บทที่ 10 นองเลือด
"ทำไมทำหน้าตาตื่นแบบนั้นลิลิน" ทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ ผู้เป็นแม่ที่ยังคงความสาวความสวยตลอดกาลก็รีบทักขึ้นพร้อมกับเดินมาหาฉัน
"ปาป๊าอยู่ไหนคะหม่ามี้" ฉันถามอย่างรีบร้อน ต้องรีบเจอปาป๊าให้ได้เสียตอนนี้เลย
"หนูไปสร้างเรื่องอะไรอีกใช่ไหม หม่ามี้บอกแล้วว่าช่วงนี้เพลาๆ ลง หรือทำยังไงก็ได้อย่าให้โดนจับได้ ปาป๊ากำลังจับตาดูเราอยู่นะ" นี่แหละมนุษย์แม่ของฉัน ห้ามฉันบ้างเป็นบางครั้งแต่ถ้าครั้งไหนห้ามไม่ได้ก็จะพยายามบอกให้ฉันเนียนๆ เข้าไว้ จะได้รอดพ้นจากสายตาอันแหลมคมของปาป๊า ถ้าถามความแสบได้มากจากไหน…บอกเลยว่าถูกถ่ายทอดดีเอ็นเอจากแม่เกวลินมาเต็มๆ เลยแหละ
"เปล่านะคะ ลินไม่ได้ทำอะไรเลย ลินแค่มีธุระด่วนเรื่องงาน ปาป๊าอยู่ในห้องทำงานใช่ไหมคะ?"
"ใช่ ปาป๊าทำงานอยู่…ลิลิน!" ยังไม่ทันที่หม่ามี้จะพูดจบฉันก็รีบร้อนชิงเดินเข้าไป ได้ยินเสียงเรียกไล่หลังแต่ก็ค่อยกลับมาอธิบายทีหลัง เพราะตอนนี้ฉันทนต่อความอยากรู้ไม่ไหวแล้ว
ครืดดดด!
"ปาป๊าขา…" ฉันเปิดประตูโดยไม่ได้เคาะรีบสับเท้าเข้าไปหาคนเป็นพ่อที่นั่งก้มหน้าทำงานอย่างเคร่งเครียดจนท่านขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองฉัน
"ทำไมไม่เคาะประตู" ยังไม่ทันนั่งก็โดนดุเสียแล้วยัยลิลิน
"ขอโทษค่ะ" ฉันยิ้มแห้งๆ ตอบ
"ไปเข้ามาใหม่ เคาะประตูได้ยินเสียงอนุญาตแล้วค่อยเข้ามา" ปาป๊าเอ่ยเสียงเข้มดุ ใบหน้าท่านนิ่งเรียบทำให้ฉันรู้ว่าท่านไม่ได้พูดเล่น
"ปาป๊า…" ฉันเอ่ยเสียงยานอย่างอ้อนๆ เรื่องแค่นี้เองไม่ต้องทะ…
"ไปเดี๋ยวนี้ลิลิน" คงต้องทำแล้วแหละ ปกติป๊าไลอ้อนไม่ใช่สายดุ แต่ถ้าครั้งไหนที่ท่านจริงจังขึ้นมา ถ้าไม่อยากโดนดุก็ต้องรีบทำตามห้ามอ้อยอิ่งเลย
ฉันเดินหน้ามุ่ยออกจากห้องทำงานของป๊า ก่อนที่จะจัดการปิดประตูห้องทำงานแล้วเคาะห้องขออนุญาตตามคำสั่ง
"หึ" ยังไม่ทันได้ยินเสียงอนุญาตก็ได้ยินเสียงขำของคนเป็นที่ยืนกลั้นซ้อนหลังราวกับรู้ทันเหตุการณ์ที่ฉันต้องเจอ
"หม่ามี้ดูปาป๊าสิ" ฉันเบะปากฟ้องคนเป็นแม่
"หนูก็รู้ว่าปาป๊าไม่ชอบ ก็ยังจะไปทำ"
ไม่เข้าข้างกันแล้ว -_-*
"เข้ามา" ไม่ทันฉันจะตอบเสียงอนุญาตจากคนในห้องก็ดังขึ้น ฉันผละความสนใจจากคนเป็นแม่เปิดประตูห้องเข้าไปโดยที่มีคนเป็นแม่เดินตามเข้ามาด้วย
"ทีหม่ามี้ไม่เห็นต้องขออนุญาตแบบหนูเลย ปาป๊าสองมาตราฐาน" ฉันตอบหน้ามุ่ยแล้วนั่งลงตรงโซฟาห้องทำงาน ในขณะที่หม่ามี้เดินไปนั่งบนตักของสามีเธออย่างปกติที่ชอบสวีทหวานกัน
"ไม่ได้ชื่อเกวลินก็เหนื่อยหน่อยนะ" หม่ามี้ตอบอย่างใส่จริตจะก้าน ขิงข่าตะไคร้มาเต็มเมื่อปาป๊าไม่ได้ว่าเหมือนเช่นที่ฉันโดน
"ชิ สวีทกันไม่เกรงใจลูก" ฉันกลอกตาอีกครั้ง เอาจริงๆ ก็ชินกับภาพแบบนี้แล้ว รักกันมากต่อหน้าลูกก็ยิ่งอยากแกล้ง ฉันรู้นิสัยแม่ฉันดี
"แล้วคุณลูกกลับบ้านมีธุระอะไร รีบๆ เข้าสิปาป๊าต้องทำงานต่อนะ"
"ปาป๊าไม่เห็นสนใจหนูเลย" ฉันที่ปรายตามองคนเป็นพ่อก็ต้องรีบฟ้อง เพราะสายตามองแต่แม่ฉัน มือโอบเอวบางแน่น ยิ้มกว้างราวกับกำลังเติมพลังงานให้ตัวเอง
"หนูก็พูดมา ปาป๊าฟังอยู่" ตอบโดยที่ไม่มองหน้าฉันเลย อารมณ์ดีขึ้นมาทันที จากเมื่อครู่ดุจนฉันขนลุก แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแมวตัวโตที่ทำเอาฉันขนลุกอีกรอบ
อะไรจะคลั่งรักขนาดนั้นนะ
"อ่ะๆ เดี๋ยวธุระจะไม่เสร็จ หม่ามี้ให้ยืมตัวสามีไปก่อนก็ได้ จะอยู่ทานข้าวที่บ้านด้วยไหม หม่ามี้จะได้เตรียมให้" สุดท้ายแม่ฉันก็ดีดตัวลงจากตักกว้างของสามีเธอ ก่อนที่จะเดินมาถามฉันก่อนที่จะเดินออกไป
"ทานค่ะ ขอของหวานของโปรดด้วยนะคะ" ฉันรีบตอบ
"ทานเยอะๆ ระวังจะอ้วนไม่สวย" มือบางขยี้หัวฉันอย่างเอ็นดู ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ท่านก็เดินยิ้มออกไปเตรียมมาให้ฉันแน่ๆ
สำหรับลิลินแล้ว ของหวานคือสิ่งเลิฟเวอร์ที่สุดเลยแหละ
"ตกลงมีอะไรจะคุยป๊าคะ?"
"อารมณ์ดีขึ้นมาเชียวนะคะ"
"ป๊ามีเมียให้อ้อน"
"ชิ…เบื่อตาลุงคลั่งรัก เอาล่ะค่ะ ธุระของหนูคือหนูอยากถามเรื่องบอร์ดบริหารคนใหม่ที่ปาป๊าให้มาเป็นที่ปรึกษาค่ะ"
"ทำไม เกิดอะไรขึ้น?"
"หนูลองหาข้อมูลของเขาแล้วไม่มีอะไรให้หนูรู้จักเขามากขึ้นเลย นอกจากข้อมูลพื้นฐานทั่วๆ ไปของเขาที่ดูไม่มีอะไร แต่คนนี้ปาป๊าเป็นคนรับรองด้วยตัวเอง หนูเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น หนูอยากรู้ค่ะว่าทำไมถึงต้องเป็นเขา ขอแบบละเอียดยิบนะคะ"
"จะอยากรู้ไปทำไม ไม่ชอบเขาไม่ใช่หรือไง?"
"ก็…ศึกษาข้อมูลของศัตรูไงคะ ป๊าไม่ต้องสนใจหรอก เล่ามาเลยค่ะ"
"คุณฟินซ์เป็นทายาทตระกูลฟานซ์กรุ๊ป ตระกูลเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่อยู่ในฝรั่งเศส เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของที่นั้นเลยก็ได้"
"เขาเป็นมาเฟียเหมือนเราใช่ไหมคะ?"
"อืม…ฟานซ์ยิ่งใหญ่มาก การที่ได้ตัวเขามาร่วมธุรกิจด้วยนับเป็นเรื่องที่ดีมากๆ"
"ตระกูลเรากับเขาใครใหญ่กว่ากันค่ะ"
"ทำไมหนูถึงถามแบบนั้น" ปาป๊าเลิกคิ้วถามฉัน เพราะปกติแล้วฉันไม่เคยสนใจเรื่องการเป็นมาเฟียของปาป๊าเลยสักนิด ทุกอย่างจะตกเป็นของไลก้าที่เป็นคนสืบทอด ฉันเลยไม่คิดจะสนใจที่จะถาม แต่ที่ครั้งนี้ฉันตัดสินใจถามเพราะถ้ามีปัญหากับคุณฟินซ์นั้นขึ้นมาจริงๆ ฉันจะได้หายห่วงที่ตระกูลฉันสามารถโค่นคนของเขาได้
"เอ่อ…หนูแค่อยากรู้เฉยๆ"
"ถ้าเราได้ดองกับฟานซ์ก็นับเป็นเรื่องที่ดี เราจะยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างก้าวกระโดด สองตระกูลโดดเด่นคนละเรื่องกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร แต่ถ้าต้องปะทะกันจริงๆ ตอบยากว่าใครจะใหญ่กว่า คงเกิดสงครามนองเลือดกันครั้งยิ่งใหญ่" ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันทีที่ปาป๊าพูดจบ ฉันกำลังจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตระกูลตัวเองต้องนองเลือดอย่างนั้นเหรอ?…
"ที่ปาป๊าบอกว่าเราจะดองกัน ไม่ได้หมายถึงให้หนูแต่งงานกับเขาใช่ไหมคะ?" ถามจบฉันก็รอคำตอบอย่างลุ้นระทึก
หวังว่าคำตอบจะเป็นผลดีต่อฉันนะ
"ป๊าไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในหัว ดองกันไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน แค่สองตระกูลช่วยเหลือสร้างประโยชน์ให้กันและกันก็พอ" ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่อย่างน้อยความแน่ชัดคือยังไงฉันก็ไม่ถูกจับคลุมถุงชน
"ป๊าเคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว ป๊าอาจจะโชคดีที่คนนั้นเป็นหม่ามี้ของหนู แต่หนูอาจจะไม่โชคดีแบบนั้น ป๊าจะไม่ยอมให้หนูต้องมาเสียใจเพราะผู้ชายที่หนูไม่ได้เลือก"
"แงง ปาป๊าสุดที่รักของหนู" ฉันรีบเดินไปกอดเอวหลวมๆ ของคนเป็นพ่อ ภูมิใจในความคิดของปาป๊าฉันที่สุด ถึงจะดุไปหน่อยแต่รักและหวงแหนฉันเป็นที่สุดเลย
"ป๊าอยากให้หนูจำไว้ว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าหนู ถึงป๊าจะต้องแลกกับสิ่งที่หามาทั้งชีวิตป๊าก็ยอม…" มือหนาลูบหัวพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ทำเอาฉันน้ำตาซึมกับประโยคที่พึ่งจบไป ความรักของท่านยิ่งใหญ่จริงๆ ท่านทำให้ฉันสัมผัสได้ แล้วแบบนี้ฉันจะตอบแทนท่านด้วยการสูญเสียแบบนั้นได้ยังไง…
"ไปทานข้าวกัน ป่านนี้หม่ามี้คงเตรียมครัวซองของโปรดหนูเสร็จแล้ว"
"หื้อ…ครัวซองที่รัก เรารีบไปกันดีกว่าค่ะ" ว่าจบฉันก็กอดเอวหนาเดินออกจากห้องทำงาน แค่นึกถึงขนมหวานจานโปรดสายตาก็แพรวพราวลืมเรื่องเครียดเสียทุกอย่างแล้ว…
