเลี้ยงของเขาทำอะไร ก่อนจะเอนตัวพิงกับขอบประตู กอดอกว่าอย่างจับผิด “แต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอดมเสื้อของฉัน”
ได้ยินแค่นั้น คนถูกจับได้ก็เหงื่อแตกซิก คิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ตัวอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขาแบบนั้น
“ดมทำไม”
เห็นว่ากานต์ไม่พูด ออสตินก็ถามออกมาอีก ขณะที่กานต์แสดงอาการล่อกแล่กออกมาอย่างไม่ปกปิด
จะให้เขาบอกได้ยังไงว่ากลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อของออสตินน่ะมันยั่วยวนใจจนทำให้เขาอดใจไม่ไหวขนาดนั้น
“ว่าไง มาแอบดมเสื้อของฉันทำไม”
คำถามคาดคั้นมาอีกแล้ว
“คือผม...” กานต์หมดสิ้นคำแก้ตัว ก่อนจะสารภาพออกไปอย่างจำนน “ผมชอบกลิ่นของแด๊ดดี้ครับ”
“กลิ่นของฉัน?”
สีหน้าของออสตินมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่แปะหรา ขณะที่เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ”
“เธอหมายถึงกลิ่นน้ำหอมใช่ไหม”
กานต์พยักหน้ารับไปอีกที คราวนี้ออสตินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“แล้วทำไมไม่บอกว่าชอบกลิ่นน้ำหอมนี้ มาแอบยืนดมเสื้อฉันอย่างนั้น ไม่รู้สึกว่าแปลกๆ บ้างหรือไง”
แปลกสิ แปลกมากด้วย เขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะมายืนดมเสื้อของพ่อเลี้ยงเพราะทนต่อแรงต้านทานของกลิ่นหอมยวนใจไม่ไหวแบบนี้
“มาสิ ไปที่ห้องฉัน”
กานต์ถึงกับเบิกตาโพลง
จู่ๆ ก็ชวนไปที่ห้อง หรือว่า...!?
“ฉันจะได้เอาน้ำหอมให้เธอ”
โธ่...
ไม่รู้ว่ากานต์ควรจะโล่งใจหรือเสียดายดี แต่เขาก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็บอกตัวเองว่าไม่ควรคิดอะไรไปไกลขนาดนั้น เพราะคนตรงหน้าเขาคือผู้มีพระคุณ และมีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง แต่จิตใต้สำนึกที่พร่างพรายขึ้นมาชั่วครู่ของเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ กานต์ไม่เคยชื่นชมผู้ชายคนไหนมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ทว่าการชื่นชมของเขาก็ทำให้สับสนอยู่ไม่น้อย
มันเป็นความชื่นชมหรืออะไรกันแน่...เพราะมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเทิดทูนคนตรงหน้าอย่างเดียวเท่านั้น มันกลับทำให้เลือดในกายของเด็กวัยรุ่นอย่างเขาร้อนรุ่มอย่างไม่รู้สาเหตุไปด้วย
พอดึงสติตัวเองกลับมาได้ กานต์ก็อยากจะตบหน้าตัวเองนัก
กล้าคิดอย่างนั้นไปได้ยังไงกัน! อีกอย่างนะ พ่อเลี้ยงคงจะไม่คิดอะไรกับลูกเลี้ยงหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกเลี้ยงเป็นผู้ชาย...
กานต์เดินตามออสตินขึ้นไปชั้นสอง ก้าวเข้าห้องนอนของเขาเมื่อเจ้าของห้องเชื้อเชิญ
“นั่งสิ”
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง สายตาจับจ้องตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก่อนที่จะหยิบน้ำหอมออกมาสองสามขวด
“กลิ่นที่เธอชอบ หมายถึงกลิ่นที่ฉันฉีดไปวันนี้ใช่ไหม”
กานต์พยักหน้า “แล้วก็กลิ่นที่คุณใช้เมื่อวานด้วยครับ”
ออสตินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกออก
“อืม กลิ่นเดียวกัน”
วางขวดน้ำหอมที่ไม่ใช่กลับคืนที่เดิม ถือเพียงขวดที่ใช่ออกมาเพียงขวดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็มาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับเด็กหนุ่ม
“กลิ่น ODIN OO AURIEL ของแบรนด์ ODIN เป็นกลิ่นที่ให้อารมณ์สัมผัสของวัฒนธรรมตะวันออกกลางและเอเชีย เป็นสารสกัดของผลไม้ตระกูลเบอร์รี กุหลาบและมะลิ บังเอิญฉันได้เชิญไปงานเปิดตัว ก็เลยได้กลับมาเป็นของขวัญชุดใหญ่ ฉันให้เธอขวดนึง มีที่ยังไม่ได้เปิดใช้อยู่ในตู้”
จากนั้นก็ทำท่าจะลุกไป ทว่ากานต์กลับโพล่งขึ้นมาก่อน
“เอาขวดนี้ก็ได้ครับ”
ออสตินเลิกคิ้วสูง “แต่ขวดนี้ฉันใช้ไปแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมคงไม่ได้ใช้อะไรมาก แค่ชอบกลิ่นมันเฉยๆ ไม่ได้คิดจะใช้”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะว่าสวนขึ้นมา
“น้ำหอมถ้าไม่ได้ใช้ก็ไม่เรียกว่าน้ำหอมสิ ส่งมือมา” พลันออกคำสั่ง
กานต์มองใบหน้าคร้ามอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็ยอมยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตรงหน้าโดยดี ออสตินคว้าข้อมืออีกฝ่าย ก่อนที่จะฉีดน้ำหอมลงบนข้อมือ ครู่หนึ่งก็ยกขึ้นจรดที่ปลายจมูก สูดดมกลิ่นหอมนั่น
ลมหายใจอุ่นร้อนจากจมูกโด่งเป็นสันระเรื่อยไปตามผิวเนื้อของเด็กหนุ่ม กานต์แทบจะหยุดหายใจ ยิ่งสายตาเหลือบมองสำรวจที่มือใหญ่ของออสตินซึ่งจับข้อมือเขาอยู่ กานต์ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะควบคุมสติของตัวเองให้ปกติ
มือข้างนั้น...เต็มไปด้วยแนวเส้นเลือดที่ดันผิวหนังขึ้นมา สิ่งนั้นขับให้เสน่ห์ความเป็นบุรุษเพศของออสตินกำจายไปทั่ว ยิ่งมอง กานต์ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของชายหนุ่มตรงหน้า พลันก็ต้องขบกรามแน่นเมื่อมีความรู้สึกประหลาดแวบขึ้นมาในหัว
อยากจะกัดแขนนั่นจัง...
“กลิ่นนี้เข้ากับเธอดี”
ก้อนเนื้อในอกของกานต์เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้ม ความรู้สึกอยากกัดนั่นไม่จางหายไปไหน แต่ก็คืนสติกลับมาได้อยู่บ้าง
“เธอไม่ชอบเหรอ?” ออสตินถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าเอาแต่เงียบ
กานต์สบดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่จ้องมองเขานิ่งอย่างคาดคั้น ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบ
“ชอบครับ”
รู้สึกว่าทั้งริมฝีปากและลำคอของเขาแห้งผากไปหมดเพราะเอาแต่กลืนน้ำลายทุกครั้งที่มองออสติน ขณะที่คนถามไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเด็กหนุ่มเลย ถามออกมาอีกครั้ง
“แต่เธอทำท่าทางเหมือนไม่ชอบ”
“คือผม...”
“ความจริงมันก็เป็นกลิ่นเดียวกับฉันนั่นแหละ เพียงแต่เวลาที่น้ำหอมสัมผัสกับผิวหนังหรือเหงื่อ กลิ่นมันก็จะเพี้ยนไปบ้างตามแต่กลิ่นกายของแต่ละคน”
พูดไป ออสตินก็คลายฝ่ามือออกจากข้อมือของคนตรงหน้า ฉีดน้ำหอมใส่ข้อมือตัวเองบ้าง รอสักครู่แล้วก็ยื่นออกไปตรงหน้า
“กลิ่นอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่มันก็คือกลิ่นเดียวกัน”
กานต์มองข้อมือของออสตินนิ่งสลับกับใบหน้าของเจ้าของด้วยความไม่เข้าใจ
“ดมสิ”
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าออสตินยื่นแขนมาข้างหน้าทำไม ก่อนที่เด็กหนุ่มจะใช้สองมือประคองมือใหญ่ข้างนั้นขึ้นไปจรดที่ปลายจมูก
กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจทำให้สติของเขาฟุ้งซ่านอีกครั้ง ความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจบางอย่างพุ่งพล่าน เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะอ้าปากกัดท่อนแขนแน่นๆ นั้น สะกดความต้องการของตัวเองจนขบกรามเสียปวดไปหมด สิ่งที่ทำได้คือการไล้ปลายจมูกไปตามผิวเนื้อของออสติน
ตอนนี้กานต์เข้าใจได้แล้วว่ากลิ่นหอมที่ยั่วยวนเขาให้เผลอเคลิบเคลิ้มไป มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอมยี่ห้อนี้หรอก แต่มันเป็นกลิ่นของผู้ชายตรงหน้า
เป็นกลิ่นของออสติน สเวน...
กลิ่นของแด๊ดดี้หอม...
“กลิ่นเหมือนกันใช่ไหม”
สติถูกกระชากกลับมาอีกครั้งจนได้ กานต์สะดุ้งโหยง รีบปล่อยมือจากอีกฝ่ายทันที พอคิดได้ว่าเมื่อครู่เผลอทำอะไรลงไป ในใจก็ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่าขออย่าให้ออสตินจับได้ว่าเขาคิดอะไรไปไกลกับพ่อเลี้ยงคนนี้ สวรรค์คงเห็นใจเด็กหนุ่มไม่ประสาต่อโลกอย่างเขาอยู่ไม่น้อย ออสตินถึงได้พูดขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นฉันยกให้เธอขวดนึง ถือซะว่าเป็นของขวัญต้อนรับเธอแล้วกัน”
กานต์รับขวดน้ำหอมมาถือ เขาก้มหน้ามองขวดแก้วในมือที่บรรจุของเหลวเกือบเต็มพลางเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่ออสตินถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ชอบไหม”
“ชอบครับ”
“ชอบก็ดี กลิ่นโปรดของฉันเลย หวังว่ามันจะเป็นกลิ่นโปรดของเธอเหมือนกัน”
ใช่...ต่อจากนี้มันจะเป็นกลิ่นโปรดของเขา
กลิ่นของแด๊ดดี้...
จะเป็นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเขาตั้งแต่วันนี้...
