บทที่ 10 ข้าวต้มน้ำทิพย์
บทที่ 10 ข้าวต้มน้ำพุวิญญาณ
กลิ่นหอมประหลาดของข้าวต้มที่หอมฟุ้งจนผิดปกติ ลอยละล่องไปตามสายลม ไกลจนถึงค่ายพักแรมของ ไป๋เจิ้ง และ ไป๋จ้าน ที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของลานพักแรม สองพี่น้องผู้เห็นแก่ตัวพลันชะงักมือที่กำลังคนข้าวต้มจืดชืดในหม้อของตน กลิ่นหอมยั่วน้ำลายทำให้ท้องของพวกเขาร้องโครกครากประท้วงขึ้นมาทันที
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกลุ่มคนที่ล้อมวงอย่างอบอุ่นฝั่งตรงข้าม แววตาฉายแววริษยาและตะกละตะกลามอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่ไป๋เจิ้งจะแสยะยิ้มเหยียด พลางเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียงดังจงใจให้ได้ยิน
“ฮึ! คนมากขนาดนั้น ยังทำอาหารประโคมเครื่องปรุงรสโอชะเสียยกใหญ่ กลิ่นถึงได้หอมฟุ้งเตะจมูกมาถึงนี่ ข้าว่านะ...ไม่ต้องรอให้ถึงชายแดนหรอก เงินทองของพวกมันคงหมดไปกับค่าเครื่องเทศไร้สาระพวกนี้ก่อนเป็นแน่! ช่างไม่รู้จักประมาณตน!”
น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันและดูแคลน ราวกับลืมสิ้นว่าครั้งหนึ่ง ครอบครัวของไป๋หรงเฉินเคยโอบอุ้มจุนเจือพวกเขามาเพียงใด ความอกตัญญูและความริษยาบดบังจิตใจจนมืดมิด
ไป๋อวี้เจียวที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินทุกคำที่ท่านอาใจแคบเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน นางเงยหน้าขึ้น หันไปทางต้นเสียง พลางส่งยิ้มหวานหยดย้อยที่ดูไร้เดียงสาไปให้ แต่ทว่าน้ำเสียงเล็ก ๆ ที่เปล่งออกมานั้น กลับดังสนั่นกังวานไปทั่วลานพักแรม และแฝงไว้ด้วยความคมกริบดุจมีดดาบอาบยาพิษ!
“ข้าวของพวกข้าจะพอกินหรือไม่ คงมิบังอาจรบกวนให้ท่านอาทั้งสองต้องลำบากยื่นหน้ายื่นคอเข้ามาสอดรู้สอดเห็นกระมังเจ้าคะ!”
คำพูดของนางทำให้คนทั้งลานเงียบกริบ นางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง แต่ทุกคำกลับเชือดเฉือนหัวใจคนฟังจนเลือดซิบ
“พวกท่านโปรดดูแลปากท้องของครอบครัวท่านเองเถิด ส่วนพวกเรา…ตระกูลไป๋สายหลัก ย่อมดูแลตัวเองได้ดีกว่าท่านเป็นไหน ๆ เจ้าค่ะ! อ้อ...แล้วก็อย่าเผลอกลืนน้ำลายดังนักนะเจ้าคะ เดี๋ยวลมจะเข้าท้องเอา!”
เปรี้ยง! ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงกลางวงสนทนา!
“ไป๋อวี้เจียว!”
หยางหลิงเย่วปรามลูกเสียงเข้ม
“ลูกพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร! ถึงอย่างไรท่านก็เป็นอาของเจ้านะ!”
ในใจของนางร้อนรุ่ม แม้จะรู้ว่าลูกสาวพูดถูกทุกประการและสะใจยิ่งนัก แต่คำพูดที่เชือดเฉือนเช่นนั้น ก็ทำให้คนเป็นมารดาอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าลูกสาวจะดูแก่นแก้วเกินงาม ไป๋อวี้เจียวทำคอหดเล็กน้อยแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างซุกซน ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ทุกคนอีกครั้ง
“ฮึ่ม! ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ! ปากคอเราะร้ายนัก!”
ไป๋จ้านโมโหมือสั่นจนทัพพีแทบหลุดมือเมื่อถูกเด็กน้อยถอนหงอกเข้าให้ต่อหน้าธารกำนัล
"สาวหาวยิ่งนัก!! ฝากไว้ก่อนเถอะนังเด็กบ้า!"
ไป๋เจิ้งได้ยินหลานสาวตัวน้อยตอบโต้กลับมาอย่างไม่ไว้หน้า ถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจนควันแทบออกหู
“เด็กคนนี้… ช่างปากคอเราะร้ายนัก! เหมือนพ่อมันไม่มีผิด!”
เขาคำรามเสียงลอดไรฟัน ความโกรธและความอับอายตีตื้นขึ้นมาจนแทบคลั่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ากินข้าวต้มจืด ๆ ของตัวเองต่อไปด้วยความคับแค้นใจ
ไป๋หรงเฉินนั้นสั่นหัวไปมาราวกับไม่อยากจะใส่ใจเรื่องไร้สาระนี่ เขาจึงเดินมาหาภรรยาหยางหลิงเย่ว เมื่อเห็นหน้าตาของนางสดใสเขาก็ที่จะดีใจและแปลกใจ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งกับท่านแม่ที่นั่งพักอยู่ในรถม้า เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของลูกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา ความอบอุ่นและความสุขเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจที่เหนื่อยล้าของพวกเขา
ไป๋อวี้เจียวมองดูรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว หัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้นมา นางรู้ว่า พลังวิเศษที่นางได้รับมานั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อตนเองเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและช่วยเหลือครอบครัวของนาง ให้พวกเขากลับมามีความสุขอีกครั้ง...และเอาคืนพวกคนใจดำให้สาสม!
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายสีส้มทองค่อย ๆ เลือนหายไปจากท้องฟ้า ครอบครัวไป๋มารวมตัวกันรอบกองไฟ บรรยากาศเงียบสงัด ทุกคนต่างเหนื่อยล้าและหิวโหย ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความอ่อนแรง แม้แต่เสียงพูดคุยก็แผ่วเบา
ไป๋หรงเฉินมองหน้าลูกเมียและญาติพี่น้องด้วยความรู้สึกหนักใจ ข้าวสารที่เหลืออยู่แทบไม่พอประทังชีวิตไปได้อีกกี่วัน อาหารมื้อเย็นวันนี้ก็เป็นเพียงข้าวต้มใส ๆ ที่แทบไม่มีเนื้อสัตว์หรือผักเจือปน ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเสียจริง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ มาทานข้าวต้มกันเถอะเจ้าค่ะ!”
เมื่อได้ยินเสียงใสของลูกรักเรียกกินข้าว สองผัวเมียก็ประคองกันลงมาจากรถม้าและมานั่งรอบกองไฟที่จุดเอาไว้กองใหญ่ เสียงใสแจ๋วของไป๋อวี้เจียวดังขึ้น ทำลายความเงียบงัน เด็กหญิงตัวน้อยถือชามข้าวต้มเดินเข้ามาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ
ไป๋หรงเฉินมองตามบุตรสาวด้วยความสงสัย เมื่อวานเขายังเห็นนางนั่งซึมอยู่ที่รถม้า เหตุใดบัดนี้กลับดูร่าเริงมีชีวิตชีวาถึงเพียงนี้
“เสี่ยวเจียวเจียว… วันนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมากนะลูกรัก” เขาเอ่ยทักด้วยความแปลกใจ
“ข้าหายแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ข้าแข็งแรงมากเลยท่านดูสิ!” นางเบ่งกล้ามแขนน้อย ๆ โชว์พลางยกชามข้าวต้มที่ถือมาให้ท่านพ่อและท่านแม่ดู “นี่!! นี่ข้าวต้มที่ข้าเป็นคน ‘คน’ เองกับมือเลยนะเจ้าคะท่านพ่อ ท่านพ่อกิน ๆ ร้อน ๆ กำลังอร่อยเลยเจ้าค่ะ!” นางยื่นชามข้าวต้มที่ควันลอยหอมฉุยเตะจมูกไปให้ท่านพ่อของนาง
ไป๋หรงเฉินรับชามข้าวต้มจากมือลูกสาวอย่างงงงัน เมื่อก้มลงมอง ก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ!
ข้าวต้มในชามนั้นแตกต่างจากข้าวต้มจืดชืดที่เขาเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง!
เม็ดข้าวอวบอิ่มสีขาวนวลเรียงตัวสวย ไม่หักไม่บาน ลอยเด่นอยู่ในน้ำข้าวสีขาวข้นขลุกขลิกเป็นยางมะตูม ส่งกลิ่นหอมละมุนอบอวลของข้าวใหม่ผสมกับกลิ่นหอมหวานลึกลับบางอย่าง ราวกับข้าวต้มที่ปรุงด้วยวัตถุดิบเลิศรสจากสรวงสวรรค์!
“นี่มัน… ข้าวต้มอะไรกัน?” เขาพึมพำด้วยความสงสัย พลางตักข้าวต้มขึ้นมาชิมอย่างช้า ๆ
ทันทีที่ข้าวต้มสัมผัสลิ้น...
รสชาติหวานละมุนกลมกล่อมจากธรรมชาติของข้าวชั้นดีก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก! ความรู้สึกอบอุ่นสดชื่นไหลผ่านลงสู่กระเพาะ แผ่กระจายไปตามเส้นเลือดราวกับกระแสธารทิพย์ ความเหนื่อยล้าที่เคยสะสมมาทั้งวัน พลันมลายหายไปราวกับต้องมนตร์! ร่างกายที่อ่อนแรงกลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันที สมองที่ตื้อตันกลับปลอดโปร่งโล่งสบาย!
“โอ้… นี่มัน!” ไป๋หรงเฉินอุทานด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง มองชามข้าวต้มในมืออย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้าวต้มอะไรกันนี่? ทำไมถึงได้… อร่อยถึงเพียงนี้! กลิ่นหอมเหลือเกิน... รสชาตินี้มัน...” เขาพูดไม่ออก ได้แต่ตักเข้าปากรัว ๆ “นี่เจ้ารองเป็นคนทำเช่นนั้นหรือ... ไม่สิ นี่เจียวเจียวของพ่อเป็นคนทำจริงรึ?”
“ข้าเป็นคน ‘คน’ ข้าวเองเจ้าค่ะ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านพ่อ? อร่อยใช่หรือไม่?” ไป๋อวี้เจียวถามอย่างลุ้นระทึก ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับ
“อร่อย… อร่อยจนเหลือเชื่อ อร่อยเหลือเกินลูกรัก เจ้าทำได้อย่างไร!” ไป๋หรงเฉินพยักหน้าหงึกหงัก ตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำจนหมดชามในเวลาอันรวดเร็ว “ข้าไม่เคยกินข้าวต้มที่ไหนอร่อยและให้ความรู้สึกดีเท่านี้มาก่อนเลย! ราวกับได้กินยาบำรุงชั้นเลิศ!”
หยางหลิงเย่วและพี่น้องคนอื่น ๆ เห็นอาการตกตะลึงของไป๋หรงเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะรีบตักข้าวต้มในชามของตนเองขึ้นมาชิมบ้าง
และเมื่อได้ลิ้มรส... ทุกคนก็ต้องเบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจเช่นกัน!
“จริงด้วย! ข้าวต้มหอมหวานชื่นใจจริง ๆ!” ไป๋จื่อหรานอุทาน “กินแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีเลย! ความปวดเมื่อยที่ขาของข้าหายไปหมดเลย!”
“นี่มัน… อะไรกัน…” หยางหลิงเย่วพึมพำเสียงแผ่วเบา ดวงตางดงามจับจ้องชามข้าวต้มในมืออย่างไม่อยากเชื่อ นางตักข้าวต้มเข้าปากอีกคำ รสชาติหวานละมุนและพลังชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง ทำให้นางรู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าเดิมมาก กลิ่นหอมคล้ายกับ น้ำทิพย์ ที่ลูกรักให้นางดื่ม
หรือว่า???
...นางเงยหน้ามองไป๋อวี้เจียวที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากเช่นกัน เด็กน้อยยิ้มปากกว้างจนตาหยีและพยักหน้าเล็กน้อยให้ท่านแม่เป็นเชิงรู้กัน หยางหลิงเย่วเห็นรอยยิ้มของลูกสาว นางถึงกับยิ้มตามทั้งน้ำตาแห่งความปิติและตักข้าวต้มกินต่อไปด้วยความสุขใจ
บรรยากาศรอบกองไฟพลันเปลี่ยนไป จากความเงียบเหงาหดหู่ กลับกลายเป็นความสดใสมีชีวิตชีวา ทุกคนในครอบครัวต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ซดข้าวต้มทิพย์รสเลิศ ความเหนื่อยล้าและความหิวโหย มลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความสุขและความอิ่มเอมใจ ราวกับกำลังนั่งกินเลี้ยงฉลองมากกว่าเป็นนักโทษเนรเทศ!
ไป๋หรงเฉินมองดูลูกเมีย หัวใจของเขาก็พลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เขามองไปยังหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง ข้าวต้มในหม้อนั้นยังคงมีปริมาณมากอยู่ ราวกับตักเท่าไหร่ก็ไม่พร่องลงเลย
“เจียวเจียว… ข้าวต้มในหม้อนี่… เจ้าทำไว้เยอะขนาดนี้เชียวหรือ?” เขาถามบุตรสาวด้วยความสงสัย
“ก็… ไม่มากนะเจ้าคะท่านพ่อ” ไป๋อวี้เจียวตอบด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย “ข้าแค่อยากให้ทุกคนได้ทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญเท่านั้นเอง เจ้าค่ะ!” (ความจริงคือนางแอบเติมข้าวจากมิติเพิ่มลงไปอีกต่างหาก!)
ไป๋หรงเฉินมองหน้าลูกสาวอย่างพิจารณา ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย เขารู้สึกตื้นตันใจที่ลูกสาวตัวน้อยช่างรู้จักคิดเผื่อแผ่
“ข้าวต้มเหลือเยอะแยะขนาดนี้… พวกเราน่าจะแบ่งให้ครอบครัวของน้องเล็กไป๋หรงอี้และท่านอาไป๋เจี้ยนด้วยนะเจ้าคะ” หยางหลิงเย่วเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบ
“จริงด้วย!” ไป๋หรงเฉินเห็นด้วยทันที “ข้าเกือบลืมเจ้าเล็กและท่านอาไปเสียสนิท พวกเขาก็คงจะหิวโหยไม่แพ้พวกเรา”
ว่าแล้วไป๋หรงเฉินก็ลุกขึ้น ตักข้าวต้มใส่ชามขนาดใหญ่สองใบพูน ๆ เดินนำหน้าไปยังกลุ่มของน้องชายและอาของเขาที่นั่งอยู่ไม่ไกล (แต่แยกวงจากพวกไป๋เจิ้ง) เมื่อไปถึงก็ยื่นชามข้าวต้มให้ด้วยรอยยิ้ม
“น้องเล็ก ท่านอา มาทานข้าวต้มด้วยกันเถิด วันนี้เจียวเจียวของข้า ทำข้าวต้มอร่อยยิ่งนัก กินแล้วมีแรงแน่นอน”
ไป๋หรงอี้ และ ท่านอาไป๋เจี๋ยน รับชามมาด้วยความงุนงงเล็กน้อย เพราะตอนนี้อาหารนั้นทุกคนจำเป็นต้องประหยัด เหตุใดพี่ใหญ่จึงได้ทำข้าวต้มเยอะจนแบ่งพวกเขาได้ล่ะ?
แต่เมื่อพวกเขาตักข้าวต้มเข้าปาก...
“พี่ใหญ่… นี่มันข้าวต้มอะไรกัน? ทำไมถึงได้หอม และอร่อยมากเช่นนี้…!” ไป๋หรงอี้อุทาน ดวงตาเบิกโพลง “ข้ากินคำแรก ความเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้งเลย!”
“วิเศษ! วิเศษมาก!” ท่านอาไป๋เจี๋ยนกล่าวชมไม่ขาดปาก
ไป๋หรงเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มบาง ๆ และบอกให้พวกเขารีบกินตอนที่ข้าวต้มยังร้อน ๆ ก่อนจะเดินกลับมาที่รถม้าของตัวเองด้วยหัวใจที่พองโต
ในคืนนั้นเอง ข้าวต้มน้ำทิพย์ ที่ไป๋อวี้เจียวปรุงขึ้น ก็กลายเป็นอาหารมื้อเย็นที่วิเศษที่สุดในชีวิตของทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่กลายเป็นนักโทษเนรเทศก็ว่าได้
ไป๋อวี้เจียวมองทุกคนในครอบครัวที่กินอิ่มนอนหลับอย่างมีความสุข พลางลูบรอยสักที่นิ้วก้อยเบา ๆ แล้วคิดในใจว่า...
“รออีกหน่อยนะเจ้าคะทุกคน...นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม อีกไม่นานข้าจะทำให้พวกเราทุกคนไม่ต้องทนลำบากเช่นนี้อีกต่อไป… และใครที่เคยดูถูกพวกเราไว้ จะต้องเสียใจจนกระอักเลือด!”
****
