DEEP LOVE : 05
แต่ไม่มีใครรู้ ว่าคนอย่างฉันมีอีกกี่ลมหายใจ ~~~
และไม่มีใครรู้ ว่าวันพรุ่งนี้ จะเป็นเช่นไร~~
ได้โปรดให้ความรัก ได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป~~
ให้มันค่อย ๆ ช่วยเธอตอบ คำถามในหัวใจ ที่เธอยังสงสัย ~♩♫♪♬~
และปล่อยให้ตัวฉัน ได้ทำหน้าที่ทุกวันต่อไป….
“อะ…อ้าว” เขาร้องท้วงเมื่อฉันเอื้อมมือไปกดปิดเพลงที่กำลังเล่นบนหน้าจอ LED ตรงคอนโซลหน้ารถ
“รำคาญ” ฉันพ่นคำทั้งที่ยังหันหน้ามองออกนอกกระจกรถ เพลงโปรด แต่พอเขาเป็นคนเปิดมันกลับทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น เสียงเพลงดังออกมาจากลำโพงบวกกับเสียงเจ้าของรถที่หัมมาตลอดทาง ทำให้หัวสมองฉันตื้อตันไปหมด
“ออกจะเพราะ”
“ช่วยเงียบหน่อยเหอะ” ฉันเอ่ยข้อร้องด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิดไม่น้อยและมันได้ผล เขาเงียบในทันที ตอนนี้ฉันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะทำหน้าแบบไหนเพราะสายตายังล่องลอยไปตามเส้นขอบฟ้าที่ไกลลิบ เกือบได้กลับไปอยู่ในที่ของตัวเองแล้วเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะเขา…เฮ้อออ
‘ฉันจะแต่งกับเธอเท่านั้น’
นี่คงเป็นประโยคที่ซาบซึ้งกินใจสำหรับใครหลายๆคน แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นคำพูดที่ออกจากปากนายมธุษินทร์แล้วด้วย ฉันกลับคิดว่ามันเป็นประโยคที่เลวร้ายที่สุด
เขาอาจจะเก่งเรื่องการใช้คำพูดหว่านล้อม ทำให้ผู้หญิงนับร้อย นับสิบ ยอมศิโรราบให้กับเขาได้ แต่นั่น…ใช้กับฉันไม่ได้
เขาเองก็คงไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่ จากที่เคยได้รับฟังและเห็นมาด้วยตาตัวเองในบางครั้ง การหลอกให้ผู้หญิงยอมทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พอใจแล้วก็เขี่ยทิ้ง เขาเริ่มทำมันตั้งแต่ยังไม่พ้น ม.ปลายเลยด้วยซ้ำ ถ้ามันจะยาวนานมาถึงตอนนี้คงฝังลงในส่วนลึกใต้จิตใจ จนขุดไม่ขึ้นแล้วล่ะ
วันนี้ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะหนีแล้ว ยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี ฉันควรตั้งหลักใหม่ อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลา ถึงจะยังมองไม่เห็นทางออกก็เหอะ
ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ ทั้งๆที่อยากมีแค่ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เคยอยากได้ อยากมี หรืออยากเข้าไปยุ่งกับไอ้ธุรกิจนั่นที่แม่ห่วงนักห่วงหนา ห่วงยิ่งกว่าลูกในไส้อย่างฉันซะอีก
ลมหายใจถูกพ่นยาวออกมาซ้ำๆ ก่อนเอนหลังพิงเบาะรถด้วยความเหนื่อยหน่าย
ครืดดดด ครืดดดด
“หามือถือให้หน่อย ถ้าไม่อยู่บนเบาะ ก็ข้างล่างอ่ะ” เขาเริ่มทำลายความเงียบด้วยการขอความช่วยเหลือจากฉัน พลางไล่สำรวจรอบข้างตัวเองสลับกับมองไปบนท้องถนนเป็นระยะ เพราะเขาคงหามันไม่เจอจากการใช้สายตาและไม่สามารถก้มลงหามันตัวเองได้ในเวลานี้
“วุ่นวายชะมัด ทำไมไม่รับไปเลยล่ะ” ฉันว่าพลางตวัดตามองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“เธอคงไม่อยากรู้หรอก…ว่าพ่อฉันจะพูดว่าอะไร” เขาเลิกคิ้วถาม
ฉันถอนหายใจเหลือบมองบน ก่อนจะหันซ้ายหันขวารื้อหามือถือให้เขาด้วยความจำใจ ซึ่งความจริงเขารับมันจากปุ่มคำสั่งบนพวงมาลัยเลยก็จบ แต่ก็นั่นแหละ…เขาไม่อยากให้ฉันรับรู้ธุระส่วนตัว
มือเล็กเอื้อมลงใต้เบาะเพราะเหมือนมันจะสั่นมาจากตรงนั้น ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาส่งให้เขา เขาทำอะไรในรถ ข้าวของถึงกระจัดกระจายขนาดนี้ คิดแล้วก็อยากพุ่งตัวออกจากรถตอนนี้เลย ไม่กล้าเอาตัวแนบเบาะเลยฉัน...
“....” เขาเลื่อนขีดสไลด์หน้าจอและยกขึ้นแนบหูด้วยมือข้างเดียว ความเร็วรถถูกผ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขานิ่งเงียบไปหลายนาทีเหมือนกำลังตั้งใจฟังปลายสายพูด
“ครับ” ในตอนที่ขานรับ เขาเหลือบมองฉันที่กำลังมองเขาอยู่พอดี เราสบตากันก่อนที่ฉันเบนสายตาไปโฟกัสต้นไม้ใบหญ้าข้างทางแทน ไม่ได้อยากมองเขาซะหน่อย แค่อยากรู้ว่ากำลังคุยเรื่องฉันอยู่รึเปล่า ปรากฏว่าใช่…บทสนทนาระหว่างเขากับปลายสายมีฉันอยู่ในนั้นด้วย มันชัดเจนในประโยคถัดมา
“อยู่กับผมเนี่ยแหละ” และฉันยังรู้สึกถึงการถูกจับจ้อง
“โอเคครับ”
หลังจากที่เขาทิ้งมือถือลงซอกข้างเกียร์ เขาก็เงียบไปเลย ฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อย สถานการณ์ที่บ้านตอนนี้จะเป็นยังไงนะ อาม่าคงถือไม้เรียวรอแล้วมั่ง
“ส่งฉันที่คอนโดKKนะ” ฉันหันไปบอกเขา เพราะถัดไปอีกสามซอยก็ถึงคอนโดจ๊ะจ๋าแล้ว
“คอนโดใคร” เขาถามเสียงเข้ม พลางขมวดคิ้วยุ่ง
“ไม่ใช่เรื่อง” ฉันว่า
“งั้นก็ไม่จอด”
ลมหายใจถูกพ่นยาวออกมา ก่อจะขยับปากตอบด้วยความจำใจ
“เพื่อน”
“ผู้หญิงหรือ ผู้ชาย?” นี่มันเกินไปรึเปล่านะ…ยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเกินไปแล้ว พอฉันไม่ตอบเขาก็หักพวงมาลัยออกขวา ฉันรู้ทันทีว่าจุดประสงค์เขาคืออะไรและจำใจตอบคำถามในที่สุด
“ผู้หญิง!”
แต่พอสิ้นเสียงฉันรถก็ถูกบังคับให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กก่อนถึงคอนโดจ๊ะจ๋า ฉันหันมองหน้าเขา ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าหรือมันอาจทะลุถึงกันได้ เพราะฉันไม่ได้กลับมาแถวนี้หลายปี เขาอาจจะรู้จักทางมากกว่า เลยไม่ได้ขัดอะไร
แล้วรถก็จอดเทียบหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งกลางซอย นายมธุษินทร์เปิดประตูลงจากรถและเดินอ้อมมาเปิดฝั่งฉันด้วย
“ไปไหน” ฉันถามขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อมือหนาเอื้อมเข้ามาฉุดรั้นแขนฉันให้ลุกออกจากรถได้สำเร็จ
“กินข้าว” เขาพูดพร้อมดันประตูปิด
“ไม่ไป ฉันไม่หิว”
“แต่ฉันหิว…มา”
