โฉมงามใจร้ายกับเจ้าชายอสูร

60.0K · จบแล้ว
ไอวริญญ์
29
บท
123
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

มีนาเป็นสาวสวยที่เข้าหาอลัน ผู้ชายที่มีน้ำหนัก 150 กิโลกรัม ไม่หล่อ แต่รวยมาก เพราะอยากกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวความรักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่างระหว่างความรวยกับความจน อลันเป็นผู้ชายที่สอนให้เธอได้รู้ว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ความรักที่แท้จริงไม่ได้ถูกกำหนดโดยรูปลักษณ์ภายนอก สังคม ฐานะหรือความมั่งคั่งทางวัตถุ เป็นความผูกพันที่หล่อเลี้ยงหัวใจทั้งสองดวง ให้ก้าวข้ามอุปสรรคใด ๆ ที่เข้ามาขวางทาง

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบัน

PROLOGUE

“มีนา!” เสียงหวานตะโกนเรียกชื่อฉันแข่งกับเสียงดนตรีในงาน เมื่อฉันหันไปมองก็พบสาวหมวยในชุดสายเดี่ยวยาวสีขาว รวบผมสูงเป็นทรงซาลาเปากลางศีรษะ

วันนี้เป็นงานเลี้ยงประจำปีของบริษัท บริษัทที่ฉันทำงานอยู่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จัดหาที่ดิน ออกแบบและสร้างบ้าน มีบ้านและคอนโดฯ กว่าร้อยโครงการที่บริษัทเป็นผู้ลงทุน

แพรพลอยเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และยังจบมาทำงานในบริษัทเดียวกัน ทั้งฉันและเพื่อนในวัยยี่สิบห้าปี ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในอาชีพการงาน

วันนี้ฉันเลือกสวมชุดเกาะอกสั้นสีดำ เผยให้เห็นหน้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว ผมยาวสลวยถูกปล่อยสยายกลางแผ่นหลัง เมื่อเดินผ่านผู้ชายต่างหันมองตาเป็นประกาย ฉันไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ก็รู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์เซ็กซี่ ไม่ใช่สาวใสอย่างเพื่อน

“แพรนั่งตรงไหน”

“ฝั่งโน้น ถัดจากโต๊ะผู้บริหาร มีนาไปนั่งด้วยกันนะ”

ฉันพยักหน้าตอบตกลงทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ในบริษัทนี้ฉันมีเพื่อนน้อยมาก ถ้าไม่นั่งกับแพรพลอยก็ไม่รู้จะนั่งที่ไหน เมื่อมาถึงโต๊ะก็พบว่าที่โต๊ะมีคนอื่น ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งฉันก็ทักทายตามมารยาท จากนั้นก็นั่งจิบแชมเปญไปเรื่อย ๆ

บนเวทีพิธีกรเชิญผู้บริหารกล่าวเปิดงาน แม้สายตาของฉันจะจับจ้องบนเวทีแต่จิตใจกลับกำลังว้าวุ่นเพราะคิดเรื่องอื่น

“มีนา มีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า”

ใบหน้าของฉันคงแสดงออกมาอย่างชัดเจน แพรพลอยจึงสังเกตเห็น และคำถามของเพื่อนก็ทำให้ฉันคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ก่อนจะออกมางานเลี้ยง พ่อเพิ่งโทรมาหา และเล่าเรื่องสุดดราม่าให้ฟัง เมื่อห้าปีที่แล้วพ่อไปค้ำประกันให้ลุงกู้ซื้อบ้าน แต่กลับโดนโกง เมื่อลุงไม่รับผิดชอบหนีหายไป ไม่รู้ตอนนี้ลุงไปเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน พ่อของฉันในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชอบหนี้แทน เป็นเงินทั้งหมดสามล้านบาท

ฉันนึกอยากโกรธพ่อ เพราะพ่อของฉันมักใจอ่อน ช่วยเหลือคนอื่น แต่สุดท้ายตัวเองกลับเดือดร้อนเสียเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตามพ่อก็เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันที่เหลืออยู่บนโลกมนุษย์ใบนี้

แม่ทิ้งพ่อไปเพราะความยากจน พ่อจึงเลี้ยงฉันมาเพียงคนเดียว จนกระทั่งฉันเข้ามหาวิทยาลัยพ่อจึงพบรักใหม่และไปใช้ชีวิตด้วยกันที่ต่างจังหวัด ถึงแม้ฉันจะไม่ได้สนิทสนมกับแม่เลี้ยง เพราะเธอเข้ามาในชีวิตพ่อตอนที่ฉันเติบโตจนมาใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้ว แต่ฉันก็ดีใจที่พ่อได้เจอกับความรักครั้งใหม่ พ่อใช้ชีวิตเพื่อฉันมาตลอด ดังนั้นฉันจึงหวังให้พ่อมีความสุขในบั้นปลายของชีวิตบ้าง

ในขณะที่ฉันกำลังจะหันไปตอบเพื่อน ด้านหน้าเวทีกลับฮือฮาขึ้น เมื่อผู้บริหารบริษัทได้เปิดตัวทายาทเพียงคนเดียว หลังเสียงประกาศของพิธีกรดังขึ้น ไฟทั้งห้องก็หรี่ลง สปอตไลต์เปิดไปที่โต๊ะของผู้บริหาร

ผู้ชายที่ยืนขึ้นในฐานะทายาทของเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เป็นคนที่มีร่างกายที่ใหญ่โต ดูแล้วน้ำหนักตัวไม่น่าจะน้อยกว่าร้อยห้าสิบกิโลกรัม

รูปร่างของเขามีลักษณะที่กลมและอวบอ้วน ไหล่กว้าง รอบเอวกว้าง และแขนขาหนา เมื่อเขายืนขึ้นก็เรียกความสนใจของคนในงานให้หันไปมอง

“หูย ทายาทของผู้บริหารนึกว่าจะหล่อรวยเหมือนในนิยาย ดับฝันสาว ๆ ชัด ๆ” ผู้หญิงคนหนึ่งในโต๊ะ ซึ่งฉันจำได้ว่าอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์พูดขึ้น

“ไม่หล่อแล้วทำไม ถึงยังไงเขาก็เป็นทายาทนักธุรกิจ เกิดมาก็มีบุญวาสนามากกว่าพวกเราเป็นไหน ๆ” ผู้หญิงอีกคนในโต๊ะพูดขึ้น

“ถ้าพวกเราเกิดมาสวยเหมือนมีนาหรือแพรพลอยก็คงดี” ขณะพูดก็ปรายตามามองฉันเสียด้วย ราวกับกลัวว่าฉันจะไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดถึงฉันอยู่

“ก็จริง ถ้าได้แต่งกับเขาฉันคงสบายไปทั้งชาติ” หญิงสาวคนเดิมเออออเห็นด้วยกับเพื่อน ไม่เพียงแต่พูดเจ้าตัวยังทำนัยน์ตาเคลิ้มฝัน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงคิดว่าคำพูดพวกนี้ฟังดูไร้สาระ แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่า ที่คนพวกนี้พูดมาก็ฟังดูเข้าท่า จะดีแค่ไหนถ้าสามารถแต่งงานกับผู้ชายรวย ๆ ได้

ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นของงาน แต่อลันกลับรู้สึกเบื่อหน่าย ขณะที่ทุกคนไม่ได้สนใจเขาแล้วชายหนุ่มจึงลุกขึ้น ตั้งใจจะเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก จังหวะที่เขาเดินข้ามห้องไปยังระเบียง เสียงเอะอะโวยวายก็ดึงความสนใจเขา

อลันเดินตามเสียงร้องไห้โวยวาย และพบเด็กอ้วนคนหนึ่งกำลังลงไปดิ้นกับพื้น จากนั้นเด็กคนนั้นก็หายใจเร็วขึ้นเรื่อย ๆ บริกรและแขกเหรื่อที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มตื่นตกใจทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น อลันตั้งใจจะเข้าไปดูว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่เพราะน้ำหนักที่เกินมาตรฐานของเขาทำให้การก้าวเดินค่อนข้างล่าช้า

ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงสวมชุดเดรสเกาะอกสั้นสีดำวิ่งไปถึงตัวเด็กก่อนเขา เธอคุกเข่าลงข้าง ๆ เด็กคนนั้น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่อยู่รอบข้างเสียงดังลั่น

“อย่ามุงค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นบอกคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ส่วนอลันยืมมองเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ เพราะกังวลว่าร่างใหญ่โตของเขาอาจจะบังทิศทางลมหากเดินเข้าไปใกล้

“มีใครมีถุงพลาสติกหรือเปล่า” หลังจากฉันตะโกนออกไป มีบริกรหญิงร่างผอมคนหนึ่งยื่นถุงพลาสติกเข้ามาให้ ฉันรับมาก็ก้มหน้าลง จับถุงพลาสติกครอบไปที่กึ่งปากกึ่งจมูกของเด็กที่นอนอยู่

“หายใจไม่ออก” เด็กที่เมื่อกี้ยังดิ้นไปมา หยุดดิ้นลงทันที

“อย่าพูดดังสิ” ฉันก้มลงกระซิบข้างหูเด็กน้อยตัวอ้วนเสียงเครียด

“อย่าลืมจ่ายเงินมาด้วยนะเจ๊” เจ้าหนูน้อยกระซิบตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ฉันเดินออกมาหาเด็กคนนี้ แล้วเสนอว่าจะจ่ายค่าขนมให้ โดยให้แกล้งทำเป็นร้องเอะอะโวยวายแล้วหายใจเร็ว ๆ

“หยุดพูดได้แล้ว” ฉันกระซิบตอบเด็ก เริ่มกังวลว่าจะโดนจับได้

เมื่อเหตุการณ์สงบลง ไทยมุงก็สลายตัวจากบริเวณนั้น เหลือเพียงอลันที่ยืนสังเกตเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ

ฉันเงยหน้าขึ้นกะพริบตาปริบ ๆ ทำเป็นสบตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เดาได้เลยว่าผู้ชายคนนั้นกำลังทึ่งในไหวพริบของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง คนอื่น ๆ ทำแค่มอง แต่ฉันกลับรีบเข้ามาช่วยเหลือเด็กอ้วนคนหนึ่งด้วยความห่วงใย

โหนกแก้มของเขาเป็นสีระเรื่อขึ้นเมื่อถูกฉันจับได้ว่าแอบมอง ส่วนเด็กที่ฉันให้สัญญาณให้ลุกขึ้น ก็หายดีเป็นปกติ วิ่งหายไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ… เด็กคนนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้งานเลี้ยงวันนี้ใช่ไหมคะ” ฉันพูดกับเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล

รอยยิ้มของอลันกว้างขึ้นเมื่อเขาได้ยินฉันถาม

“เด็กไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ” เขาบอกอย่างใจดี ก่อนจะถามฉันต่อ

“คุณมาร่วมงานเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ฉันเป็นพนักงานของบริษัทชื่อมีนา” ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเขา

“เอ่อ…ผมชื่ออลัน” ขณะพูดใบหน้าของเขายังคงแดงก่ำไปจนถึงใบหู เพราะเขาเป็นคนผิวขาวมาก จึงสังเกตเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในความมืด

“ฉันรู้ค่ะ ก็คุณขึ้นไปแนะนำตัวบนเวที”

“ขอบคุณอีกครั้งนะครับสำหรับเหตุการณ์เมื่อกี้”

เขาบอกซ้ำอีกครั้งพร้อมกับก้มศีรษะให้ฉันหนึ่งครั้ง ซึ่งเขาจะรู้สึกขอบคุณฉันมากขนาดนั้นก็ไม่แปลก เพราะไม่เพียงแต่ฉันได้ช่วยเหลือเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ฉันยังทำให้งานเลี้ยงเปิดตัวของเขาไม่วุ่นวายด้วย หลังจากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ

และฉันก็ได้ค้นพบว่า การจีบผู้ชายคงไม่ยากอย่างที่คิด