5 เรียกว่า...พี่ไอเฟล
อนรรฆขับรถเข้าซอยเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังคอนโดอย่างอารมณ์ดี เขาเพิ่งจะกลับจากขับรถไปส่งยิหวาที่บ้านมา หลังจากที่พาหญิงสาวตามคณาธิปไปเที่ยวบ้านนิรันตราแฟนสาวของเมฆา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับคณาธิปมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น แต่ปัจจุบันเมฆาเรียนอยู่ที่บิสซิเนส ยูนิเวอร์ซิตี้ ส่วนคณาธิปมาเรียนอยู่ที่คามิลล่า ยูนิเวอร์ซิตี้ ทั้งสองคนจึงไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก
แต่อนรรฆรู้มาว่าเหตุผลหลักที่คณาธิปชวนเขาไปเที่ยวบ้านแฟนสาวของเมฆาในวันนี้ ก็เพราะเพื่อนรักของเขาบังเอิญเกิดไปสนใจน้องสาวของนิรันตราที่ชื่อนวพธูซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หกของโรงเรียนเซนต์แองเจล่าเข้า คณาธิปก็เลยหาข้ออ้างชวนเมฆากับเขาไปเที่ยวบ้านนิรันตรา และเนื่องจากว่าต้องไปหาเมฆากับนิรันตราที่บิสซิเนส ยูฯ อยู่แล้ว ดังนั้นอนรรฆจึงโทรศัพท์ชวนยิหวาซึ่งเรียนอยู่ที่นั่นไปด้วยกัน เมื่อกลับจากบ้านแฟนของเมฆาเขาจึงต้องขับรถไปส่งหญิงสาวที่บ้าน
นวพธูน้องสาวของนิรันตรานั้นหน้าตาสวยน่ารักทีเดียว ทำอาหารก็อร่อย ท่าทางคณาธิปก็คงจะชอบเด็กสาวรุ่นน้องไม่น้อยเช่นกัน เพราะปกติเขาไม่เคยเห็นคณาธิปแสดงความสนใจผู้หญิงที่ไหนมากขนาดนี้มาก่อน ถึงขนาดตามไปหาถึงที่บ้าน
อนรรฆเองพอเห็นนวพธูเรียนอยู่ชั้นมัธยมหกที่เซนต์แองเจล่า ก็เผลอจะถามว่านวพธูรู้จักกับรวีรินรึเปล่าออกไปต่อหน้ายิหวาจนหญิงสาวทำท่าสงสัย โชคดีที่เขาบ่ายเบี่ยงได้ทัน ไม่อย่างนั้นยิหวาต้องงอนเขาอีกแน่นอน ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองที่สามารถเอาตัวรอดไปได้อีกหน
“เอ๊ะ!” อนรรฆอุทานขึ้นมาเบาๆ เมื่อสายตาสะดุดกับร่างโปร่งบางคุ้นตา ในชุดนักเรียนของโรงเรียนเซนต์แองเจล่า ที่กำลังเดินคุยอยู่กับหนุ่มน้อยร่างสูงคนหนึ่งในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน
“รวีริน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดู ซึ่งเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่งแล้ว อนรรฆขมวดคิ้วมุ่นทันทีอย่างไม่พอใจทำไมรวีรินกลับบ้านดึกขนาดนี้ แถมยังมากับไอ้หนุ่มนี่ด้วย เขาชะลอความ
เร็วของรถลงแล้วขับเข้าไปเทียบใกล้ๆ หนุ่มสาวรุ่นน้องทันที
รวีรินกับชยางกูรซึ่งกำลังเดินคุยกันอยู่หยุดเดินทันที แล้วพากันหันมามองรถมินิคูเปอร์สีส้มที่ขับเข้ามาจอดเทียบด้วยความประหลาดใจ อนรรฆกดกระจกรถลงพลางถามรวีรินเป็นเชิงตำหนิ
“เด็กมัธยมอะไรกลับบ้านเอาป่านนี้ฮะ ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนถึงได้กลับบ้านดึกขนาดนี้”
รวีรินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ทันทีที่ได้ยินคำถามของชายหนุ่ม ก่อนจะยกสองมือขึ้นเท้าเอวแล้วถามกลับอย่างกวนๆ ว่า
“นายมาเป็นผู้ปกครองฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมฉันจะต้องรายงานนายด้วยว่าฉันไปทำอะไรอยู่ที่ไหน”
อนรรฆอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามย้อนกลับมาของหญิงสาว มันก็จริงของรวีรินเขาไม่ได้เป็นผู้ปกครองเธอซะหน่อย ญาติก็ไม่ใช่แล้วเขามีสิทธิ์อะไรไปซักไซ้หญิงสาวแบบนี้ แต่ว่า...มันหงุดหงิดนี่นา ทำไมเธอต้องมาเดินอยู่กับไอ้หนุ่มน้อยหน้าหล่อท่าทางกวนประสาทเขาตอนสี่ทุ่มกว่าด้วยล่ะ ไม่พอใจโว้ย! ชายหนุ่มโวยวายอยู่ในใจ
“เออ ฉันไม่ใช่ผู้ปกครองเธอหรอก แต่ยังไงเราก็รู้จักกันแล้วฉันก็สนิทกับแม่เธอด้วย แม่เธอต้องไม่สบายใจแน่ๆ ถ้ารู้ว่าเธอมาเดินอยู่กับผู้ชายตอนนี้น่ะ”
ในที่สุดอนรรฆก็หาข้ออ้างที่คิดว่าฟังดูดีมีเหตุผลออกมาจนได้ รวีรินมองหน้าชายหนุ่มอย่างรำคาญ ก่อนพูดว่า
“แม่ฉันรู้อยู่แล้วว่าฉันจะกลับดึกวันนี้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนายที่จะต้องมาเดือดร้อนแทนแม่ฉัน”
อนรรฆอึ้งไปอีกรอบเมื่อโดนหญิงสาวย้อนกลับมาอย่างนั้น แถมไอ้หนุ่มน้อยหน้าหล่อท่าทางกวนประสาท ที่ยืนอยู่ข้างหลังรวีรินนั่นก็เอาแต่มองเขา แล้วก็ทำท่าเหมือนจะหัวเราะอยู่นั่นแหละ อย่างนี้มันเหมือนเยาะเย้ยกันนี่หว่า ชายหนุ่มคิดอย่างพาลๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวฉันไปส่งเองยังไงก็ต้องขับรถผ่านร้านเธออยู่แล้ว ให้เพื่อนเธอกลับบ้านไปเลยดึกมากแล้ว”
“ทำไมฉันต้องขึ้นรถนายไปด้วย ไปกับนายสองคนสู้เดินไปกับเพื่อนฉันดีกว่า ยังไงก็ปลอดภัยกว่าไปกับพวกชีกออย่างนายแน่ๆ”
“รีวรินอย่าดื้อได้มั้ย ขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้นะ” อนรรฆสั่งอย่างฉุนๆ
“ไม่ขึ้น! นายไม่มีสิทธิ์มาบังคับฉันนะ นายนั่นแหละรีบๆ ขับรถนายไปเลยไม่ต้องมายุ่งกับพวกเราสองคน”
“รวีรินขึ้นมา” อนรรฆสั่งหญิงสาวรุ่นน้องเสียงเรียบ พลางพยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังเกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถ
“ไม่ขึ้น!”
“เอ๊ะ!”
“เอ่อ ขอโทษนะครับรุ่นพี่ แต่ผมว่ารุ่นพี่อย่าบังคับรินเลยครับ ทะเลาะกันเปล่าๆ รุ่นพี่ขับรถไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งรินเอง รับรองว่าถึงบ้านปลอดภัยหายห่วงแน่นอนครับ” ชยางกูรซึ่งยืนเงียบฟังการโต้เถียงของเพื่อนสาวกับชายหนุ่มรุ่นพี่อยู่นานแล้วพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ชักจะเริ่มตึงเครียดเนื่องจากชายหนุ่มรุ่นพี่กำลังพยายามบังคับเพื่อนสาวของเขา ส่วนรวีรินก็เป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมาบังคับหรือออกคำสั่งแบบนี้เสียด้วย ขืนปล่อยให้พูดกันต่อไปมีหวังคงได้ทะเลาะกันยาวแน่นอน
อนรรฆมองหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า
“ก็ได้ งั้นฝากนายด้วยแล้วกัน” พูดจบชายหนุ่มก็กดกระจกรถขึ้นแล้วขับรถจากไปทันที
“เชอะ นึกว่าตัวเองเป็นใคร จะมาสั่งฉันเหรอรอชาติหน้าเถอะนายไอเฟล” รวีรินว่าตามหลังอนรรฆ
ส่วนชยางกูรได้แต่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างขบขัน เขาขำชายหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังหึงเพื่อนสาวของเขาจนออกนอกหน้า เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับรวีรินมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ขำที่รวีรินไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังหึงตัวเองกับเขาอยู่
อนรรฆโยนกุญแจรถลงบนโต๊ะทันทีที่เปิดประตูห้องก้าวเข้าไป ก่อนจะก้าวยาวๆ ไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาเทใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มทันที เพื่อดับความหงุดหงิดภายในใจ
“เฮ้อ!”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเมื่อเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟายาว อนรรฆไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดไม่พอใจเอามากๆ เมื่อเห็นรวีรินเดินอยู่กับหนุ่มรุ่นน้องคนนั้น เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ขนาดเห็นสาวๆ ที่เขาควงอยู่ ไปเดินควงกับหนุ่มอื่นอนรรฆยังไม่เคยสนใจเลย เขาเฉยๆ และคิดว่าเป็นสิทธิ์ที่หญิงสาวเหล่านั้นจะเลือก
เพราะเขาเองก็ไม่ได้คบกับหญิงสาวเหล่านั้นจริงจังอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหญิงสาวคนไหนเจอคนที่ชอบจริงจังมากกว่าเขา เขาก็พร้อมที่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเธอคนนั้นทันที เพื่อเปิดโอกาสให้หญิงสาวคนนั้นได้คบกับคนที่รักจริง
แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจมาก เมื่อเห็นรวีรินเดินกับผู้ชายอื่น ทั้งที่เขากับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แล้วเขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธหรือไม่พอใจเธอกับผู้ชายคนนั้นด้วย
“บ้ารึเปล่าวะ ไอ้ไอเฟล”
ชายหนุ่มนั่งบ่นพึมพำว่าตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะชะงักนิดหนึ่งเมื่อเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกำลังสั่นเตือนว่ามีสายเข้า ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อที่หน้าจอ ถ้าเป็นของสาวๆ เขากะว่าจะไม่รับสายเพราะกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อคณาธิปอนรรฆจึงกดรับสายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“ว่าไงวะคีน”
“หืม ถึงคอนโดแล้วสิ ว่าแต่เป็นไรวะเสียงเหมือนรมณ์บ่จอย ยัยยิหวาขัดใจไม่ยอมไปต่อกับนายรึไงถึงได้อารมณ์ค้าง” คณาธิปถามมาจากปลายสาย
อนรรฆทั้งขำทั้งฉุนกับคำถามกำกวมของเพื่อนรักก่อนจะพูดกลับไปว่า
“ไอ้บ้าคีน ถึงฉันจะเจ้าชู้แต่ฉันไม่นิยมการทำลายผู้หญิงแบบนั้นนะ แค่กอด แค่จูบแล้วก็หอมแก้มเท่านั้น ถ้าจะทำมากกว่านั้นเอาไว้ทำตอนแต่งงานแล้วกับผู้หญิงที่รักมากจริงๆ เท่านั้นโว้ย”
“ฮะๆๆ เออ ไอ้หนุ่มเจ้าชู้ผู้รักษาพรหมจรรย์ยิ่งชีพ แล้วตกลงนายเป็นอะไรวะ ท่าทางมู้ดดี้เชียว”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกแค่เห็นอะไรขัดหูขัดตานิดหน่อยก็เลยอารมณ์เสียน่ะ”
“เฮ้ ไอ้คนรื่นเริงตลอดเวลาอย่างนายมีเวลาอารมณ์เสียนี่แปลกนะ เรื่องอะไรกันที่ว่าขัดหูขัดตานายนิดหน่อยน่ะ” คณาธิปถามมาจากปลายสายอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ว่าแต่นายเถอะน้องนีซนี่น่ารักมากเลยนะ ทำอาหารก็อร่อยด้วย คนนี้ชอบจริงรึเปล่าวะ”
อนรรฆเปลี่ยนเรื่องพูดจนได้ เพราะเขาขี้เกียจถูกคณาธิปซักต่อ
“อืม ค่อนข้างชอบมาก น้องนีซดูน่ารักแล้วก็เป็นธรรมชาติดี ถึงจะเป็นเด็กม.ปลายแต่ฉันก็ชอบนะ เพราะฉันไม่ได้ตั้งสเป็คแฟนฉันเอาไว้เหมือนนายนี่ นายมันต้องสาวมหาวิทยาลัยเท่านั้นสาวม.ปลายไม่สน หึๆๆ”
“เออ ใช่ ฉันไม่เอาเด็กม.ปลายมาเป็นแฟนหรอกพูดไม่รู้เรื่อง” อนรรฆพูดไปด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ เพราะภาพใบหน้ารวีรินผุดขึ้นมาพอดี ซึ่งคณาธิปก็คงจะจับน้ำเสียงของเขาได้เช่นกันจึงถามกลับมาว่า
“พูดไม่รู้เรื่องงั้นเหรอ ใช่เด็กม.ปลายคนที่อยู่ร้านดอกไม้รึเปล่าวะ”
“จะใครคนไหนก็ช่างเถอะน่า นายจะมาซักฉันทำไมวะ เดี๋ยวนี้นายชักจะทำตัวเหมือนไอ้บ้าทิมแล้วนะ คอยซักฟอกฉันเป็นประจำเลย” อนรรฆโวยวายจะเปลี่ยนเรื่อง แต่คณาธิปไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องด้วยเพราะเขาพูดมาอีกว่า
“ถ้านายไม่สนเด็กม.ปลาย แล้วนายจะไปหงุดหงิดเค้าเรื่องอะไร แน่ใจเหรอว่านายไม่สนใจจริงๆ น่ะไอเฟล”
“แน่ใจโว้ย นายมีเรื่องจะพูดเท่านี้ใช่มั้ย ฉันวางสายแล้วนะจะไปอาบน้ำแล้ว ง่วงนอน” อนรรฆตัดบทคณาธิปทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจี้ใจดำ คณาธิปหัวเราะมาจากทางปลายสายก่อนจะพูดว่า
“โอเคๆ วางสายก็ได้ ว่าแต่นายแน่ใจเหรอว่าไม่สนใจเค้าจริงๆ น่ะ” พูดจบคณาธิปก็วางสายไปก่อนทันที ทิ้งให้อนรรฆพึมพำอยู่คนเดียวว่า
“ไอ้บ้าคีน!”
ร้านรวีรินฟลาวเวอร์ หลายวันต่อมา...
“แกงเขียวหวานนี่อร่อยจังเลยครับน้าวรรณ”
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะคะ น้าทำไว้เยอะเลย ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ น้าวรรณทำกับข้าวอร่อยขนาดนี้ เห็นทีผมคงต้องแวะมาฝากท้องด้วยเป็นประจำแล้วล่ะครับ”
“ก็เห็นมากินอย่างนี้ทุกวันจนจะครบอาทิตย์แล้วนี่” รวีรินพูดขึ้นอย่างหมั่นไส้ ในที่สุดหญิงสาวก็ทนฟังอนรรฆออดอ้อนมารดาตัวเองต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะตอนนี้นายคนโปรดของมารดาเธอ เริ่มจะทำตัวสนิทสนมมากกว่าเดิม ด้วยการมานั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกับเธอและมารดาเป็นประจำทุกเย็น จนจะครบอาทิตย์อยู่แล้ว
แถมยังขนซื้อขนมนานาชนิดมาฝากมารดาของเธอ รวมทั้งสองสาวรุ่นพี่นิสากับน้ำฝนทุกวันอีกด้วย หญิงสาวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอนรรฆกำลังคิดจะทำอะไร เขาถึงได้มาทำตัวเป็นลูกรักอีกคนของมารดาเธอและน้องรักของนิสากับน้ำฝนแบบนี้ ทั้งที่เขาควรจะเอาเวลาว่างหลังเลิกเรียนไปเที่ยวกับพวกสาวๆ ของเขามากกว่า
“ยัยรินพูดจาน่าเกลียดกับพี่เค้าอีกแล้วนะลูกคนนี้” คุณรวีวรรณหันมาเอ็ดลูกสาว รวีรินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อ แล้วก็ฟังมารดาเธอหันไปพูดโอ๋นายคนโปรดต่ออย่างหมั่นไส้ด้วย
“อย่าถือน้องนะคุณไอเฟล”
“ครับ ผมไม่ถือสาเด็กหรอกครับน้าวรรณ” อนรรฆพูดยิ้มๆ พลางสบตากับรวีรินที่เงยหน้าขึ้นส่งสายตาพิฆาตมาให้เขาทันที
“มากินข้าวเย็นที่นี่ได้ทุกวันเลย เพราะคุณไอเฟลอุตส่าห์ช่วยมาเป็นนายแบบให้แท้ๆ ช่วงนี้ที่ร้านถึงได้มีงานเยอะขนาดนี้ กินข้าวด้วยกันหลายๆ คนก็อร่อยดี คุณไอเฟลกินข้าวเย็นคนเดียวคงจะเหงาสินะคะ”
“แม่คะคนแฟนเยอะขนาดนี้ใครจะไปกินข้าวเย็นคนเดียวล่ะคะ เค้าก็ต้องไปกินกับแฟนเค้าสิ” รวีรินอดไม่ไหวจึงพูดขัดขึ้นมาอีกจนได้ ก่อนที่อนรรฆจะทันได้อ้าปากพูดตอบมารดาของเธอ
“รินก็”
“เฮ้อ! ค่ะ ห้ามแตะต้องคนโปรดของแม่” รวีรินประชดก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้วลุกขึ้นยืนถือจานข้าวที่รับประทานเรียบร้อยแล้ว เดินเข้าไปวางไว้ที่อ่างล้างจานเพื่อรอล้างทีเดียว หลังจากที่มารดาของเธอกับนายคนโปรดรับประทานอาหารเสร็จ
“ช่วยล้างจานมั้ย” อนรรฆถามขึ้นเมื่อยกจานข้าวและจานกับข้าวที่รับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินตามหญิงสาวเข้ามาในห้องครัว รวีรินปรายตามองคนถามนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องหรอกเอาวางไว้เถอะฉันล้างเองได้ ไม่บังอาจใช้คนโปรดของแม่หรอก”
“อิจฉาเหรอที่ฉันกลายเป็นคนโปรด” อนรรฆถามยิ้มๆ วางจานลงที่อ่างล้างจานแล้วก็ยืนกอดอกพิงโต๊ะมองรวีรินอยู่อย่างนั้น โดยไม่ยอมกลับออกไปจากห้องครัว หญิงสาวย่นจมูกใส่ชายหนุ่มก่อนจะพูดว่า
“ฉันนี่นะอิจฉานาย ต้องบอกว่าหมั่นไส้ถึงจะถูก นายไปทำเสน่ห์ยาแฝดหรือมีสาลิกาลิ้นทองกันแน่ ทั้งแม่ฉัน พี่สาแล้วก็พี่ฝน ถึงได้หลงปลื้มนายกันนักหนา”
“ถ้ามีจริงๆ ก็ดีน่ะสิ เผื่อเธอจะหลงฉันบ้าง” อนรรฆพูดอย่างขบขัน
“เฮอะ หลงผิดน่ะเหรอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” รวีรินว่าพลางเริ่มลงมือล้างจาน อนรรฆขยับตัวก้าวเข้าไปยืนข้างหญิงสาวทันที พร้อมทั้งก้มลงกระซิบเบาๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแววตาหวานซึ้งว่า
“หลงรักต่างหาก”
รวีรินปรายตามองคนร่างสูงที่ขยับเข้ามายืนจนชิดติดกับเธออย่างไม่พอใจพร้อมทั้งพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงข่มขู่กลับไปว่า
“ถอยออกไปยืนห่างๆ ฉันนะ อยากตายรึไงกล้ามาหลีฉันถึงในบ้านน่ะ”
“หึๆ กลัวจังเลย”
“นายกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้มาประจบแม่ฉัน พี่สาแล้วก็พี่ฝนแบบนี้”
“อยากให้คนรักมั้ง ฉันมันพวกขาดความอบอุ่น เพราะพ่อแม่ทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียว” อนรรฆพูดยิ้มๆ หน้าตาไม่มีวี่แววว่ารู้สึกอย่างที่พูดเลยสักนิด
“อยากจะหัวเราะเป็นภาษาอิตาลี หน้าตานายเหมือนคนขาดความอบอุ่นตรงไหนไม่ทราบสาวๆ ก็มีเป็นโหล นายยังมีเวลาขาดความอบอุ่นอีกเหรอ”
“ทางกายไม่ขาดหรอก แต่มันขาดที่นี่ ทางใจ” อนรรฆพูดพลางจิ้มนิ้วเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเองยิ้มๆ รวีรินมองค้อนคนพูดอย่างหมั่นไส้ พลางเอาผ้าขนหนูเช็ดจานที่ล้างเรียบร้อยแล้วให้แห้งขณะที่ค่อนขอดอีกฝ่าย
“ลิเกชะมัด ไอ้มุกคนเจ้าชู้จีบผู้หญิงของนายน่ะ”
“รู้ด้วยว่าฉันจีบเธอ” อนรรฆพูดยิ้มๆ
“คนอย่างนายจะมีอะไรล่ะนอกจากจีบผู้หญิงไปทั่ว แต่ขอโทษนะ ฉันมันพวกกำแพงเบอร์ลินไม่ค่อยหวั่นไหวง่ายๆ นักหรอก เพราะฉะนั้นก็เลิกป้อฉันได้แล้วรำคาญ” รวีรินพูดจบก็เดินยกจานที่เช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้วไปคว่ำไว้บนชั้น แต่เมื่อมาถึงจานเปลใบใหญ่ใบสุดท้าย ซึ่งต้องเก็บขึ้นวางไว้บนตู้ไซด์บอร์ดเหนือศีรษะ หญิงสาวก็ต้องพยายามเขย่งปลายเท้ายืดให้ตัวสูงขึ้น เพราะความสูงของเธอไม่ได้ระดับและขี้เกียจเดินย้อนกลับไปยกเก้าอี้มาเหยียบขึ้นด้วย
“มานี่ฉันวางให้เอง” อนรรฆเดินเข้ามาซ้อนทางด้านหลังหญิงสาว แล้วเอื้อมมือมาหยิบจานในมือของรวีรินขึ้นไปวางบนตู้ไซด์บอร์ดอย่างง่ายดายเพราะเขาสูงอยู่แล้ว
“นี่วางจานเสร็จแล้วก็ถอยออกไปสิ” รวีรินพูดขึ้น เมื่อเห็นอนรรฆวางจานไว้บนตู้เรียบร้อยแล้ว แต่เขากลับไม่ยอมขยับถอยห่างออกไป ทำให้เธอเองก็ไม่สามารถขยับตัวได้เช่นกัน เพราะถ้ารวีรินถอยหลังแผ่นหลังของเธอก็ต้องชนกับแผ่นอกของเขาแน่นอน
ครั้นจะขยับออกทางด้านข้างรวีรินก็ทำไม่ได้ เพราะจุดที่เธอยืนอยู่เป็นจุดเข้ามุมพอดี อนรรฆอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นอาการตัวแข็งของหญิงสาวที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ ซึ่งถูกเขาต้อนเข้ามุมโดนไม่รู้ตัว ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่ประตูห้องครัวด้วยความรวดเร็ว เมื่อครู่เขาปิดประตูห้องครัวไว้เรียบร้อยแล้ว และมั่นใจว่าคุณรวีวรรณเดินออกไปอยู่ที่หน้าร้านแล้ว แต่ต้องการดูให้มั่นใจก่อนอีกครั้งว่าจะไม่มีใครเดินเข้ามาหลังร้านแน่นอนแล้ว ก่อนจะหันกลับมาก้มลงฝังจมูกโด่งเป็นสันลงบนเรือนผมยาวสลวยของรวีรินอย่างรวดเร็ว พลางสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมของหญิงสาวที่สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ แล้วพึมพำถามสียงนุ่มว่า
“หอมจัง ใช้แชมพูอะไรนะ”
“นะ...นาย! อีตาบ้า! ชีกอ! ลามก!” รวีรินหมุนตัวหันกลับมาว่าอนรรฆทันทีด้วยความโมโห แล้วก็แทบผงะเมื่อรู้สึกตัวว่าเธอคิดผิดจริงๆ ที่หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา เพราะขณะนี้อนรรฆกำลังเท้าแขนทั้งสองข้างของเขาลงบนเคาเตอร์ด้านหลังของเธอ ซึ่งก็เท่ากับว่าขณะนี้เขากำลังกักเธอเอาไว้ทั้งตัว แล้วที่ร้ายกว่านั้นก็คือเขากำลังก้มหน้าลงมาใกล้กับใบหน้าของเธอมากทีเดียว มากจนเธอรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่รินรดลงมาบนใบหน้าของเธอ
“ถอยออกไปนะ! นายคิดจะทำอะไร ไอ้คนเจ้าชู้! ไอ้...” รวีรินว่าแล้วก็ต้องรีบหุบปากลงทันควัน เมื่ออนรรฆพูดมาด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ สีหน้ายิ้มแย้มแต่ข่มขู่อยู่ในทีว่า
“ถ้าไม่หยุดโวยวายฉันจะจูบเธอนะ”
“ถอยไปนะ เดี๋ยวใครเข้ามาเห็นมันน่าเกลียด” คราวนี้รวีรินพูดเสียงอ่อนลงกว่าเดิม เพราะเห็นว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบชายหนุ่มอยู่ทุกประตู อนรรฆยิ้มก่อนจะพูดว่า
“ไหนลองเรียกพี่ไอเฟลซิ แล้วจะถอยให้”
“อะไรนะ!” รวีรินร้องถามอย่างฉุนๆ
“เรียกพี่ไอเฟล หวานๆ ด้วยนะ”
“นาย!”
“ถ้าไม่เรียกจะถูกจูบนะ”
“ถ้าแม่ฉันเข้ามาเห็นนายโดนแจ้งตำรวจข้อหาลวนลามลูกสาวชาวบ้านแน่” รวีรินขู่
“ไม่เห็นจะกลัวเลยฉันยินดีรับผิดชอบอยู่แล้ว” อนรรฆพูดยิ้มๆ
“ไอ้คนชีกอ”
“ไม่ยอมเรียกพี่ไอเฟลแสดงว่าอยากถูกจูบ” อนรรฆพูดพลางก้มหน้าลงมาใกล้มากยิ่งขึ้น รวีรินหลับตาปี๋ก้มหน้าหลบชายหนุ่มทันที พลางพึมพำออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“พี่ไอเฟล”
“หืม ว่าไงนะ ไม่เห็นได้ยินเลยพูดไม่มีหางเสียงด้วย”
“พี่...ไอเฟลคะ”
“อืม อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย หึๆๆ” อนรรฆพูดพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
“ถอยออกไปได้รึยังล่ะ” รวีรินถาม อนรรฆจึงยกแขนที่กักตัวหญิงสาวเอาไว้ออกทันทีพลางพึมพำพูดอย่างอ้อนๆ ว่า
“อยากหอมแก้มด้วยจัง”
“ฝันไปเถอะไอ้คนชีกอ!” รวีรินผลักตัวชายหนุ่มซึ่งไม่ทันตั้งตัวอย่างแรงจนอนรรฆเซไปนิดหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะรีบก้าวออกมาจากมุมเสียเปรียบเมื่อครู่ แล้วกำปั้นเล็กๆ ก็ซัดเข้าที่กลางลำตัวของอนรรฆทันทีอย่างรวดเร็วสุดแรงเกิด
“อุ๊บ!”
ชายหนุ่มตัวงอทันทีเมื่อโดนกำปั้นเล็กๆ อัดเข้าเต็มแรงแบบไม่ทันตั้งตัว รวีรินมองอีกฝ่ายอย่างสะใจก่อนจะพูดว่า
“สำหรับที่นายฉวยโอกาสกับฉันเมื่อครู่ แล้วอย่าฝันว่าฉันจะเรียกนายว่าพี่อีกนะไอ้จอมเจ้าชู้” แล้วหญิงสาวก็รีบก้าวยาวๆ ไปดึงประตูห้องครัวเปิดออก แล้วก้าวออกไปจากห้องครัวทันที อนรรฆหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพึมพำว่า
“น่าอายชะมัด หนึ่งในหัวหน้าเด็กคามิลล่าโดนผู้หญิงอัดซะตัวงอเลย ยัยตัวแสบเอ๊ย! รู้งี้เมื่อกี๊ขโมยหอมแก้มแถมอีกซักทีก็คงจะดี เสียดายจริงๆ แต่อย่างน้อยฉันก็ทำให้เธอเรียกฉันว่าพี่ได้แล้วนะรวีริน”
อนรรฆอมยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงกลิ่นหอมจากเรือนผมของรวีรินเมื่อครู่ กับกิริยาอาการสะดุ้งอย่างตกใจของหญิงสาว ตอนที่เขาก้มลงสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมของเธอ ชายหนุ่มไม่อยากยอมรับกับตัวเองเลยว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้แค่คิดจะขู่รวีรินเล่นๆ เรื่องจูบ เขาอยากจะกอดและจูบหญิงสาวจริงๆ แต่ต้องทนหักห้ามใจตัวเองอย่างมากทีเดียว เมื่อเห็นใบหน้าเนียนใสไร้เดียงสากับแววตาหวาดหวั่นที่มองเขาอยู่
อนรรฆไม่กล้าทำตามใจตัวเองกับผู้หญิงคนนี้ เหมือนอย่างที่เขาเคยทำกับคนอื่น เขาไม่อยากให้รวีรินเกลียดเขาจนไม่ยอมมองหน้า เพราะว่าเขาไปหักหาญน้ำใจหญิงสาวทำอะไรตามใจปรารถนาของตัวเอง และตามธรรมชาตินิสัยของผู้ชายทั่วๆ ไปเท่านั้น
