บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 เหยื่อ

อีกด้านหนึ่ง องค์ชายสิบสี่และกองกำลังเรือนแสน ที่ซุ่มอยู่หลังเทือกเขา กำลังมองภาพในกระจกมิติอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขากำลังรอคอย

ความจริง ข้าวต้มที่ให้เหล่าทาสกินเมื่อเช้า ผสมพิษของธาตุวารี พวกเขากำลังรอให้มังกรไฟตนนั้นกินทาสทั้งหนึ่งพันคนให้หมด เมื่อยาพิษออกฤทธิ์ ถึงค่อยโจมตี

ภาพที่เห็นในกระจกบานใหญ่ คือกรงเล็บของมังกรไฟ กำลังไล่จับมนุษย์โยนใส่ปาก แต่อยู่ๆ คิ้วบนใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายสิบสี่ก็ต้องขมวดมุ่น ไม่รู้ว่ามีกระเรียนขาวโผล่มาจากที่ใด และมันกำลังทำลายแผนการของเขา ไม่เพียงกระเรียนตัวนั้นจะขัดขวางการกินอาหารของมังกรไฟ แต่มันยังทำให้สัตว์อสูรในตำนานคลุ้มคลั่ง

“เกิดอะไรขึ้น ในนั้นมีแต่ทาสชั้นต่ำมิใช่หรือ” ธิดาพยากรณ์เอ่ยถาม

ทว่าคำถามนี้ของนางกลับไม่ได้รับคำตอบ แม้แต่นักเวทย์ชั้นสูงอย่างองค์ชายสิบสี่ ยังตอบนางได้เพียงว่า “กระเรียนนั่นเกิดจากอักขระเวท”

ครั้นได้ยินวาจาขององค์ชายสิบสี่ เหล่าเจ็ดนักดาบ และแม่ทัพนายกองพลันมองหน้ากันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะผู้ที่สามารถสร้างอักขระเวทเสมือนจริงได้นั้น ต้องเป็นพวกนักบวชจากสิบสองหอคอย

ภาพในกระจกเริ่มสั่นสะเทือน การต่อสู้ระหว่างกระเรียนขาวที่เป็นอสูรธาตุวารี เหมือนว่าจะเหนือกว่ามังกรไฟ เมื่อมาอยู่ในดินแดนเหนือ

ไม่เพียงแค่พวกองค์ชายสิบสี่ที่ประหลาดใจ แม้แต่เยว่ลู่ที่เป็นคนเรียกกระเรียนขาวออกมายังประหลาดใจไม่แพ้กัน

ในตอนที่นางคิดถึงบิดา กริชในมือก็เย็นลง อักขระหนึ่งในสามตัวที่สลักอยู่บนนั้นลอยออกมาจากกริชกลายเป็นกระเรียนขาวตัวใหญ่ เยว่ลู่พอจะรู้อยู่ว่าบิดาของนางเก่งกาจ แต่ไม่นึกว่าจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ด้วย

พวกทาสที่เหลือไม่มีใครรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาพากันหนีมาเกาะกลุ่มกัน ทุกคนต่างฝากความหวังไว้ที่กระเรียนขาวตัวนั้น แต่เยว่ลู่กลับไม่คิดเช่นนั้น นางพยายามแทงกริชไปยังกำแพงที่มองไม่เห็น เพื่อหาทางทำลายค่ายกลกักขัง เพราะว่ารอยปริแตกของน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าเริ่มลั่น

เมื่อเห็นการกระทำของนาง ทาสที่เหลือก็เริ่มตั้งสติได้ ไม่มีใครอยากตาย ทุกคนเลยช่วยกันทุบไปยังกำแพง แต่ก็ทำเพียงให้เกิดลูกคลื่น

“นำกำลังไปดักไว้ หากพวกทาสหนีออกมาได้ ก็ไล่ต้อนพวกมันกลับไป!” อีกฟากหนึ่ง องค์ชายสิบสี่สั่งเสียงเข้ม

หลังจากทหารกลุ่มหนึ่งออกไป เทพธิดาพยากรณ์หันมาถามองค์ชายสิบสี่ “นั่นเป็นค่ายกลที่ท่านสร้างขึ้น ทาสชั้นต่ำจะทำลายมันได้อย่างไร”

ทุกคนต่างมองไปยังแผ่นหลังกว้าง เพื่อรอฟังคำตอบ

“ข้ามั่นใจกว่ากระเรียนขาวตัวนั้นเป็นของนักบวชในสิบสองหอคอย ในเมื่อเรียกกระเรียนขาวออกมาใช้ได้ คงต้องมีอย่างอื่นอีก และแน่นอนว่าค่ายกลของข้า ย่อมไม่อาจสู้พลังของนักบวช....” องค์ชายสิบสี่ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค ภาพในกระจกก็ปรากฏพยัคฆ์ขาวกำลังกระโจนใส่กำแพงค่ายกล

กระจกมิติสั่นสะเทือนจนเกิดรอยร้าว

“แย่แล้ว!” ร่างขององค์ชายสิบสี่หายไปจากสายตาผู้คน ก่อนจะมาปรากฏขึ้นในทะเลสาบน้ำแข็ง แต่เขายังช้าเกินไป เพราะแค่ชั่วพริบตาเดียว ค่ายกลกักขังก็ถูกทำลาย เหล่าทาสที่เหลือไม่ถึงสี่ร้อยคน วิ่งกรูกันออกมา ไม่มีผู้ใดสนใจชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำ แต่พวกเขาก็ไปได้ไม่ไกล เพราะถูกทหารที่รออยู่ล้อมเอาไว้

เยว่ลู่ หันกลับไปมองพยัคฆ์ขาวที่เข้าไปช่วยนกกระเรียน นึกเสียดายอักขระล้ำค่าทั้งสองอยู่บ้าง เพราะลางสังหรณ์ของนางบอกว่า ทั้งสองไม่อาจสู้มังกรอัคคีตนนั้นได้ และนางก็คิดไม่ผิด เพราะแค่อีกไม่กี่ลมหายใจต่อมา สัตว์อสูรทั้งสองก็มอดไหม้พร้อมกับพื้นน้ำแข็งละลาย

เยว่ลู่หยิบเชือกตะขอที่พันรอบเอว เหวี่ยงขึ้นไปเกาะยังผาน้ำแข็ง ก่อนที่พื้นใต้เท้าจะกลายเป็นทะเลสาบ ส่วนทางด้านองค์ชายสิบสี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทาสที่เหลือจมลงไปใต้น้ำพร้อมทหารกลุ่มหนึ่ง

มังกรไฟเริ่มขยับตัวด้วยความโกรธเกรี้ยว ลำตัวที่เหลืออีกครึ่ง ในที่สุดก็หลุดออกมาจากภูเขา เงาร่างสีเพลิงลอยอยู่เหนือเทือกเขาเทียมฟ้า

เยว่ลู่รีบไต่เชือกปีนขึ้นไปบนผา ดึงพื้นรองเท้าที่เป็นผ้าออก เผยให้เห็นพื้นไม้เนียนเรียบ จากนั้นก็ถีบปลายเท้าสองสามทีปล่อยให้ตัวเองไหลลงเขาไปอย่างรวดเร็ว

เปลวไฟจากปากมังกรยักษ์ เผาผลาญไปทั่วบริเวณ หิมะบนยอดเขาละลายกลายเป็นน้ำไล่ตามเยว่ลู่ไปติดๆ

ทางด้านองค์ชายสิบสี่ ได้เรียกเกราะเวทออกมาใช้ แต่ก็ไหม้ไปเกือบหมด แม้แต่ชายชุดคลุมยังมีรอยไหม้

ยังดีว่าธิดาพยากรณ์มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า นางจึงสั่งเคลื่อนกำลังถอยทัพไปหลายร้อยลี้ พวกเจ็ดนักดาบรีบมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าองค์ชายสิบสี่

เวลานี้ ผู้คนในเมืองเทียมฟ้าเริ่มแตกตื่น เจ้าเมืองรีบพากองกำลังส่วนหนึ่งออกมาดู

เยว่ลู่ถูกน้ำพัดไปไกลหลายร้อยลี้เช่นกัน แต่นางไม่ได้รับบาดเจ็บ เพราะเรียกอักขระตัวสุดท้ายออกมาทันพอดี ร่างเด็กน้อยขดตัวอยู่ในท้องของปลาแก้ว เมื่อไม่มีน้ำ ปลาแก้วตัวนั้นก็ค่อยๆ สลายหายไป เด็กหญิงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะนางยังมองเห็นมังกรอัคคีลอยอยู่บนท้องฟ้า

“นี่ เจ้ายังมัวมายืนมองอะไรอยู่ พวกเรารีบไปกันได้แล้ว”

เยว่ลู่ก้มลงไปมองตามเสียงด้วยความประหลาดใจ เพราะเจ้าหนอนน้อยที่นางคิดว่าถูกน้ำซัดหายไปพึ่งจะโผล่หัวออกมาจากถุงข้างเอว “เจ้ามาอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เฮอะ! ใครจะชักช้าเหมือนเจ้าเล่า! ยังจะมัวมาพูดอีก ไปๆ รีบไป”

เยว่ลู่มองไปยังมังกรเพลิงบนท้องฟ้าอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจรีบหนีไปให้ไกลจากพื้นที่นี้ เพราะนางใช้กริชของบิดาไปสามครั้งแล้ว ไม่เหลืออะไรให้ป้องกันตัว เด็กน้อยออกวิ่งพร้อมกับแก้ผ้าพันมือออก เก็บกริชใส่คืนฝัก ในใจนึกขอบคุณบิดาเป็นร้อยเป็นพันรอบ สองขาเล็กวิ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดแม้แต่จะหันกลับไปมองการต่อสู้เบื้องหลัง

เมื่อแผนถูกทำลาย ย่อมไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะสัตว์อสูรในตำนาน เสวี่ยตงฟ่านที่ใช้พลังเวทไปเกือบครึ่ง ทำได้แค่ป้องกัน ส่วนเจ็ดนักดาบยังไม่อาจเข้าประชิดตัวมังกรอัคคีตนนั้นได้ ทุกคนต่างพากันบาดเจ็บไปตามๆ กัน

องค์ชายสิบสี่แยกสมาธิส่วนหนึ่งจากการต่อสู้ มาครุ่นคิดหาทางออก ภาพของนกกระเรียนและพยัคฆ์ ทำให้เขานึกถึงบางอย่าง รีบกล่าวกับเทพธิดาพยากรณ์ที่อยู่ไกลออกไปผ่านดวงจิต “หนี่เช่อ เจ้าสามารถอัญเชิญหนึ่งในดวงจิตของสิบสองนักบวชมาได้หรือไม่”

“นั่นไม่มีทางเป็นไปได้ แค่สัตว์เทพ ข้ายังอัญเชิญไม่ได้เลย”

“ช่วยลองดูหน่อยได้ไหม ในเมื่ออักขระเวทเสมือนจริงของพวกเขามาปรากฏที่นี่ได้ บางทีเราอาจจะอัญเชิญหนึ่งในนั้นมาได้ หนี่เช่อ ความหวังของดินแดนเหนืออยู่ในมือเจ้าแล้ว”

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น สายตาจับจ้องไปยังมังกรอัคคีด้วยความเคร่งเครียด เพราะการอัญเชิญ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเรียกวิญญาณอื่นมาเข้าร่าง ธิดาพยากรณ์ที่จะใช้พิธีอัญเชิญได้นั้นต้องมีร่างกายและจิตใจบริสุทธิ์พอ และต้องเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า มีกำลังพอที่จะให้ดวงจิตอื่นเข้ามาใช้ร่าง นางเคยอัญเชิญสัตว์เทพระดับต่ำอยู่บ้าง แต่นี่.... พอนึกไปถึงสิบสองนักบวช หนี่เช่อก็ไม่กล้าตัดสินใจ

“เทพธิดาพยากรณ์ ได้โปรดเถิด มิเช่นนั้นดินแดนเหนือคงไม่พ้นจากหายนะ”

เสียงขององค์ชายสิบสี่ดังสะท้อนอยู่ในหัวของนาง เขาถึงกับเรียกนางว่าเทพธิดาพยากรณ์ นี่เช่อย่อมรู้ดีว่าชายหนุ่มจริงจังแค่ไหน ในที่สุด นางก็ตัดสินใจที่จะลองดู

“ท่านแม่ทัพ ข้าจะทำพิธีอัญเชิญ รบกวนท่านช่วยคุ้มกันข้าที” นี่เช่อหันไปสั่งบุรุษด้านหลัง

“ขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

หญิงสาวกรีดฝ่ามือตัวเอง แล้วใช้เลือดวาดอักขระลงบนพื้นหิมะ ก่อนจะเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน

คาถาอัญเชิญดังขึ้นราวกับบทสวด เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นจริงๆ ดวงตาของเทพธิดาพยากรณ์ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินอมม่วงจับจ้องไปยังมังกรไฟ

กลิ่นอายที่เปลี่ยนไปบนร่างของหญิงสาว ทำให้แม่ทัพเกราะเหล็กตื่นตะลึงไปชั่วขณะ พริบตาเดียวร่างตรงหน้าก็กะพริบหายไป

บนท้องฟ้า การปรากฏตัวของกระเรียนขาว ทำให้ทั้งมังกรไฟและพวกขององค์ชายสิบสี่รู้สึกราวกับจิตวิญญาณโดนทิ่มแทง การต่อสู้หยุดชะงักลงกะทันหัน สตรีที่ยืนอยู่บนหลังของมัน เพียงชี้นิ้วไปยังมังกรอัคคี ร่างใหญ่โตก็กลายเป็นน้ำแข็งทันที

จากนั้นนกกระเรียนก็เลือนหายไป เหลือเพียงร่างไร้สติของเทพธิดาพยากรณ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศเสวี่ยตงฟ่านรีบพุ่งตัวเข้าไปอุ้มร่างของนางเอาไว้ ก่อนจะเหลือบมองภูเขาน้ำแข็งรูปมังกรที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบด้วยความโล่งใจ

ในใจพลันคิดไปถึงพลังที่เทพธิดาพยากรณ์ใช้เมื่อครู่ เขาเองยังคิดไม่ถึงว่านางจะอัญเชิญหนึ่งในสิบสองนักบวชมาได้จริงๆ

หลังจากที่ผ่านการเฉียดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เยว่ลู่ก็รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที ในตอนที่นางได้ยินเจ้าหนอนน้อยบอกว่าพลังของมังกรตนนั้นหายไปแล้ว นางถึงได้มีเวลาพัก

ร่างเล็กนอนแผ่บนพื้นหิมะหายใจหอบเหนื่อย สองข้างแก้มและริมฝีปากแดงสุกปลั่ง บรรยากาศเริ่มกลับมาหนาวเย็นตามปกติ แต่เด็กหญิงกลับไม่รู้สึกหนาวเหน็บอย่างที่ควรจะเป็น นางออกจะดีใจด้วยซ้ำที่บรรยากาศกลับมาเป็นเช่นนี้ 

เจ้าหนอนน้อยที่นอนหมอบอยู่บนร่างของนางผงกหัวขึ้น มองไปยังทิศทางที่ทั้งสองพึ่งจะจากมา  ก่อนจะหันมากล่าวกับนาง “นี่ ข้าว่าพวกเราเข้าเมืองดีกว่าไหม ขืนเจ้ามาอยู่ข้างนอกคนเดียวเช่นนี้ มีหวังได้เข้าไปอยู่ในท้องสัตว์สักตัวเป็นแน่”

ได้ยินอย่างนั้น เยว่ลู่ถึงพึ่งนึกขึ้นได้ นางรีบดีดตัวลุกขึ้น จนเจ้าหนอนอ้วนร่วงจากตัว

“โอ๊ย! เจ้าเด็กผู้นี้นี่ จะลุกก็ไม่บอก”

“อย่าบ่นน่า พวกเราต้องรีบเข้าเมืองก่อนฟ้ามืด” เด็กน้อยช้อนตัวมันขึ้นมาใส่ไว้ในถุงข้างเอว จากนั้นก็รีบวิ่งตรงไปยังเมืองเทียมฟ้า

ในตอนที่เยว่ลู่มาถึง ขบวนขององค์ชายสิบสี่กำลังเข้าเมืองพร้อมกับเจ้าเมืองเทียมฟ้าพอดี ตอนที่ขบวนของพวกเขาเดินผ่านนาง หมียักษ์ที่องค์ชายขี่อยู่เกิดจำนางได้ มันจึงแกล้งพ่นลมหายใจใส่อย่างแรง จนนางล้มลง ก่อนจะเชิดหน้าเดินต่อ

และการกระทำของมัน ก็ค่อนข้างสร้างความประหลาดใจให้องค์ชายสิบสี่ไม่น้อย แต่เขาปล่อยผ่านมันไป

ส่วนเยว่ลู่ที่พึ่งลุกขึ้นยืน หรี่ตามองตามหลังขบวนอย่างครุ่นคิด เพราะทางเดียวที่นางจะกลับไปหาบิดาได้ คือต้องกลับไปพร้อมกองทัพ นางยังไม่สามารถเดินทางหลายร้อยลี้ได้เพียงลำพัง เด็กน้อยตัดสินใจไปหาอะไรรองท้องก่อนเป็นอันดับแรก เพราะนางทั้งเหนื่อยทั้งหิวมากจริงๆ

เมืองเทียมฟ้า นับว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะหลังเทือกเขาเทียมฟ้า คือพื้นที่ที่เหล่านักดาบชอบเข้าไปขุดหาสมบัติ ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองแห่งการค้าไปโดยปริยาย มีทั้งหอประมูล หอภารกิจ และสถาบันสอนวิชา

เยว่ลู่เดินเข้ามาไกลพอควร ถึงได้เจอร้านขายบะหมี่เล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังจากที่มองดูฐานะคนที่มานั่งกินแล้ว นางถึงได้เลือกเดินเข้าไป

เด็กน้อยสั่งบะหมี่มานั่งกินอย่างสบายใจ เพราะทาสเด็กอย่างนาง มักไม่เป็นที่เตะตา

ภายในร้าน เรื่องที่ผู้คนพูดถึงมีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องของมังกรอัคคี ถึงจะผ่านหายนะมาได้ แต่เหมือนว่าพวกเขายังรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ ส่วนเยว่ลู่ ปากกิน ตาดู หูฟัง ไปตามนิสัย มันเหมือนเป็นความเคยชินของนางไปเสียแล้ว

แต่พอได้ยินคนเหล่านั้นกล่าวชื่นชมองค์ชายสิบสี่ ถึงขั้นเห็นอีกฝ่ายเป็นพระเจ้า นางก็เกิดสำลักขึ้นมาทันที นึกไปถึงเหตุการณ์ที่นางพึ่งเฉียดตายมาด้วยความโมโห บะหมี่ชามที่สองนางจึงกินไปได้เพียงครึ่ง ก็จำต้องออกจากร้าน

คืนนี้คงต้องหาที่พักก่อน เยว่ลู่คิด

เด็กน้อยเลือกที่จะขอเช่าพักกับทาสครอบครัวหนึ่งในย่านชุมชนแออัด ด้วยความที่พวกเขามีลูกสาวในวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงให้การต้อนรับเยว่ลู่เป็นอย่างดีโดยไม่ถามไม่ไถ่ เด็กหญิงที่ชื่อ อินหยง ชักชวนเยว่ลู่ให้นอนข้างนางอย่างเต็มใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel