2
“แก...นังตัวแสบ แก แก...จะฆ่าฉันเลยเหรอ”
ตฤนโวยวายไม่ได้ศัพท์ต่ออีกสองสามคำเสียงลั่นชั้น แล้วหันมาพูดกับพี่ชายเสียงสั่นเพราะกลัวเลือด
“ผมจะไปตามคนมาช่วยนะพี่คิง”
จักรพรรดิกลับยืนนิ่ง ส่ายหน้าไม่ได้สนใจตฤน แล้วกุมต้นแขนตรงที่มีเลือดไหล ตาคมวาวราวกับสายตาเหยี่ยวมองปราดไปยังคนที่ทำร้ายเขา ด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก และพรลักษมีก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันทีเมื่อได้สบตาตอบเขา สถานการณ์ตอนนี้มีเพียงเธอและชายที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรกยืนประสานสายตา ส่วนตฤนวิ่งหายเข้าไปในช่องที่ทำไว้สำหรับลิฟต์แล้ว
จักรพรรดิจึงหันมาคุยกับเธอเสียงราบเรียบว่า
“ไม่คิดจะช่วยผมหน่อยเหรอ”
พรลักษมียังคงตกใจจึงตั้งสติไม่ถูก เพราะเกิดมาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำร้ายร่างกายใคร ตอนแรกที่คิดจะแทงตฤนนั้นเธอยอมรับว่าขาดสติ แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่าชายอีกคนต้องมารับเคราะห์แทน แถมเขายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับเรื่องในอดีตของเธอกับตฤนอีกด้วย แล้วเธอจะทำอย่างไร เมื่อนึกอะไรไม่ออก จึงได้แต่บอกเสียงติดจะสั่นๆเล็กน้อย
“ฉัน...ฉันขอโทษค่ะ”
“เอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคุณควรมาดูแผลให้ผม”
เธอมองที่แผลของเขา ก่อนตั้งสติแล้วเดินไปเปิดประตูห้องตัวเองแบบงงๆอ้าทิ้งเอาไว้ พอหันมามองเขา ก็สบเข้ากับตาคมวาววับที่จับจ้องเธออยู่ ปากแดงสดเม้มนิดๆก่อนคลายออก เชื้อเชิญเขา
“เข้ามาก่อนเถอะค่ะ”
ห้องชุดของเธอเป็นห้องที่จัดอย่างเรียบๆ เครื่องตกแต่งมีเท่าที่จำเป็น มองดูก็เห็นความเป็นตัวตนของเธอในห้องนั้น
ดีที่พรลักษมีเคยได้รับชุดเฟิร์สเอดมาฟรี ในนั้นมีอุปกรณ์ทำแผลครบครับและสะอาดพอดู เธอเดินนำเขาไปที่เก้าอี้ยาวบุนวมค่อนข้างเก่า แต่ดูสะอาด เขาเดินตามเข้ามาแล้วนั่งลง จึงค่อยปลดกระดุมออกอย่างช้าๆ สายตาเหยี่ยวจับจ้องเจ้าของห้องไม่วางตา จนเธออดเม้มปากไม่ได้ด้วยความประหม่าและเมื่อเห็นแผล ก็ทำเอาใจสั่นหวิวๆคล้ายจะเป็นลมมันไม่ได้ลึก ลักษณะคล้ายมีดบาดทั่วๆไปแต่เธอกลัวเลือด แล้วทำท่าฝืนเอาไว้ ไม่เคยมีใครรู้ว่าเธอเกลียดหรือกลัวอะไร และไม่ควรจะมีคนรู้ด้วย พรลักษมีบอกตัวเองอย่างนั้นเสมอ
และเพื่อไม่ให้ห้องเงียบจนเกินไป หญิงสาวจึงหยิบอุปกรณ์ออกมาเตรียมทำแผลรอท่าพร้อมกับชวนเขาคุยไปด้วย เพราะเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นทุกทีที่สบตาเหยี่ยวคู่นั้น ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นที่เธอเคยรู้จัก เมื่อครู่เธอได้ยินตฤนเรียกเขาว่าพี่คิง ไม่แน่สองคนนี้อาจเป็นพี่น้องกัน แต่ทำไมหน้าตาของทั้งคู่ไม่มีเค้าคล้ายคลึง แล้วเธอจะให้ความสนใจทำไมกันกับคนพวกนี้
“ฉันขอโทษค่ะ แต่คุณก็ทะเล่อทะล่าเข้ามา ไม่ดูตาม้าตาเรือ และฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณนะคะ”
พรลักษมีออกตัวหน้าเรียบสงบ บอกตัวเองให้ทำเฉยเอาไว้ อย่ารู้สึกประหม่ากับสายตาเหยี่ยวของเขาเด็ดขาด
“แล้วคุณตั้งใจจะทำร้ายใคร นายตฤนเหรอ” เสียงเขาถามขึ้น สายตาเหยี่ยวยังคงจับจ้องเธออยู่ จนคนถูกมองเริ่มพาลไม่พอใจว่าเขาจะมองอะไรนักหนา เลยสะบัดเสียงตอบ
“ใช่ค่ะ”
“ผมจะไม่คุยเรื่องคนอื่นนะ และผมก็อยากให้คุณรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วย”
เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆเหมือนกับว่ากำลังคุยกับเด็กไม่ประสาคนหนึ่ง แล้วให้ตายเถอะทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังหยั่งความรู้สึกบางอย่างของเธออยู่ เลยเงยหน้าแวบหนึ่งบอกความจริงถึงสถานะตัวเองออกไป
“ฉันไม่มีเงินนะคะ ถ้าหากคุณจะเรียกร้องเอาเงิน ...” ยังพูดไม่ทันจบเขารีบแทรกขึ้น
“ผมไม่ต้องการเงิน” คนพูดมองสบมา มันมีคำยืนยันในนั้นว่าเขาไม่ต้องการเงินจริงๆ และเธอจะไม่ถามกลับหรอกว่าเขาต้องการอะไร คิดว่าพอรู้คำตอบดี ไม่ใช่เด็กสาววัยใสนี่ ที่แบ๊วจนไม่รู้ว่าสายตาวาวๆของคนที่มองมามันมีความหมายอย่างไรบ้าง
แล้วเขาก็พูดถึงสิ่งที่ต้องการ
“ผมอยากให้คุณทำแผลให้ผมทุกวันจนกว่ามันจะหายดี”
พรลักษมีก้มหน้าก้มตาปิดปากแผล แล้วใช้เทปพาดปิดทับอีกทีไม่พูดอะไรเพื่อต่อบทสนทนาของเขา เสียงเข้มจึงคุยต่อ
“วันละสองรอบเป็นไง เช้า กับ ...ค่ำๆ”
“ค่ำแค่ไหนคะ” เธอย้อนถามไม่ได้ตั้งใจจะกวนเขาสักนิด
จักรพรรดิมองใบหน้าสวยใสที่ก้มลงจัดแจงกับแผลของเขาตาเหยี่ยวมองยัง ไรผมของเธอที่ยุ่งเหยิงนิดๆแต่นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ามอง น่าหลงใหล เขาพอรู้แล้วล่ะว่าน้องต่างมารดาทำไมถึงถูกเธออาฆาต ความรู้สึกที่มีคงไม่ต่างจากเขาตอนนี้แน่ๆ
“สักสองทุ่มเป็นไงคงไม่ดึกไปสำหรับคุณหรอกนะ”
“ได้ค่ะ”
พรลักษมีจัดเก็บของต่อหลังเสร็จจากแผลของเขา จนเรียบร้อยนั่น จึงเงยหน้ามามอง เห็นว่าอีกฝ่ายใช้สายตาจับจ้องอยู่ เลยเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าเขามีอะไรจะพูดต่อ เสียงเข้มจึงเปล่งออกมาราวกับจะท้าทายเธอ
“ที่ห้องของผม”
“ทำไมต้องห้องคุณด้วย...คะ”
พรลักษมีเว้นช่องเกือบไม่ทิ้งหางเสียงย้อนถามด้วยท่าทีแข็งๆ ตาดำกลมใสราวเม็ดลำไยเต้นระริกคล้ายตื่นตระหนก
จักรพรรดิจึงใช้โทนเสียงอ่อนลงราวกับกำลังหลอกล่อเด็กน้อยให้เดินตามเส้นทางที่เขาขีดเอาไว้
“เพราะผมไม่ไว้ใจคุณน่ะสิ เกิดวันไหนคุณคุ้มดีคุ้ม ร้ายแทงผมขึ้นมาอีกใครจะช่วยผมได้”
