บทที่ 4 (2)
ชีคฮาริคหันขวับไปมองตามที่มาของเสียง ซึ่งเรียกร้องความสนใจของพระองค์ได้ค่อยข้างดีเยี่ยม และพอได้เห็นหญิงสาวรูปร่างสุดเซ็กซี่ในชุดสีแดงเพลิง ที่กวาดสายตามองแค่เพียงชั่วครู่ก็รู้แล้วว่างามลออ แถมยังเป็นหญิงสาวหน้าใหม่ ที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อนในวงสังคมชั้นสูง ก็ได้เพ่งสายตาทอดมองด้วยความสนอกสนใจ พอหญิงสาวคนดังกล่าวถูกเพื่อนสาวผลักเต็มแรง จนหัวคะมำล้มมานั่งก้นจ้ำบ้ำอยู่กับพื้นก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ พระองค์ทั้งขำ ทั้งสงสารหญิงสาวผู้นั้นในเวลาเดียวกัน
“ คาฟาลเจ้ารู้จักผู้หญิงคนที่ใส่ชุดสีแดงเพลิงไหม”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งเคยเห็นเธอเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ คาฟาลตอบตามความเป็นจริง เพราะจะว่าไปแล้วบรรดาอิสตรีไม่ว่าจะเป็นดารา นางแบบ หรือบรรดาไฮโซทั้งหลาย ที่เคยผันผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตของเจ้าเหนือหัว เขาล้วนแต่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม และประวัติทั้งด้านที่ดีและไม่ดีของพวกเธอทุกคน แต่หญิงสาวที่สวมชุดราตรีสีแดงเพลิงเซ็กซี่เร้าใจนั้น เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย ไม่เคยรู้ว่าเธอเป็นลูกหลานของใคร และไม่เคยเห็นเธอเฉิดฉายอยู่ในสังคมชั้นสูงแม้แต่ครั้งเดียว
“อืม...ท่าทางจะเป็นนกน้อยหลงเข้ามาในกรงทองนะ คาฟาล”
ชีคฮาริคพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะตรัสบอกความตั้งใจของพระองค์ โดยไม่ลืมก้าวเท้ายาวๆ เดินไปหาเจ้าสกุณาหลงรัง ที่เรียกร้องกระตุ้นความสนใจของพระองค์ได้เป็นอย่างมาก
“เห็นทีว่าเราต้องเข้าไปดูใกล้ๆ เสียแล้ว ว่าหญิงสาวคนนี้สมควรจะได้รับพวงมาลัยจากเราหรือเปล่า”
ตรัสบอกแล้วก็ทรงก้าวเท้าไปหาบัณฑิตา ซึ่งกำลังตะโกนต่อว่าเพื่อนสาว ที่ได้กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดผลักเธอเสียหัวคะมำล้มลงไม่เป็นท่า และเมื่อทรงก้าวเท้าไปหยุดยืนค้ำหัวสาวน้อย ที่มองเห็นใบหน้าค่าตาได้ไม่ชัดเจนสักเท่าใด ก็ได้ยื่นมือออกไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวทักทาย โดยไม่ทิ้งลายของความเป็นคาสโนวา
“มีวิธีเรียกร้องความสนใจได้น่าดูชมมากเลยนะสาวน้อย ให้เราช่วยพยุงลุกขึ้นไหม”
บัณฑิตาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือใหญ่ และน้ำเสียงห้าวทุ้มที่ได้ยืนค้ำหัวตนเองอยู่ พอได้มองปะทะกับดวงตาสีเขียวใส ซึ่งเธอสาบานว่าไม่เคยเห็นดวงตาคู่ไหน ที่ดูสวยลึกลับชวนให้เธอนึกถึงเสือดำ ก็ถึงกับนิ่งตะลึงงันราวกับร่างกายถูกสาปให้กลายเห็นหิน ไม่รู้ว่าตนเองต้องมนต์สะกดของบุรุษชาติกษัตริย์ผู้นี้หรืออย่างไรกัน จึงได้ยื่นมือออกไปข้างหน้าให้ชีคฮาริคได้ประคองลุกขึ้นยืน พอปลายนิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนแตะต้องโดนฝ่ามือใหญ่ร้อนผะผ่าว ก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นโครมครามรัวเร็ว ราวกับถูกรัวตีไม่ต่างจากกลอง อาการร้อนวูบวาบแล่นซ่านทั่วกาย ยอมรับว่าท่านชีคผู้นี้สูบเรี่ยวแรงของเธอไปแทบหมดกาย แค่เพียงพระองค์ได้กวาดสายตาจ้องมองเธอด้วยดวงตาสีเขียวมรกตสดใส
และใช่ว่าจะมีแค่เพียงบัณฑิตาเพียงคนเดียว ที่ตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก ตัวชีคฮาริคเองก็มีอาการไม่ต่างจากหญิงสาว ที่พระองค์กำลังประคองกอดให้ลุกขึ้นยืน ทรงลืมไปแล้วว่าอาการหายใจสะดุดขาดห้วง อาการกลั้นหายใจเพราะเห็นสาวงาม อาการตื่นเต้นมือสั่นเทา ขณะได้แตะต้องหญิงงามนั้นเป็นเช่นใด ซึ่งอาการเหล่านั้นมันกำลังกลับมาเล่นงานพระองค์อีกครั้ง ทรงรู้สึกตาพร่ามัวทันทีที่ได้เห็นหญิงสาวที่งดงามไม่ต่างจากนางในวรรณคดี ใบหน้างามที่มีหน้ากากสีทองปกปิดไว้เพียงครึ่ง ได้กระตุ้นความอยากให้พระองค์ได้กระชากหน้ากากอันแสนเกะกะออกไปจากใบหน้างาม ส่วนทรงผมที่เกล้ามวยต่ำๆ ก็เปิดให้เห็นลำคอระหงชวนกดจุมพิต กอปรกับปทุมอิ่มขาวผ่องยองใยที่ดูล้นหลาม จนตัวเสื้อสีแดงเพลิงแทบประคับประคองไว้ไม่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นผิวกายโดยแท้ไม่มีการศัลยกรรมเพิ่มเติมขึ้นมา ก็ส่งผลให้พระองค์แทบคลั่ง ร่ำๆ อยากจะจับแม่สาวน้อยสุดเซ็กซี่ ที่ยั่วยวนอารมณ์ดิบเถื่อนของพระองค์ให้ลุกพล่านไม่ต่างจากธารลาวากำลังปะทุเดือด ขึ้นบนเตียงพร้อมกับมอบเพลิงสวาทอันแสนเร่าร้อนให้แม่นกขมิ้น ได้หมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ตลอดทั้งค่ำคืนนี้
“เจ้าชื่ออะไรแม่นกน้อย”
หลังจากนิ่งงันตกตะลึงไปกับความงดงามของสาวน้อยตรงหน้าเป็นเวลานาน ในที่สุดชีคฮาริคก็ตรัสถามออกมาได้ และในขณะที่ตรัสถามออกไปพระองค์ก็นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่น้ำเสียงของพระองค์นั้นสั่นพร่าไปตามแรงอารมณ์ที่กำลังปะทุเดือด
“เอ่อ...บัณฑิตา...ค่ะ”
บัณฑิตาไม่รู้ว่าตัวเองถูกดวงตาสีเขียวบังคับให้ตอบหรืออย่างไรกัน เพราะจากที่ตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้ชีคฮาริคได้ทราบชื่อเสียงเรียงนามของตนเอง แต่พอเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีเขียวล้ำลึกที่ทรงอำนาจ เธอก็ต้องอ้าปากเอ่ยตอบออกมาจนได้
“บัณฑิตายังงั้นหรือ ชื่อเจ้าเรียกยากชะมัด มีชื่อเล่นที่เรียกง่ายกว่านี้ไหมแม่นกขมิ้น”
ชีคฮาริคตรัสถามพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ประดับไปทั่วใบหน้าคมเข้ม พร้อมกันนั้นก็โอบแขนไปรอบเอวบางคอดกิ่วที่ดูเล็กจนลำแขนของพระองค์แทบจะโอบกอดได้โดยรอบ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ ซึ่งตอนนี้บรรดาแขกเหรื่อและสาวๆ ทั้งหลายต่างก็จำใจแหวกวงล้อมออกกว้าง เพื่อเปิดทางให้ชีคฮาริคได้เต้นรำกับหญิงสาวคนสุดท้ายที่เข้ามาในงานเลี้ยง ทว่ากลับกลายเป็นซินเดอเรลล่าผู้โชคดีที่สุดในราตรีนี้
ในขณะที่ชีคฮาริคพยายามประคองกอดบัณฑิตาไว้ในอ้อมแขน แม่สาวน้อยที่ถูกมองเป็นกระต่ายเนื้อหวาน อาหารอันแสนโอชะของเสือดำเฉกเช่นชีคฮาริค ก็พยายามโก่งตัวถอยหนี ไม่ยอมให้พระองค์โอบประคองไปที่กลางฟลอร์เต้นรำได้ง่ายๆ แต่ทว่า...แรงของอิสตรีที่มีน้อยนิด มีหรือจะสู้แรงอันมหึมาของชีคฮาริคได้ ในที่สุดร่างบอบบางสุดเซ็กซี่ก็ถูกพามาหยุดยืนอยู่กลางฟลอร์เต้นรำจนได้
วงออเคสตร้าก็แสนจะรู้หน้าที่ของตนเองดี พอชีคฮาริคพาสาวน้อยแสนน่ารักในชุดสีแดงเพลิงมาหยุดยืนอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ ดนตรีอันแสนไพเราะในท่วงทำนองเพลงรักหวานซึ้ง ก็เริ่มบรรเลงขึ้นทันที
“ว่าไงแม่นกขมิ้น เธอมีชื่อเล่นที่เรียกง่ายๆ กว่าชื่อจริงไหม ถ้าไม่มี เราจะเรียกเจ้าว่าแม่นกขมิ้นตลอดไป”
ชีคฮาริคตรัสถามย้ำเอาคำตอบอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เริ่มขยับเท้าเต้นรำไปตามจังหวะเพลง ที่ได้บรรเลงขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
บัณฑิตาไม่เคยชินกับการถูกออกคำสั่ง ได้เงยหน้าขึ้นมองชีคฮาริค พร้อมกับถลึงตาเขียวปั้ดใส่ด้วยความไม่พอใจ แต่กระนั้นก็จำใจกระแทกเสียงตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“ฉันชื่อไข่หวาน ไม่ต้องมาเรียกว่าแม่นกขมิ้นเลยนะ ชื่อนี้ท่านชีคเก็บไว้เรียกผู้หญิงในสังกัดของพระองค์ก็พอแล้วค่ะ”
“อืม...ชื่อน่ารักดีนะไข่หวาน รู้ไหมว่าเจ้าเป็นผู้หญิงคนเดียวในงานนี้ ที่ทำให้เราอยากเต้นรำด้วย และที่สำคัญเจ้ากำลังทำให้เราอยากจูบเจ้าเป็นที่สุด”
น้ำเสียงที่กระซิบตอบชิดกับใบหูเล็กนั้นสั่นพร่าตามแรงอารมณ์รัก รู้สึกว่าการบรรเลงเพลงของวงออเคสตร้า แค่เพียงไม่กี่นาทีมันช่างยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ และทันทีที่เพลงบรรเลงจบ พระองค์สาบานได้ว่าจะมอบจุมพิตหวานฉ่ำให้กับสาวน้อยผู้น่ารักคนนี้ และพระองค์จะสอนบทเรียนรักบทต่อๆ ไปทันทีที่ได้อุ้มร่างอรชรเข้าไปในห้องนอนของพระองค์แล้ว
แทนที่จะดีใจกับคำบอกเล่าของชีคฮาริค บัณฑิตากลับตีสีหน้าเหยเกอยากจะร้องไห้ออกมาให้ได้ ก็เธอไม่อยากให้ชีคฮาริคได้กอด ได้จุมพิต หรือทำทุกอย่างที่พระองค์ได้กระซิบบอกว่า แต่ทว่าในขณะที่ใจนั้นคิดคัดค้าน เรือนกายกลับพร้อมเต็มใจไปกับความต้องการของราชนิกุลหนุ่ม ซึ่งเรือนกายอรชรนั้นได้บดเบียดเข้าหากายกำยำล่ำสันอย่างแนบชิดแทบเป็นเนื้อเดียวกันอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ่อ...ท่านชีคคะ ถ้าหากดิฉันเต้นรำกับท่านชีคแค่เพียงอย่างเดียว ท่านชีคจะยอมมอบเงินห้าล้านให้กับดิฉันไหมคะ”
บัณฑิตาต่อรองเสียงสั่น ภาวนาในใจให้ชีคฮาริคยอมมอบเงินจำนวนมหาศาลให้กับเธอง่ายๆ โดยที่เธอไม่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัว มอบกายและดวงวิญญาณให้กับพระองค์
“ฮ่าๆๆๆ”
ชีคฮาริคทรงหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินคำต่อรองของบัณฑิตา ทรงรู้สึกได้ว่าร่างอรชรหอมละมุนในอ้อมแขนนั้นสั่นเทาอย่างที่พระองค์รู้สึกได้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของร่างบางกำลังสั่นสะท้าน เพราะความหวาดกลัวกับไฟปรารถนาที่พระองค์ได้เผยให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากดวงตาสีเขียวทั้งคู่ ทรงใช้มือข้างหนึ่งดันแผ่นหลังของบัณฑิตาให้แนบชิดกับกายของพระองค์ให้แนบชิดมากกว่าเดิม ก่อนจะตรัสปฏิเสธคำขอร้อง และต่อว่าคนในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เต้นรำแค่เพลงเดียว แต่ให้เราจ่ายเงินเจ้าถึงห้าล้าน มันไม่แพงไปหน่อยหรือไข่หวาน”
“ไม่แพงเลยค่ะ ดิฉันรู้ว่าท่านชีคมีเงินมากมายก่ายกอง ใช้กี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีหมด เงินแค่ห้าล้าน ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของพระองค์ร่วงหรอก จริงไหมคะ”
บัณฑิตาไม่ลังเลที่จะคัดค้านคำพูดของชีคฮาริค หญิงสาวต่อว่าพระองค์ฉอดๆ ด้วยความลืมตัวว่าตนเองนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อว่าชายชาติกษัตริย์ ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่เธอมาอาศัยพักพิงอยู่ในขณะนี้
และแทนที่จะโกรธกับคำต่อว่าต่อขานของบัณฑิตา ชีคฮาริคกลับหัวเราะร่วนอีกครั้งอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ทรงลดใบหน้าคมเข้มลงต่ำ จนกระทั่งปลายจมูกโด่งงามเป็นสันสัมผัสบางเบากับปลายจมูกเล็กที่เชิดขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นออกจะรั้นอยู่ไม่น้อย และลดริมฝีปากร้อนผะผ่าวให้กดแนบชิดกับเรียวปากแดงระเรื่องตามธรรมชาติ โดยใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดันศีรษะกลมทุยไว้ ไม่ให้ผู้เป็นเจ้าของได้เบือนหน้าหนีหลบริมฝีปากร้อนๆ ของพระองค์ ก่อนจะกระซิบตอบคำถามก่อนหน้านี้ของคนในอ้อมแขนที่ช่างต่อรองเหลือเกิน
“จริงอยู่ว่าเงินห้าล้านไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งของเราร่วง เหมือนที่เจ้าได้ต่อว่าเอา แต่ก็อย่างว่าแหละนะไข่หวาน เราไม่เคยจ่ายเงินฟรีๆ โดยไม่ได้รับสิ่งของตอบกลับคืน เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าอยากได้เงินห้าล้าน เจ้าก็ต้องอยู่กับเราตลอดทั้งราตรีนี้”
“ถ้างั้นก็ลดเหลือสองล้านห้า แล้วท่านชีคจูบดิฉันก็พอ”
บัณฑิตาไม่ละความพยายามในการต่อรองราคากับชีคฮาริค แม้ออกจะอายอยู่มากที่ต้องมาต่อค่าตัวกันราวกับตนเองเป็นผู้หญิงอย่างว่า แต่กระนั้นเธอก็พยายามนึกถึงใบหน้าของน้องสาว ที่ต้องเศร้าสลดขวัญหนีดีฟ่อ ขณะที่ต้องไปนอนอยู่หลังลูกกรงเหล็กในค่ำคืนนี้ ซึ่งการคิดถึงความลำบากลำบนของน้องสาว ทำให้เธอสามารถละลายความอายออกไปจากใจได้บ้าง
ทางด้านชีคฮาริคนั้นทรงหัวเราะร่วนออกมาอีกครั้ง เมื่อยินคำต่อรองของสาวน้อยในอ้อมแขน จากนั้นก็กระซิบตอบรับคำต่อรองของบัณฑิตาราวกับว่านอนสอนง่าย
“ตกลงไข่หวาน แค่จูบเดียว เราจะจ่ายให้เจ้าสองล้านห้า แต่ตอนนี้เราขอพิสูจน์ก่อนว่ารสจุมพิตที่ได้จากเจ้านั้นจะหวานฉ่ำคุ้มกับค่าเงินที่เราต้องจ่ายให้กับเจ้าหรือเปล่า”
ว่าแล้วก็ทรงกระชากหน้ากากสีทองที่แสนเกะกะ ทั้งของพระองค์และของบัณฑิตาออก เผยให้เห็นใบหน้านวลลออดุจนางในวรรณคดี ที่ทำเอาพระองค์ลืมหายใจไปชั่วขณะจิต จากนั้นก็กดริมฝีปากบดจุมพิตหนักหน่วงดูดดื่มเร่าร้อนลงไปบนเรียวปากอิ่มแดงระเรื่อที่ไม่ประสีประสาพยายามจะเบี่ยงหน้าหนี แถมยังขบเรียวปากไว้แน่นให้ยอมให้ปลายลิ้นนุ่มได้รุกล้ำเข้าไปควานหาความหวานล้ำที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ผู้ที่มีชั้นเชิงในเรื่องรักระดับขั้นเทพอย่างพระองค์ก็ทรงใช้เวลาแค่เพียงชั่วครู่ในการเปิดเรียวปากอิ่มให้เผยอออกกว้าง ด้วยการใช้ฟันขาวสะอาดขบกัดลงไปเบาๆ บนเรียวปากด้านล่าง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นจูบซับเคล้นคลึงอีกครั้ง พอบัณฑิตาร้องครางออกมาเบาๆ พร้อมกับเผยอปากขึ้นเล็กน้อยเพราะความวาบหวิวก็รีบสอดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากควานหาน้ำทิพย์หวานตามที่ใจต้องการทันที
บัณฑิตาไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นถูกจูบเป็นเวลาเนิ่นนานสักเพียงใด สิ่งที่เธอรับรู้และกำลังซึมซับเข้าสู่โสตประสาทในขณะนี้คือรสพิศวาสอันแสนหวานฉ่ำ รวมทั้งความวาบหวามที่แล่นพล่านทั่วเส้นเลือด ที่ได้รับจากจุมพิตเร่าร้อน ซึ่งทำเอาเธอหมดแรงตัวอ่อนระทวยไม่ต่างจากขี้ผึ้งลนไฟ
“อืม...ใช่ได้เลยนะไข่หวาน จุมพิตของเจ้าหวานฉ่ำถูกอกถูกใจเรามาก เห็นทีว่าแค่เพียงจูบบนเรียวปากน้อยๆ ของเจ้าคงจะไม่พอ เราคงต้องพิสูจน์ให้ทั่วตัวว่าร่างกายส่วนอื่นๆ ของเจ้าจะหวานฉ่ำด้วยหรือเปล่า”
ชีคฮาริคกระซิบชมเสียงสั่นพร่า หลังจากผละริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อย ทรงพึงพอใจแกมภาคภูมิใจอยู่มากที่รู้ว่าพระองค์เป็นภมรแรกที่ได้แตะต้องดูดชิมน้ำหวานจากดอกไม้สีสวยดอกนี้ และพระองค์จะเป็นคนแรก และเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะยึดครอบครองบัณฑิตาให้อยู่กับพระองค์ตลอดราตรีอันหนาวเหน็บในค่ำคืนนี้
