บท
ตั้งค่า

CHAOTIC LOVE : 03

[Part Peerakan]

สาวน้อยช่างจ้อหันขวับกลับมาหาผม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือถือที่แนบหูในตอนแรกถูกเลื่อนลงข้างลำตัว

ผมขยับเท้าเข้าหาทิ้งระยะห่างไม่ถึงสองก้าว ยกมือขึ้นกอดอก ทิ้งช่วงต้นแขนพิงผนัง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พินิศหญิงสาวตรงหน้าชัดเจนเต็มสองตา เธอไม่ได้สวยจนสามารถสะกดใครได้ในวินาทีแรก ใบหน้าทรงกลมคล้ายกับอมซาลาเปาสองลูกอยู่ข้างแก้ม ดวงตาเรียวแต่ก็ไม่ถึงกับตี่ ปากนิดจมูกหน่อย ตามสไตล์สาวหมวยที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนโดยแท้ เพียงแต่เธอยังมีความคมเข้มในเรื่องของคิ้วและขนตา นี่คือข้อได้เปรียบ

ไม่งั้น…ก็แม่ชีดีๆ นี่แหละ

แต่ถ้าโดยรวมก็ถือว่ามองได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ดูเหมือนแก้มป่องๆ นั่นจะเป็นจุดที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ขนาดผมที่ว่ายิ้มโคตรยาก ยังเกือบหลุด…ตอนนี้ผมเห็นรูปหมาตอนนี้ผมเห็นรูปหมาน้อยพันธุ์ปอมเมอเรเนียนหน้ากลมจากการตัดแต่งขนที่ถูกใช้ตั้งโปรไฟล์ มาแทนที่ใบหน้าเธอ เหมือนกันเด๊ะเลย

“หืม?” ผมเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มพลางเอียงคอมอง ขณะเร่งคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเธอใช้เวลาในการประมวลผลนานเกินไป ส่งผลให้คนถูกทักท้วงสะดุ้งเล็กน้อย

“ปะ…เปล่าซะหน่อย” เธอปฏิเสธน้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมหลบตา

“เหอะ! โกหก”

“ร้อนตัว เพราะเฮียทำแบบนั้นจริงใช่ไหมล่ะ”

“หื้อ…” ผมดึงตัวขึ้นตรง ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง และเหมือนเธอจะรู้ตัวรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากแน่น “ใครอนุญาต”

ผมไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอจงใจจะแดกดัน แต่ผมซีเรียสกับสรรพนามที่เธอใช้มากกว่า ถึงเธอจะเป็นเพื่อนมิณ ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกและไม่มีสิทธิ์จะเรียกผมแบบนี้ด้วย

“ไม่มีค่ะ” เธอตอบเสียงอู้อี้ ก่อนจะค่อยๆลดมือลง

“แล้ว?”

“เรียกเองค่ะ” ยอมรับออกมาโต้งๆ อย่างไม่อาย คำตอบหนักแน่นและชัดเจน ทำผมสงสัยว่ายัยหมาน้อยนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนา

“ห้าม…เรียก” ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงเน้นย้ำ ก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า คนตัวเล็กก็ปรี่เข้ามาขว้างหน้าผมพร้อมกางแขนออกสองข้าง

“เดี๋ยวค่ะ”

ผมชะงัก พลางหลับตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มอารมณ์ที่มันเริ่มปะทุขึ้นมานิดหน่อย ผมไม่ได้มีโหมดอ่อนโยนกับผู้หญิงเหมือนไอ้หมอไวน์นะจะบอกให้ คนตรงหน้าเลื่อนมือถือขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจิ้มหน้าจอสองสามทีแล้วหันมาจ่อระดับสายตาผม

“เฮียรู้ใช่ไหมว่านี่คือเพลิน”

“ได้ยินที่ฉันพูดไหม” ผมถามย้ำพลางใช้มือดันมือถือออกให้พ้นหน้า แล้วเขม่นมองคนที่ไม่สะทกสะท้านกับอะไรสักอย่าง เพราะเธอยังใช้สรรพนามที่ผมเพิ่งสั่งห้ามไปไปถึงสามนาที

ส่วนไอ้ที่แสดงอยู่หน้าจอก็เป็นข้อความที่เธอรัวส่งมาหาผมนั่นแหละ

“เพลินขอจีบเฮียได้ไหม”

“ไม่ได้” ผมปฏิเสธทันควัน

“ทำไมล่ะคะ เพลินขอลองก่อนได้ไหม”

“ไม่!” ผมยังยืนยันคำเดิม

“เพลินไม่สวย?” เธอเลิกคิ้วถาม

“ใช่…ไปเอาซาลาเปาออกจากแก้มให้ได้ก่อน” ผมตอบโดยไม่ลังเล ก่อนคนฟังจะยกฝ่ามือทั้งสองข้างประกบแนบแก้มตัวเอง

“บูลลี่”

ผมกระตุกมุมปากแล้วเลี่ยงเดินออกห่างยัยหมาน้อยแสนมึน แต่ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เพราะคนดื้อด้านยังวิ่งมาดักหน้าเอาไว้

“ยังไง เพลินก็จะจีบเฮียให้ได้ รอดูเลย” น้ำเสียงหนักแน่น แววตามุ่งมั่น ไม่ได้มีผลทำให้ผมใจอ่อนได้หรอกนะ ประสบการณ์ยี่สิบกว่าปีไม่ได้สอนเธอบ้างเลยรึไง...ว่าความพยายามไม่ได้นำพาให้ไปสู่ความสำเร็จเสมอไป

ลมหายใจถูกพ่นออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะตบฝ่ามือทาบไปกับผนังด้านข้าง แล้วโน้มหน้าให้อยู่ระดับเดียวกัน

“เด็กน้อยอย่างเธอ ทำลายกำแพงของฉันไม่ได้หรอกนะ อย่าพยายามเลย มันน่ารำคาญ” ขณะที่ผมพูดเธอยังเผลอลอบกลืนน้ำลายบวกกับยืนตัวเกร็งขึ้นมาทันตา ไม่รู้เพราะกลัวหรือเพราะผมเข้าใกล้เธอมากเกินไป

เปลือกตาสีอ่อนกะพริบตาถี่ในตอนที่ผมดึงตัวกลับขึ้นตรง เธอจ้องหน้าผมสักพักก่อนจะหลุดอมยิ้มเหมือนเกิดไอเดียบางอย่างในหัว

วินาทีต่อมาร่างบางขยับเข้าใกล้ผมในระยะประชิด เขย่งปลายเท้าขึ้นจนสุดเพื่อจะอยู่ในระดับใกล้เคียง

“แต่เด็กน้อยอย่างเพลิน อาจจะสูบเรี่ยวแรงจากเฮียจนหมดตัวเลยก็ได้นะ”

เชื่อไหม…กรอบหน้าผมร้อนวูบ มีเรื่องเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวและสมองแม่ง เสือกคิดตามไม่หยุด จะว่าไม่เคยเจอผู้หญิงหยอดก็ไม่ใช่ เพียงแต่ไม่เคยใจสั่นกับรอยยิ้มหวานที่สวนทางกับคำพูดแบบนี้ต่างหาก

ยิ่งไปกว่านั้น แววตาของเธอดันคล้ายกับใครบางคน...

ผมขมวดคิ้วดึงหน้าตึงพร้อมเรียกสติกลับมา ก่อนวางมือข้างหนึ่งบนไหล่เล็กแล้วดันร่างเธอให้ออกห่าง

“อย่ามาทะลึ่ง ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น แล้วก็อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น!” รอบนี้คำสั่งผมอยู่ในโทนเสียงที่แข็งกระด้างกว่าเดิมหลายเท่า แต่ยัยหมาน้อยตรงหน้าไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด แถมยังทำหน้าบ้องแบ๊วไม่หยุด

“ทำไมอะ เพลินจะเรียก ทีมิณยังเรียกได้เลย”

“แต่ฉันไม่ได้สนิทกับเธอ” มึนจัด…

“เดี๋ยวเราก็สนิทกัน เชื่อเพลินสิ” ไม่พูดเปล่า แถมยังยักคิ้วท้าทายอีกด้วย ผมแค่นหัวเราะออกมาอย่างเหลืออด

“ยัยเด็กบ้า” ผมกดเสียงต่ำ แล้วกระแทกเท้าผ่านหน้าเธอไปยังประตูทางออกริมสระ ไม่นานก็มีเสียงหวานดังไล่ตามหลังมา

“แล้วเจอกันนะคะ”

ผมโคลงศีรษะด้วยความเอือมระอาก่อนจะดึงประตูเปิด แต่ก็ต้องชะงักงัน เมื่อเห็นไอ้หมอไวน์กำลังหมุนตัวไปทางสระน้ำชี้โบ๊ชี้เบ๊ใส่พวกที่อยู่กลางสระ ไอ้วาโยกับเฌอก็พากันชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสวีทหวานทั้งที่ไม่มีดาวสักดวง ส่วนไอ้แม็กซ์กับคุณหนูลลิลทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ริมสระแทบจะพร้อมกันมือถือในมือถูกยกถ่ายรูปคู่โดยอัตโนมัติ

เหอะ…อย่างล่ก ดูไม่ออกเลยมั่ง

ผมตวัดตาคาดโทษเรียงตัวก่อนจะเดินไปกระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้จุดเดิมที่ยัยหมาน้อยนั่งอยู่ตอนแรก และเป็นเพราะพวกมันอีกนั่นแหละที่ให้ผมตามออกไปขอโทษเธอเรื่องเมื่อคืน

สุดท้ายไม่ได้ขอทงขอโทษอะไรทั้งนั้น แถมยังได้ความหงุดหงิดกลับมาเพิ่มขึ้นอีก จากนั้นพวกมันเดินตามผมกลับมานั่งประจำที่กันเป็นพรวน

“เป็นไงมึง” ไอ้หมอไวน์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเอ่ยถามถึงผลงานชิ้นเอกทันทีที่ก้นสัมผัสถึงเก้าอี้

“รู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องเสือกถาม” พูดจบ ผมก็ยกแก้วขึ้นดื่มเข้าไปหลายอึก จังหวะนั้นไอ้แม็กซ์ก็เริ่มออกความคิดเห็น

“กูว่าเพลินตาก็ไม่ได้แย่นะ”

ผมวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะปาระเบิดลูกใหญ่ไปให้ไอ้ CEO ปากเสีย

“เอาไปเองไหมล่ะ” ประโยคของผมทำคุณหนูลลิลหันขวับไปจ้องสามีตัวดีตาเขม็ง จนมันต้องรีบหาทางรอดจากสายตาพิฆาตของเมียตัวเอง

“เปล่านะ ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”

ปึง!!

ทุกคนถูกดึงความสนใจไปยังบานประตูที่เปิดเข้ามาอย่างกะทันหันโดยพร้อมเพรียง พบหนึ่งในลูกน้องไอ้ดินหยุดยืนท่าทางเหนื่อยหอบก่อนมันจะตะโกนเสียงลั่น

“นายครับ! ข้างล่างตีกันยับเลย”

พวกผมลุกพรวดและวิ่งตรงออกประตูพุ่งตัวลงไปชั้นล่างทันที คงมีแต่บรรดานายหญิงที่ถูกไอ้วาโยสั่งห้ามไปไหน

พอลงมาถึงสภาพก็ยับจริงอย่างที่บอกนั่นแหละ ถึงลูกน้องมันจะควบคุมสถานการณ์บางส่วนได้แล้ว แต่ปัญหาใหญ่คือมีคนเจ็บ ไอ้เจ้าของผับถึงกับตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน คิดว่าน่าจะเป็น ป๊า มัน

ผมกวาดสายมองไปรอบๆ ในตอนที่ไฟถูกเปิดสว่างและผู้คนถูกกันออกไปด้านนอกบ้างแล้ว หัวคิ้วย่นเข้าหากันเมื่อสะดุดเข้ากับร่างบางในชุดคุ้นตาซึ่งยืนตัวแข็งทื่อหลบอยู่มุมบันได นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมหันมองหาใครสักคนในกลุ่ม แต่แม่งก็ไปรุมกันอยู่กลางร้านหมดแล้ว

มีความลังเลเกิดขึ้น เพราะผมไม่ใช่พวกสุภาพบุรุษที่จะมาเห็นใจเพื่อนร่วมโลก

สุดท้ายผมทำได้แค่ถอนหายใจพร้อมก้าวเข้าไปยังจุดหมายอย่างไม่มีทางเลือก อยู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น

ยัยหมาน้อยนี่จะตามหลอกหลอนผมไปถึงไหนวะ

ทันทีที่ผมเอื้อมแตะไหล่บางข้างหนึ่ง เจ้าของร่างสะดุ้งตอบเป็นการตอบสนอง เธอช้อนมองผมด้วยแววตาสั่นระริก การหายใจอยู่ในจุดที่เรียกว่าหอบ มิหนำซ้ำตามขาเธอยังมีคราบเลือดกระเซ็นโดนหลายจุด นั่นแปลว่าเธอไม่ได้แค่เห็น แต่คงอยู่ในระยะที่ใกล้มากเลยด้วย

เหอะ! สลัดคราบแม่เสือเป็นลูกหมาอย่างเห็นได้ชัด….ไม่เห็นซ่าเหมือนตอนท้าทายผมสักนิด

“มานี่” ผมเลื่อนมือลงกอบกุมฝ่ามือเล็กเย็นเฉียบไว้ทั้งหมด ก่อนจะจูงเธอออกมาทางด้านหลังและพาเดินอ้อมไปยังที่จอดรถ

ซูเปอร์คาร์คู่ใจถูกกดสตาร์ทเครื่องหลังมาถึง ประตูฝั่งคนนั่งถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะดันคนขวัญหนีดีฝ่อนั่งลงบนเบาะในท่าหันออกนอกรถ

“ความเก่งหายไปไหนหมดละ” พูดจบผมก็รู้สึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมา คำพูดห่าเหวดันหลุดออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะพูดว่าอะไร ถ้าเป็นคนอื่นคงปลอบโยนเธอได้ดีกว่านี้

“....” และเธอยังเงียบ นั่งก้มหน้างุด ตัวสั่น มือเล็กทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่บนตัก สงสัยจะช็อกจริง ผมเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งเพื่อหยิบแจ็คเกตตัวเองออกมาแล้วเดินกลับมาคลุมให้เธอ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งให้อยู่ในระดับเดียวกับคนตรงหน้า

“นี่! ยัยหมาน้อย ตั้งสติหน่อย” ผมพยายามปรับโทนเสียงให้อยู่ในโหมดอ่อนโยนที่สุด หากแต่...ยังทำคนฟังสะดุ้งอยู่ดี

“...” คราวนี้เธอเงยหน้าขึ้นมองกัน แต่ยังติดตื่นตระหนก คล้ายกับเธอยังคอนโทรลอะไรไม่ได้เลย

“หายใจเข้าออกลึกๆ” ผมว่า ขณะทำในสิ่งที่ตัวเองพูดไปด้วย หวังให้เธอทำตาม...และมันได้ผล ผ่านไปสักพัก ลมหายใจเธอก็กลับมาอยู่ในโหมดปกติแต่สีหน้าก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ผมหลุบมองรอยเลือดหลายจุดบนขาเนียนก่อนจะพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก พลางเอื้อมหยิบขวดน้ำตรงที่วางเท้าคนนั่งออกมาหนึ่งขวด

“มีทิชชูไหม”

“....” แต่ไร้เสียงตอบกลับ อีกฝ่ายยังนิ่ง จนผมต้องเขม่นมองหน้าเธอเพื่อเรียกสติ

“อ๋อ ค่ะๆ”

ครืดดดด~ ครืดดดด~

มือถือผมสั่นพอดีในตอนที่เธอกำลังล้วงหาสิ่งของในกระเป๋า ผมเลยส่งขวดน้ำให้เธอจัดการเอง ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืน หยิบมันออกมาเลื่อนสไลด์เพื่อรับสายจาก ‘ไอ้หมอเวร’

[มึงอยู่ไหน]

“มีอะไร”

[มาช่วยตามหาเพลินตาหน่อย มิณติดต่อน้องไม่ได้] ผมเหลือบมองคนที่ถูกเอ่ยถึงในบทสนทนา ที่ตอนนี้กำลังก้มเช็ดรอยเปื้อนเลือดที่ขาตัวเอง แล้วไอ้ชุดที่เธอใส่มันไม่ได้เอื้ออำนวยในการก้มขนาดนั้นไง

ยัยหมาน้อยนี่กำลังอ่อยผมอยู่รึเปล่าว่ะ…บ้าเอ๊ย!!!

จังหวะที่เธอเงยขึ้นมอง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกรอกเสียงกลับไปยังปลายสาย

“อยู่กับกู”

[ฮะ!! อยู่กับมึง ที่ไหน!!] เสียงอุทานดังมาตามสายจนผมต้องเลื่อนมือถือออกห่าง แต่ก็ยังได้ยินชัดอยู่ดี จะตกใจห่าอะไรขนาดนั้นวะ

“ที่รถ” ผมตอบแล้วกดตัดสาย เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันกลับมาจัดการยัยหมาน้อยยังก้มเช็ดไม่หยุด น่าหงุดหงิดชะมัด

“นั่งดีๆ ดิ๊!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel