บทที่ 4 - สิบเก้าปีของเธอ หนึ่งปีของเขา
บทที่ 4
สิบเก้าปีของเธอ หนึ่งปีของเขา
“อะไรนะ! เจ้าชายภูตจะมางั้นเหรอ แล้วเธอพึ่งจะมาบอกฉันตอนนี้เนี่ยนะ!!!” เสียงแหลมของเจ้าแมวภูตโวยวายขึ้นมาเสียงดังเมื่อคนที่เป็นเจ้านายเพิ่งบอกข่าวสำคัญให้ทราบ
เสียงดังลั่นขัดหูคนฟังทำเอาไอริสรู้สึกเสียใจที่บอกเรื่องนี้ให้ไบท์รู้ ถ้าปล่อยให้เซอร์ไพรส์จอเองเจ้าแมวสาวตัวแสบคงจะได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ดีกว่าที่จะมานั่งบ่นเธอไม่ยอมหยุด ไอริสไม่อยากจะทนฟังเลยเลือกที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหนีเข้าห้องน้ำไป
เสียงฝักบัวภายในห้องน้ำดังอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงพร้อมกับเสียงกวนนำโหเจ้าแมวดังลอดออกมา “ถ้าหมอนั่นมาถึงแล้วก็ช่วยแสดงท่าทีเป็นแมวที่แสนดี แล้วไปคลอเคลียต้อนรับหน่อยนะ”
“โอลิเวีย แกรนไรซ์!!!” ไบท์กรีดร้องชื่อเต็มของเจ้าคนในห้องน้ำออกมาอย่างเดือดดาล เสียงน้ำกระทบพื้นกับเสียงฮัมเพลงสบายใจเบา ๆ ที่ลอดออกมาอย่างคนไม่รู้สึกรู้สา ทำเอาแมวสาวหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเช้าเพิ่งรับมือศึกหนักกับอสูรตั้งยี่สิบกว่าตัวไป แล้วตอนนี้ไอริสก็ยังคิดจะมาเล่นสงครามประสาทกับคูล ไบท์ผู้เป็นคนกลางได้แต่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่เงียบ ๆ การส่งตัวมันไปเผชิญหน้ากับคูลไม่ต่างอะไรจากการเปิดเผยตัวตนว่าตัวเองคือเจ้าหญิงโอลิเวีย ในเมื่อเขาเป็นถึงเจ้าชายภูตแล้วจะไม่รู้ได้ยังไงเจ้าแมวตัวนี้เป็นใครกันแน่
ผ่านไปไม่กี่นาทีร่างที่คุ้นเคยก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมเสื้อยืดแขนยาวสีดำปกปิดรอยแผลเมื่อเช้าไว้จนมิด หลังจากตีกับอสูรเสร็จ พอไอริสกลับมาบ้านเธอเอาเสื้อพวกนั้นเขาไปในห้องน้ำพร้อมกับทำลายมันด้วยพลังหิมะ โดยที่เธอพยายามไม่ให้ใช้เวทมากจนเกินไป ป้องกันร่างเดิมปรากฏออกมาแล้วจะถูกใครที่ไหนไม่รู้จับตัวไป
การใช้พลังเล็กน้อยในการทำลายสิ่งของ กว่าเธอจะทำสำเร็จก็ทำเอาแทบหมดแรง ร่างกายของมนุษย์ถ้าไม่มีอาวุธนำพาเวทอย่างคทาหรือไม้กายสิทธิ์ก็ไม่ง่ายที่จะใช้เวทมนตร์ได้ง่าย ๆ อย่างเผ่าพันธุ์อื่น ๆ
พอเสร็จจากภารกิจทำลายเสื้อผ้า เจ้าตัวก็เข้านอนยันสี่โมงเย็น เมื่อตื่นมาก็เพิ่งได้บอกข่าวเรื่องคูลให้ไบท์ฟัง
ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่แต่กลับมาบอกกันตอนเวลากระชั้นชิดเนี่ยนะ!
ร่างของแมวสาวสีขาวตัวโตเต็มวัยที่กำลังเดินวนรอบห้องหยุดเดินกะทันหันพลางเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย ก่อนมันจะเอ่ยปากมาช้า ๆ ว่า “ดูเหมือนเจ้าชายของเธอจะมาแล้วนะ”
คนที่กำลังวางผ้าลงในตะกร้าสะดุ้งโดยพลัน พอตั้งตัวได้เธอก็หันไปตวาดใส่แมวสาวเสียงดังลั่น “เจ้าชายของใครฮะ เจ้าแมวบ้า!”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ไอริสโวยวายได้ไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะที่ประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นมา สีหน้าผ่อนคลายของทั้งคู่พากันจางหายไปแล้วมีความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่ หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความมั่นใจ ในขณะที่ไบท์กลับหนีเอาตัวรอดโดยการกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงจะบอกว่ามันหนีตัวรอดก็ไม่ได้ ในเมื่อการหนีของมันมีส่วนช่วยให้ไอริสไม่ถูกเปิดโปงง่ายยิ่งขึ้น
ประตูไม้สีขาวเปิดออกช้า ๆ ปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าที่ห่างหายไปนานนับสิบเก้าปีมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกโหยหายพุ่งเข้าเล่นงานที่กลางใจ ขณะที่ใบหน้าหวานพยายามควบคุมมันให้สงบนิ่ง
คูล เวราเน่ เจ้าชายแห่งภูต ในตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ข้างหลังปราศจากพรรคพวก ทั้ง ๆ ที่คนระดับควรจะมีคนติดตาม ทว่าชายหนุ่มในตอนนี้เลือกที่จะมาคนเดียว ราวกับว่าตั้งใจให้เป็นแบบนี้
เหมือนว่าคูลจะรอจนกระทั่งเลิกเรียนถึงได้มา ดูได้จากเจ้าของเรือนผมสีดำที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียน เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยเสื้อนอกสีดำขอบเทาเข้าคู่กับกางเกงสีเดียวกัน เป็นรูปแบบที่ไอริสเห็นประจำทุกวัน แต่พอมาอยู่ในร่างของเจ้าชายคนนี้แล้ว มันเหมือนกับว่ามีรัศมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้ชุดดูดีขึ้นมาหลายเท่าตัว
“เอ่อ...” เสียงหวานของไอริสเอ่ยขึ้นมา เธอมีสีหน้าแปลกใจทำเหมือนกับกำลังพบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าคนที่มาเป็นใคร แต่ในฐานะคนที่หลบหนีต้องชมว่าเธอแสดงได้แนบเนียน
คูลยิ้มให้กับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มสุภาพ เขาไม่สนใจกับท่าทีปลอมเปลือกของคนตรงหน้า ขณะที่เอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยินดีที่พบ ผมคือ คูล เวราเน่”
“เจ้าชายภูตน่ะเหรอ...” เสียงหวานซ่อนความประหลาดใจ
“ผมได้ข่าวมาว่าคุณ... ไอริสใช่ไหมครับ”
ไอริสพยักหน้า ยังคงมีท่าทางเบลอ ๆ อยู่ทั้งที่จริงแล้วแค่พยายามจะไม่พูด
“ทางเราทราบมาว่ามีนักเรียนหลายคนที่ล้มป่วยจากการกางข่ายเวทและพิธีการคืนความทรงจำ ผมจึงอยากมาแสดงความรับผิดชอบและมามอบยารักษาให้ด้วยตัวเองครับ”
มือเรียวยาวยืนรับถุงสีน้ำตาที่ใส่ยาอยู่มาถือแบบงง ๆ ท่าทางเป็นมิตรของคูลช่างแตกต่างจากที่คิดเอาไว้ เธอเริ่มไม่แน่ใจว่าเขารู้ความจริงแล้วหรือยังว่าเธอคือโอลิเวีย การกระทำเหมือนคนแปลกหน้าชวนให้บรรยากาศรอบด้านน่าอึดอัดจนคิดหาคำพูดมาตอบโต้ด้วยไม่ได้เลย
ตลอดเวลาที่รู้จักกับคูลมา ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่จำกันไม่ได้ หรือแม้กระทั่งครั้งแรกที่เจอกันพวกเธอทั้งคู่ยังรู้จักกันเพราะพ่อแม่ด้วยซ้ำ
เจ้าชายสองหน้า ทั้งที่เป็นคนเลือดเย็นเจ้าเล่ห์ แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายเขากลับทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่แสนดี
อย่างเช่นในตอนนี้...
“ช่างเป็นเกีรติอย่างยิ่งที่เจ้าชายแห่งเมืองภูตมาขอโทษฉันด้วยตัวเองแบบนี้” ตราบใดที่เขายังไม่พูด เธอก็จะไม่มีวันพูดออกมาเช่นกัน
คูล เวราเน่ไม่เคยขอโทษใคร ยิ่งกับคนธรรมดาเขายิ่งไม่มีวัน เห็นได้ชัดว่าเขารู้ทุกอย่าง และเธอในฐานะที่ยังแสร้งเป็นคนธรรมดาย่อมต้องนอบน้อมกับคนที่เป็นถึงเจ้าชายภูต
ดินแดนภูต สถานที่เต็มไปด้วยสัตว์วิเศษชั้นสูง สิ่งมีชีวิตในที่แห่งนั้นล้วนแล้วแต่มีพลังเหนือกว่ามนุษย์ เทพและปีศาจ ผู้คนหวาดเกรงแม้แต่อสูรยังต้องยอมให้ ถูกปกครองด้วยราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติกาลฉายาว่าจ้าวแห่งภูต ความสามารถของราชวงศ์ภูตสายเลือดแท้อย่างคูลและพ่อของเขาถูกปิดเป็นความลับ ซึ่งแม้แต่ไอริสสนิทกับคูลมากที่สุด เขาก็ไม่เคยแสดงมันออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง
สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็มีเพียงพรสามข้อ ที่เป็นเหมือนประกาศิตสั่งตาย เพียงแค่เอ่ยออกมาทุกอย่างก็จะกลายเป็นความจริง
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ผมเข้าไปคุยข้างในได้ไหม” เสียงทุ้มถามขึ้นมา ทว่าในคำพูดธรรมดากลับแฝงน้ำเสียงข่มขู่เอาไว้ ทำเอาคนฟังยอมทำอย่างว่าง่ายราวกับต้องมนต์
“ได้สิ” ใบหน้าขาวซีดยิ้มรับ หัวใจเต้นระรัว
ไอริสพาคูลเข้ามาในห้องนั่งเล่นตามคำขอแม้ในใจจะไม่อยากก็ตาม แต่จะให้อ้างอะไรที่ไม่ผิดสังเกตได้ละ ในตอนนี้มีแค่เล่นไปตามเกมเท่านั้น
เมื่อเข้ามาในห้องคูลก็เดินไปนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่สีขาวราวกับเป็นเจ้าของ เขาเผชิญหน้ากับไอริสด้วยดวงตาคมกริบสีเทาลุ่มลึก ดวงตาที่เป็นเหมือนกับเครื่องสแกนที่ต้องการจะเปิดเผยทุกคำตอบออกมา
“เธอคือใครกันแน่ ไอริส แกรน”
ไม่ทันที่ไอริสจะได้นั่งลงที่นั่งฝั่งตรงข้าม น้ำเสียงเยือกเย็นก็เอ่ยถามขึ้นมาก่อน คำถามที่เป็นเหมือนอาวุธมาจี้คอ ทว่าไอริสกลับยังคงสงบนิ่ง เธอยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ เขาก็เข้าเรื่องจริงจังกันตรง ๆ แบบนี้
“ฉันเหรอ... ฉันก็แค่เด็กนักเรียนธรรมดาที่โพลาเดียก็เท่านั้น” เสียงหวานตอบกลับอย่างหนักแน่น
คูลรู้จักชื่อเธอมาจากรายชื่อในโรงเรียนนี้และรู้ว่าเธอคือคนจากโพลาเดีย แต่เขาจะรู้มากแค่ไหนกัน ในเมื่อนักเรียนในโพลาเดียไม่ได้มีแค่ร้อยสองร้อย และในช่วงที่เกิดสงคราม ตอนนั้นเป็นวันเปิดภาคเรียนใหม่ที่โพลาเดีย แน่นอนว่าต้องมีนักเรียนใหม่ที่เดินทางมารายงานตัว ต่อให้คูลจะรู้จักคนเก่า ๆ เยอะแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางรู้จักนักเรียนใหม่แน่นอน
ในส่วนเรื่องโรงเรียนโพลาเดีย ที่นั่นคือโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งบลีกฟิก นอกจากจะเป็นเหมือนเมืองขนาดย่อม ๆ แล้วยังมีคนที่เป็นถึงแม่มดผู้ดูแลเหล่ามนุษย์เป็นผู้ปกครองโรงเรียนอีกด้วย โรงเรียนแห่งนี้จะรับเฉพาะนักเรียนที่อายุสิบแปดปีขึ้นไปและมีพื้นฐานการต่อสู้ขั้นต้น ศึกษาอยู่ราว ๆ สี่ปี ก็จะมีแขนงงานต่าง ๆ รองรับ ทั้งงานฝั่งมนุษย์ เทพและปีศาจ
ไอริสก็เป็นหนึ่งในนักเรียนโพลาเดีย ศึกษาอยู่ที่นี่พร้อมกับเหล่าพี่น้องราชวงศ์บลีกฟิกรวมไปถึงคูลอยู่ชั้นปีที่สอง
“เหรอ” เสียงทุ้มตอบกลับสั้น ๆ คล้ายกับไม่เชื่อ เขาพยักหน้าหงึกหงักทำเป็นรับรู้อย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วดวงตาสีเทาสว่างจู่ ๆ ก็มืดทมิฬเข้มลงจนเกือบจะเป็นสีดำ เขาจดจ้องอยู่ที่ไอริสไม่ไปไหน
ฝ่ายคนถูกอ่านใจเม้มริมฝีปากบางที่แห้งผา เจ้าชายภูตกำลังพยายามอ่านใจของเธอเพื่อล้วงข้อมูลทุกอย่างออกมา แต่ขอโทษนะ... คิดว่าเธอเป็นใครกันละ
เขาอาจจะเป็นเจ้าชายภูต แต่เธอคือเจ้าหญิงสายเลือดตรงของเทพกับมารนะ
ไอริสยิ้มให้เขาโดยปิดบังความจริงไว้ภายใต้รอยยิ้มหวาน การอ่านใจของคูลมีวิธีรับมือได้ง่าย ๆ นั่นคือมีจิตใจที่แข็งแกร่ง หากแสดงท่าทีอ่อนแอยอมคนออกมาแม้เพียงนิด ชายหนุ่มจะล่วงรู้ข้อมูลทุกอย่างในทันที ซึ่งการมาเจอกับเธอผู้มีความอดทนสูง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ข้อมูลอะไรกลับไป
ในสุดคูลก็เป็นฝ่ายยอมแพ้
“เอาละ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน น้ำเสียงของเขาสุขุมขณะที่กำลังจัดการรอยยับที่เสื้อนอก “วันนี้ผมคงต้องกลับแล้ว” เขาบอกกับเธอ แต่ไม่ทันที่ร่างสูงจะเดินออกไปจากประตูห้องนั่งเล่น เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง
“อีกเรื่องหนึ่ง... ผมคงต้องขอความร่วมมือจากคุณไอริส แกรน หากพบผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผิวซีด ผมขาวราวกับหิมะและดวงตาสีแดงเข้มเช่นเดียวกับเลือด ช่วยฝากบอกเธอให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ถ้าเขายังไม่กลับมา เขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกตลอดไป”
เวลาเที่ยงคืน ท้องฟ้าแต่งแต้มด้วยสีดำมืดมิดสนิท ไร้ซึ่งดวงดาวบนฟากฟ้า ร่างสูงโปร่งที่ของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงวอร์มกำลังนั่งกอดเข่าพิงกำแพงขณะที่มองไปยังดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างจ้า แผลที่แขนขวาในตอนนี้ได้ถูกพันแผลด้วยผ้าสีขาวและลงยากำจัดพิษของพวกอสูรไว้เรียบร้อย
นัยน์ตาสีดำที่คล้ายว่าจ้องไปที่ดวงจันทร์ แท้จริงแล้วเธอกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเมื่อนึกถึงอดีตและข้อผิดพลาดทั้งหลายที่ก่อขึ้น หากแค่เปิดเผยว่าตนเองคือโอลิเวีย ทุกคนจะคิดยังไงที่ทำให้พวกเขาผลัดพรากจากครอบครัว ทั้งที่ความจริงแล้วเธอแค่ต้องการช่วยเหลือ
แล้วเรื่องของคูล... ยาที่ชายหนุ่มเอามาในวันนี้นอกจากยาแก้ปวดธรรมดาแล้ว มันยังมีอุปกรณ์ทำแผลภายนอกมากมาย ต่อให้ไม่ต้องพูดอะไร ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเธอเป็นใคร ตอนนี้คงเหลือเพียงเวลาแห่งการเปิดเผยเท่านั้น
อีกอย่างที่เธอยังไม่คิดกลับไป บางทีอาจจะเป็นเพราะคุ้นเคยกับการเป็นไอริสไปแล้ว ในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่มานานถึงสิบเก้าปี ความทรงจำในโลกก่อนเลือนรางจนแทบจะกลายเป็นฝุ่น จะให้ทำใจเปิดใจรับคนที่ไม่ได้เจอนานขนาดนั้นง่าย ๆ ได้ยังไงกัน
แต่สำหรับเขามันเป็นเวลาแค่หนึ่งปี....
‘หลับหรือยัง’ เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นในโสตประสาท คล้ายกับเสียงที่มากระซิบอยู่ข้างหูผ่านลมหนาวอย่างอ่อนโยน
‘มีอะไร’ ฝาแฝดคนน้องตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงความโกรธ ถึงรู้ว่าโอลิเวอร์จะบอกเจ้าคนนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะทำมันจริง ๆ
‘มาเฝ้าถ้ำเป็นเพื่อนทีสิ’
หนังตาของไอริสกระตุก นี่เธอโดนพี่ชายทรยศ แต่เขายังมีหน้ามาขอความช่วยเหลือกันอีก
‘สมน้ำหน้า’
‘ฉันไม่ได้บอกคูลนะ’
‘นายกำลังจะบอกว่าไม่ได้บอกเรื่องที่ฉันเป็นใครใช่ไหมล่ะ’
คูลรู้อยู่แล้วว่าไอริสก็คือโอลิเวีย พอโอลิเวอร์ไปบอกว่าน้องสาวตัวเองบาดเจ็บ เจ้าชายภูตถึงไม่รอช้ารีบแจ้นมาดูอาการถึงที่บ้าน
‘เธอก็รู้ว่าเราปิดบังความจริงจากหมอนั่นไม่ได้หรอก’
‘แล้วเขาเจอเอริสหรือยัง’
‘เอริส? รีนีน่าน่ะเหรอ’ โอลิเวอร์ถามกลับ
เอริส แกรน หรือที่ทุกคนในอาณาจักรบลีกฟิกรู้จักกันในนาม รีนีน่า แกรนไรซ์ เจ้าหญิงอันดับที่สองแห่งบลีกฟิก เป็นพี่สาวที่อายุห่างจากไอริสและโอลิเวอร์หนึ่งปี ทว่าด้วยระยะห่างของช่วงอายุที่สั้นประกอบกับความสนิทสนมจากการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ไอริสและเอริสเลยมีสถานะเหมือนเพื่อนสนิทกันมากกว่าพี่น้อง
เอริสเป็นอีกคนที่รู้เรื่องทั้งหมดนี้มาโดยตลอด ไอริสได้วางแผนมาตั้งแต่แรกว่าถ้าวันนี้มาถึง เธอจะให้เอริสสวมบทเป็นไส้ศึกคอยสืบข่าวจากพวกของคูล
‘ก็มีอยู่คนเดียว’
‘ฉันยังไม่เจอนะ แต่สองพี่น้องบอกว่าเจอตัวอยู่เมื่อเช้าแต่ตามจับไม่ได้ จับได้แค่แฝดนรก’
แฝดนรก... ในที่แห่งนี้รู้จักกันในชื่อ แอริสกับออริส แกรน ส่วนที่อาณาจักรบลีกฟิกทั้งสองคือองค์หญิงฝาแฝดคนสุดท้อง เปรเรเซกับเปรเนเซ แกรนไรซ์ ทั้งสองเป็นแฝดที่มีนิสัยต่างกันคนละขั้ว แต่ก็เข้าใจกันและกันดีราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ที่ถูกโอลิเวอร์เรียกว่าแฝดนรกมันมีมูลเหตุมาจากพลังมหาศาลที่ทั้งสองเป็นคนควบคุม สองคนนี้ยังคงเป็นเหมือนเด็กที่ใสซื่อ ถ้าหากพี่สาวสุดที่รักอย่างเอริสสั่งอะไรออกมา พวกเธอทั้งคู่ก็พร้อมจะทำตามอย่างไม่คิดชีวิต
‘แอริสกับออริสเนี่ยนะถูกจับ’ ไอริสไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ถ้าให้พูดตามตรงแล้วอรินกับอริสผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดในพี่น้องตระกูลแกรนไรซ์ไม่ได้เก่งตามอายุเลย คนที่นุ่มนวลอย่างสองคนนั้นไม่มีทางปะทะกับของแข็งอย่างแอริสและออริสได้แน่
‘ตอนแรกสองคนนั้นก็เกือบแย่แล้ว โชคดีที่ฉันเข้าไปช่วยได้ทัน’
‘อ้อ’
พอได้รู้ว่าโอลิเวอร์เป็นคนช่วยจัดการกับเจ้าสองฝาแฝดตัวปัญหา ไอริสก็เลิกติดใจ ในเมื่อคนอย่างโอลิฟถูกเลี้ยงมาในดินแดนปีศาจ ทำให้เขามีความสามารถด้านกลโกงมากกว่าอริและอริสที่โตมาในดินแดนของเทพ ในขณะที่เธอ เอริส แอริสและออริสเติบโตในดินแดนของมนุษย์ ทว่าเรียนรู้จากแม่มดอันดับหนึ่งผู้เป็นอมตะอย่างแม่มดฟีโอน่า ทำให้พวกเธอที่เป็นลูกครึ่งเทพมารมีวิชามากกว่าคนอื่นในครอบครัวหลายเท่าตัว
ถ้าไม่มีโอลิเวอร์คอยควบคุมสถานการณ์ ปานนี้เมืองทั้งเมืองอาจกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว
พอคิดไปว่าสองคนนั้นถูกจับตัวได้แล้วมันก็... ‘จับตัวไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน เกิดหลุดออกมาพวกนายจะแย่เอานะ’
‘ถ้าอยู่ในกำมือของคูลแล้วคิดว่าจะหลุดไปง่าย ๆ เหรอ’ โอลิเวอร์ย้อนถาม เป็นคำถามที่ไอริสไม่ยอมตอบ ในเมื่อผลลัพธ์มันก็คือเธอที่ยืนอยู่คนเดียวในตอนนี้
โอลิเวอร์เงียบไปสักพัก จู่ ๆ เขาก็พูดประโยคหนึ่งที่ไม่สมเป็นพี่ชายฝาแฝดหญิงสาวขึ้นมาว่า ‘อย่าลืมทายาด้วยล่ะ’
‘ฉันจะไปนอนแล้ว’ ไอริสพูดตัดบทแล้วทำการปิดกั้นจิตใจของตนเอง ในเมื่อคำพูดนั้นมันไม่ใช่โอลิเวอร์ ...แต่เป็นเขา
แม้ความลับจะรั่วออกไปแล้ว แต่เธอจะรักษาสัญญากับเขาคนนั้นไปได้อีกนานแค่ไหนกัน
ก่อนหน้านั้นในตอนเช้า
“แอริส...พี่ได้ยินมาว่าไอริสลาป่วยเหรอ” เสียงหวานไพเราะดุจเสียงกังวานของเครื่องดนตรีเอ่ยขึ้นมา เจ้าของเสียงคือหญิงสาวใบหน้าเรียวงามผิวขาวราวไข่มุก เจ้าของดวงตาสีฟ้าเหมือนขนนกเป็ดน้ำ เรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลยาวลอนสยายปล่อยยาวกลางหลังในชุดนักเรียนสีดำสนิท
ความสดใสของเรือนร่างเพรียวระหงดึงดูดให้ทุกสายตารู้สึกราวกับต้องมนต์เอาไว้ แม้เจ้าหล่อนจะนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้กองไปด้วยเอกสารแสนน่าเบื่อ แต่ความน่าเบื่อเหล่านั้นก็ไม่อาจกลบความงามพร่างพรายเอาไว้ได้
แอริสผู้ที่เดินเข้ามาในห้องไม่กี่วิหยุดชะงักฝีเท้า ร่างเล็กที่สูงเพียงร้อยห้าสิบห้าเงยหน้าเบิกตาสีน้ำผึ้งกว้างอย่างคนตกใจ ผมสีบลอนทองสะท้อนแสงแดดจนเหมือนเปลวไฟยังคงยุ่งเหยิงจากการวิ่ง ไม่คิดเลยว่าตัวเองยังไม่ทันพูดอะไรออกมาคนที่เป็นพี่สาวก็รับรู้ทุกอย่างไปหมดแล้ว
แล้วแบบนี้เธอจะวิ่งแทบเป็นแทบตายมารายงานเพื่ออะไรกัน
แอริส แกรน หรือก็คือ เจ้าหญิงเปรเรเซ แกรนไรซ์ ฝาแฝดนรกคนพี่ เธอมีผมบ๊อบสั้นสีบลอนทอง ดวงตากลมโตสีน้ำผึ้งเข้มข้นประกายความสดใสร่าเริงออกมาตลอดเวลา เป็นเด็กสาวที่มีนิสัยไฮเปอร์เต็มไปด้วยพละกำลังและพูดเก่ง รักพี่สาวอย่างเอริสมากกว่าใคร ยอมทำตามทุกอย่างที่คนเป็นพี่สั่งทุกคำ
ขณะเดียวกันออริสผู้เป็นแฝดน้องกลับมีนิสัยตรงกันข้าม ถ้าให้เปรียบเทียบแอริสอาจเป็นเหมือนเปลวเพลิงที่พลิ้วไหว ส่วนออริสก็เป็นเหมือนลาวาที่ร้อนระอุอยู่นิ่ง ๆ หากแต่รอเวลาที่จะระเบิดออกมา
“พี่เอริส คือเรื่องมัน...เอ่อ” เด็กสาวอายุสิบแปดอ้ำอึ้ง เธอคิดจะมารายงานเอริสเรื่องที่ไอริสไม่มา แต่ในเมื่อคนตรงหน้ารู้อยู่แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนหมดหน้าที่ ทว่าในตอนนั้นเองประตูที่ถูกปิดอยู่ข้างหลังก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้อง
จะเรียกว่าเปิดก็ไม่ถูก ในเมื่อมันถูกถีบอย่างแรงจนพังทลายย่อยยับเป็นชิ้น ๆ
แอริสกระโดดไปหลบหลังโต๊ะอยู่กับเอริส เธอเหลือบตามองพี่สาวผมฟ้าของตัวเอง ร่างเล็กก็มีสีหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นใบหน้าสวยที่กำลังฉายแววอาฆาตแค้น
ห้องนี้เป็นห้องที่เอริสรักมาก ๆ เจ้าตัวแต่งห้องด้วยตัวเองทั้งหมด เฟอร์นิเจอร์แต่ละอย่างล้วนมีราคาแพง แม้กระทั่งบานประตูก็สามารถเช่าคอนโดหรู ๆ ในเมืองอยู่ได้เป็นเดือน ทว่าในตอนนี้ของมีค่าทั้งหลายกลับกลายเป็นเศษซาก ประตูไม้สลักเคลือบทองหักจนหาชิ้นดีไม่ได้ ภาพวาดฝีมือจิตรกรชั้นเอกร่วงหล่นกองอยู่ที่พื้นจากแรงสั่นสะเทือน
เอริสที่เป็นเหมือนน้ำนิ่ง อีกไม่นานคงกลายเป็นน้ำเดือด
เร็วกว่าความคิด เอริสเรียกธนูคู่ใจที่ทำจากปะการังสีฟ้าน้ำทะเลตกแต่งด้วยหอยและไข่มุกเม็ดออกมาถืออยู่ในมือ เธอง้างออกพร้อมจะเปิดฉากการต่อสู้ในทุกเมื่อ ตอนนี้ธนูอันตรายที่สุดในอาณาจักรบลีกฟิกได้มีอยู่ภายใต้น้ำมือของคนงาม ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นใครก็ไม่อาจเล็ดลอดคมของลูกธนูเวทไปได้ ธนูคันงามไม่จำเป็นต้องใช้ลูกศรใด ๆ แค่เพียงพลังเวทประจำกายของเอริสก็เพียงพอที่จะสังหารทุกคนที่เธอหมายหัว
ควันยังไม่ทันจางหาย ธนูเวทสีฟ้าสามดอกก็พุ่งสวนเข้าไปในกลุ่มควันทางประตูอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายสิ ทำไมน้องฉันแต่ละคนถึงได้รักความรุนแรงกันถึงขนาดนี้นะ” แทนที่จะมีเสียงร้องทรมานดังขึ้น กลับกลายเป็นเสียงหวานราวกับน้ำตาลดังขึ้นมา เมื่อควันจางหายจึงเห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีชมพูกุหลาบยืนยิ้มหวานส่งมาให้ ดวงตาเรียวสวยที่มีนัยน์ตาสีชมพูประกายราวกับเพชรส่งแววตาเยาะเย้ยมาให้ ชวนให้คนถูกมองอารมณ์ขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
พอเห็นคนที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่งแล้วเอริสก็ไม่แปลกใจที่ธนูของตัวเองไม่ถึงเป้าหมาย ในเมื่อมันถูกทำลายไปก่อนแล้ว
ก็ดี... เอริสคิดในใจ ถ้าหากคนตรงหน้าอยากจะสู้ เธอก็จะจัดให้
“อธิบายมา” เอริสหันไปถามน้องสาวข้างตัว
แอริสยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับหัวเราะแบบฝืดคอ ก่อนจะอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินกันอยู่แค่สองคน “เขาจะมาจับพวกเราน่ะสิ”
เอริสตวัดสายตาคมกริบมองไปยังร่างของโฉมงามตรงหน้า ผู้มีความงามเทียบเท่ากับเธอชนิดที่ว่าไม่อาจเทียบเคียงกันได้ จากนั้นร่างสูงก็ยืนตัวตรงแล้วแสยะยิ้มส่งไปให้ “แล้วพี่อนุญาตให้เราถูกจับตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ท้าทายกันซะจริง” อริสเอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน รอยยิ้มสวยยังคงประดับบนใบหน้างามราวเทพธิดาไม่จางหาย
หญิงสาวผมฟ้าง้างสายธนูขึ้นอีกครั้ง ในรอบนี้เธอเล็งไปที่หัวสวย ๆ ของอริสอย่างไม่ลังเล แม้การฆ่าพี่ของตัวเองจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ในเวลาแบบนี้ใครเขาสนกัน
ทว่าแอริสผู้เป็นห่วงว่าพี่ของตัวเองจะซวยจากการฆ่าพี่น้องจึงรีบดับน้ำเดือดในใจของเอริสอย่างรวดเร็ว “พี่หลบไปก่อนเถอะ ทางนี้เดี๋ยวหนูกับออริสจะจัดการเอง พี่รีบไปหาพี่ไอริสก่อนเถอะ” เมื่อพูดจบเจ้าตัวเล็กก็ผลักคนเป็นพี่ออกไปทางหน้าต่างอย่างไม่ลังเล
“โธ่... พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันขนาดนี้ ทำไมพี่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในสายตาน้องบ้างละ แอริส” อริสเอ่ยถามเสียงหวาน ใบหน้าสวยมีประกายความสนุกระรื่นขึ้นมา
“หนูเห็นพี่เป็นพี่นะ แต่ก็ไม่ได้ผูกพันอะไรกันนอกจากสายเลือด” แอริสทำหน้าเฉไฉ
ฝ่ายอริสพอได้ยินคำพูดจากเจ้าเด็กตรงหน้า คนที่สูงเพรียวราวกับนางแบบก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง “นี่เธอพูดกับพี่สาวแบบนี้ได้ยังไงน่ะ”
“ช่วยไม่ได้นี่นะ” เจ้าเด็กสาวผมสั้นยักไหล่ เธอพยายามทำตัวกวนประสาทเพื่อยื้อเวลาให้เอริสหนีไป
“เปรเรเซ แกรนไรซ์ ถ้าเธอมากับพี่ในตอนนี้ เธอจะไม่โดนข้อหาช่วยเหลือนักโทษหลบหนีนะ” อริสพยายามควบคุมอารมณ์ ในขณะที่ข้างหลังเริ่มมีเถาวัลย์และดอกไม้นานาพรรณปรากฏออกมา สร้างกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอากาศ
ดอกไม้สวยงามส่งกลิ่นหอม แม้จะสวยมากเพียงใดกลับเต็มไปด้วยความร้ายกาจ พิษจากความงดงามแสนหวานพร้อมที่จะทำร้ายทุกคนที่กล้าเชยชม อริสบังคับดอกไม้พิษของตัวเองพุ่งไปหาแอริส หากเด็กสาวตั้งรับไปเต็ม ๆ เธอคงจะสลบไปสามวันเป็นอย่างต่ำ แต่เมื่อกลีบดอกไม้พุ่งตรงมาเจ้าของผมสีบลอนกลับเลือกที่จะยืนตั้งรับ ดอกไม้เหล่านั้นไม่ได้แตะต้องผิวขาวเนียน มันกลับถูกแผดเผาเป็นเถ้าธุลีกองอยู่ที่แทบเท้าร่างเล็ก
ฉับพลันก็มีเสียงระเบิดแทรกเข้ามาจากข้างนอก แอริสพลันหันหลังกลับไปดูผ่านบานหน้าต่างที่แตกกระจาย เธอได้พบกับน้องสาวฝาแฝดผู้มีผมยาวลอนสยายสีบลอนทองราวกับตุ๊กตา ดวงตาสีเหลืองราวกับน้ำผึ้งไร้ซึ่งแววตาความรู้สึก ร่างเล็กตัวสูงเพรียวร้อยห้าสิบ ยืนประจันหน้าอยู่กับพี่ชายคนโตของบ้านอยู่กลางลานทะเลสาบ ที่ในยามนี้ความงามกลับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและเถาวัลย์ยักษ์ทำลายสภาพที่ดินไปจนหมดสิ้น
ออริสนะออริส ถ้าพี่เอริสรู้ละก็... เธอกับฝาแฝดตายคู่แน่ ๆ
“น้องสาวเรานี่ อารมณ์รุนแรงจังเลยนะ” เสียงหวานเปล่งของอริสพูดขึ้นมา หญิงสาวมีสีหน้ามั่นใจมากขึ้นเมื่อคู่หูอย่างอรินมาร่วมด้วย
ทว่าการมาของอรินไม่ได้ทำให้แอริสสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เด็กสาวกระโดดออกจากชั้นสี่ลงไปข้างล่าง เหยียบยืนบนพื้นดินที่ถูกลาวาไหลใส่จนกลายเป็นพื้นศิลาสีดำ ส่งกลิ่นอายแผดเผาผู้คน แต่ความร้อนนั้นกลับไม่สามารถทำอะไรร่างเล็กได้ โดยข้างตัวก็ได้มีน้องสาวฝาแฝดสีหน้าไร้อารมณ์ยืนอยู่ด้วย
ถ้าบอกว่าอริสมีอริน ถ้างั้นแอริสก็มีออริสเช่นกัน
ต้นไม้กับไฟ หลับตาก็รู้ว่าใครจะชนะ
“นี่น้องรัก... ทำลายสวนพี่สาวแบบนี้ เดี๋ยวก็ถูกจับไปเป็นอาหารเจ้าโคโค่หรอก” แอริสพูดขู่น้องสาวติดตลก
เจ้าโคโค่ที่พูดถึงเป็นจระเข้กินคนตัวยักษ์สีดำทมิฬส่วนดวงตาเป็นสีเหลือง คนทั่วไปเรียกมันว่ากุสตาฟ แต่พี่สาวคนงามอย่างเอริสกลับเรียกเจ้าสัตว์ร้ายหน้าตาน่ากลัวด้วยชื่อน่ารัก ๆ ว่าโคโค่ ทว่าการมาในโลกนี้สัตว์ร้ายอย่างโคโค่เหมือนจะไม่ได้ตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นทะเลสาบที่กว้างใหญ่แห่งนี้คงมีเจ้าสัตว์เลือดเย็นอาศัยอยู่พร้อมสังหารผู้บุกรุกแน่นอน
“หนูเจอพี่เอริส พี่เขาบอกว่าจะจัดการยังไงก็ได้ ไม่ต้องสนวิธี” เสียงหวานเฉื่อยชาเอ่ยขึ้นมาจากร่างที่เหมือนตุ๊กตา
แอริสพยักหน้าหงึกหงัก ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะได้ไม่ต้องระวังอีก “แต่อย่าไปเสียแรงเยอะเลย เลิกเล่นแล้วตามพี่เอริสไปดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อนสิ นาน ๆ จะได้เล่นสนุก” ออริสรั้งพี่สาวฝาแฝด
“มันจะดีเหรอ” แฝดคนพี่ถามออกมา แต่สีหน้ากลับประกายความหรรษา
ขณะที่ฝาแฝดทั้งคู่กำลังคุยกัน เถาวัลย์สีเขียวเข้มที่ไม่ได้รับเชิญก็พุ่งตรงมาที่ร่างของทั้งคู่รวดเร็วราวกับงู ในจังหวะที่มันจะสัมผัสใบหน้าของแอริส ออริสผู้เป็นน้องก็คว้าเจ้าเถาวัลย์มากำแน่นอยู่ในมือ ดวงตาสีน้ำผึ้งประกายราวกับทองที่เคยฉายแววเบื่อหน่าย บัดนี้กำลังเปล่งประกายไปด้วยความสนุก
เถาวัลย์ในมือของสาวน้อยตุ๊กตาถูกไฟแผดเผาและร่วงหล่นพื้นเป็นเพียงเป็นเศษซากธุลีสีดำ ขณะเดียวกันลาวาที่อยู่ใต้แผ่นดินที่ทั้งสองยืนอยู่ก็เริ่มเกิดการปะทุเดือดขึ้นเรื่อง ๆ ตามอารมณ์สุนทรีย์ที่พลุ่งพล่านของผู้ควบคุม
อีกฝ่ายที่สองฝาแฝดเผชิญหน้าอยู่ ยามนี้ทั้งคู่ยังคงระบายยิ้มสบายใจออกมาขณะที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้จากต้นไม้ใหญ่ หนึ่งหญิง หนึ่งชาย ผู้ที่มีใบหน้างามล่มบ้านล่มเมือง พวกเขาทั้งคู่เป็นสองพี่น้องผู้ที่เติบโตในดินแดนของเทพ มีสายพลังบริสุทธิ์และงดงามเหมือนกับหน้าตา อริสเป็นหญิงสาวผมยาวสีชมพูเช่นเดียวกับดวงตา เพราะเธอนั้นมีพลังของหมู่มวลดอกไม้ประจำกาย ส่วนอรินเป็นพี่ชายคนโตที่มีนิสัยสุขุมรอบคอบมากที่สุดในบ้าน เขามีผมยาวสีเขียวเข้มเช่นเดียวกับดวงตา มีพลังของธรรมชาติประจำตัว
ทางด้านแอริสและออริสกลับไม่มีพลังที่ดูดีอย่างสองคนนั้น พวกเธอมีร่างกายเป็นธาตุไฟ นับตั้งแต่เกิดอาณาจักรก็พานพบกับภัยพิบัติ เมื่อยามที่แอริสคลอดมาคนแรก กลับเกิดไฟป่ากระจายเป็นวงกว้างพร้อม ๆ กันทั้งดินแดนเทพ มนุษย์และปีศาจ พอถึงตาของออริสที่ตามกันมา ภูเขาไฟทั้งหลายก็เริ่มปะทุขึ้นมาพร้อมกันในคราเดียว
การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติและภัยพิบัติ สงสัยจริง ๆ ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะกันแน่
