เด็กดื้อต้องโดนแบบนี้
ตะวันก้มลงไปจูบที่หลังคอขาวเนียน แล้วลากริมฝีปากลงมาตามแนวกระดูกสันหลัง มือที่จับไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ ก็เลื่อนเข้าไปใต้เสื้อสีขาวบาง ล้วงมือเข้าไปในบลาสัมผัสแล้วบีบนวดหน้าอกคู่สวย คลึงเบาๆ เล้าโลมให้สาวน้อยเกิดความเสียวซ่านเพิ่มไปอีก
“ต่อไปจะเชื่อฟังที่อาพูดทุกอย่างมั้ย” ตะวันขยับขึ้นไปกระซิบเสียงเบาข้างๆ หู แต่สาวน้อยกลับนิ่งไม่ตอบ เขารู้ว่าเธอน่ะหัวดื้อ ไม่ใช่เด็กที่ว่านอนสอนง่ายแต่ไหนแต่ไร แล้วยังถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนเสียคน เด็กดื้อแบบนี้จะให้พูดดีๆด้วยคงไม่ได้
“ไม่ตอบงั้นก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” ตะวันดันนิ้วเข้าไป ตรงส่วนที่อ่อนโยนของสาวน้อยอุ่นจัด แถมยังคับแน่นบีบรัดนิ้วเขาอีก
แพรวาร้องครางเบาๆ เหมือนเธอจะเจ็บ เขาจึงหยุดชะงัก
“เจ็บเหรอ” ตะวันก้มลงไปถามหลานสาวคนสวย ด้วยน้ำเสียงตกใจปนความกังวล
ทว่าสาวน้อยส่ายหน้าเบาๆ แทนการพูด เมื่อเธอไม่ได้คัดค้านหรือบอกให้เขาหยุด ชายหนุ่มจึงดันนิ้วเข้าไปลึกกว่าเดิมอีก ทำให้ตรงนั้นของเธอเปียกชุ่มแฉะเต็มนิ้วของเขา
เมื่อตะวันขยับนิ้วกระแทกเข้าไปถี่ขึ้น หลานสาวคนสวยถึงกับบิดสะโพกร่อนส่าย และร้องครางเสียงหลง
“เบาๆ เสียงลงหน่อยครับคนดี ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนนะ เดี๋ยวเลขาอาก็รู้หรอกว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่” ท่านประธานพูดแล้วอมยิ้มอย่างพอใจ สาวน้อยทำให้เขารู้สึกมันเขี้ยวอยากฟาดก้นสวยๆ ของเธอแรงๆ สักที
“เสียวมากใช่มั้ย แต่อาจะไม่ทำให้เธอเสร็จหรอก” เขาค่อยๆ ดึงนิ้วออก แล้วคว้าตัวเธอดึงขึ้นมาจากโต๊ะ ก่อนที่ตัวเขาเองจะกลับลงไปบนเก้าอี้ แล้วจับคว้าเอวของหลานสาวคนสวยมานั่งบนตัก ดึงคอเธอเข้ามาใก้ลแล้วจูบปากอีกครั้ง
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออกกว้าง แล้วใครคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะประตูก่อน
“เซอร์ไพรส์!” ชลธียืนนิ่งอ้าปากค้างอยู่ตรงหน้าประตู
โดยมีนาตาลียืนอยู่ด้านหลัง เธอมองคนทั้งสองตาโตลุกวาว หญิงสาวคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ ต้องไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของท่านประธาน
หญิงสาวทำงานที่นี่มาเกือบสิบปี ยังไม่เคยเห็นญาติโกโหติกาคนไหนมาเยี่ยมเยียน หรือมาหาเขาสักคน ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวที่ท่านประธานแอบคอยส่งเสียเลี้ยงดูอยู่นี่เอง มิหน่าล่ะถึงไม่ยอมมีอะไรกับเธอเสียที
ทั้งแพรวาและตะวัน หันไปมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นกอดสาวน้อยเอาไว้ แล้วหมุนเก้าอี้หันหลังให้ เพราะตอนนี้เสื้อผ้าเธอหลุดลุ่ยจนเกือบจะโป๊อยู่แล้ว
“รีบปิดประตูสิวะ!” ตะวันตวาดเสียงดังลั่นห้องทำงาน
แล้วชลธีก็รีบปิดประตูลง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอดังเอือก เมื่อเห็นหน้าสาวน้อยที่นั่งอยู่บนตักของเพื่อนรักชัดๆ เขาถึงกับเครียดขึ้นมาแทนเจ้าตัว
“มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ” ชลธีพูดพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมชอบหาเรื่องใส่ตัวนักว่ะ”
“มีอะไรรึเปล่าคะ คุณชลธี” นาตาลีกระแซะเข้ามาถามชายหนุ่มด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เด็กคนนั้น ไม่ใช่สิไม่เด็กแล้ว โตเป็นสาวขนาดนี้เลยเหรอว่ะ” ชลธีหันกลับไปที่ประตูอีกครั้ง
“ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของท่านพิภพ เดชอัสดาลกุล คุณนาตาลีรู้จักใช่มั้ยครับ”
ฟังแล้วนาตาลีแทบจะล้มตึงลงไป เพราะนั่นคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นเป็นบอร์ดบริหารคนสำคัญผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เธอเคยได้ยินว่าท่านมีลูกสาว แต่ไม่คิดว่าจะโตขนาดนี้แล้ว
“ผมขอร้องนะครับคุณนาตาลี อย่าเอาเรื่องที่เห็นเมื่อครู่ ไปพูดกับใคร”
“อ๋อ ฉันไม่กล้ายุ่งเรื่องของเจ้านายอยู่แล้วค่ะ” เธอฝืนยิ้มหลอกๆ ให้อีกฝ่าย
“ผมคิดไว้ไม่มีผิดว่าคุณนาตาลี ต้องเป็นผู้หญิงที่แสนดี หาใครเทียบไม่ได้อีกแล้ว” ชลธีคว้ามือของหญิงสาวไปจับไว้ แล้วพูดเรื่องที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ในวันนี้
เนื่องจากหลายวันก่อน เพื่อนรักของเขาบอกว่าจะให้เบอร์โทรติดต่อเลขาสาว แต่ก็เงียบหายทักไปก็ไม่ยอมตอบ แถมโทรไปก็ยังตัดสายทิ้งอีก
“เย็นนี้ คุณนาตาลีว่างมั้ยครับ ไปทานข้าวแล้วขับรถเล่นกันหน่อยดีมั้ยครับ ผมเพิ่งได้เฟอรารี่คันใหม่มา ว่าจะลอง...”
“อุ้ยว่างสิค่ะ ลีว่างเสมอสำหรับคุณชลธี” เธอรีบตอบตกลงทั้งที่ชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยค ถึงจะจับประธานบริษัทไม่ได้ แต่มีเพื่อนเขาไว้เป็นตัวสำรองก็คงไม่เสียหายอะไร
“นี่ก็จะห้าโมงแล้วไปกันเลยมั้ยครับ”
“ได้เลยค่ะ” นาตาลีเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเธอ คว้ากระเป๋าสะพายข้าง แล้วเดินไปกับชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
แต่ภายในใจยังคงคิดถึงภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ ยังเป็นอะไรที่ค้างคาใจและสงสัยอยู่ สองคนนั้นได้กันไปถึงไหนแล้ว และจริงๆ ความสัมพันธ์ของอาหลานคู่นี้เป็นอะไรกัน ชักน่าสนใจแล้วสิ
“คนเมื่อกี้ ใช่คุณอาชลธีรึเปล่าคะ” แพรวาจำได้คลับคล้ายคลับคลา แต่เพราะไม่ได้เจอกันนานมากเป็นสิบปีจึงไม่แน่ใจ
“อือ” ตะวันตอบสั้นๆ ในหัวกำลังกังวลว่าทั้งเพื่อนรักและเลขาของเขาเห็นอะไรบ้าง และกลัวว่าถ้าสองคนนั้นเอาเรื่องนี้ ไปแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ สาวน้อยอาจจะเสียหายได้
“ไปนั่งรออาที่โซฟา เดี๋ยวอาจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ จะได้ไปทานข้าวเย็นกัน” ตะวันเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วยกเอวหลานสาวคนสวยให้ลุกขึ้นยืน
“โอเคค่ะ” แพรวายอมลุกขึ้นแต่โดยดี และยอมเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างว่าง่าย
เธอนั่งจ้องคนที่นั่งจมอยู่กับกองแฟ้มเอกสาร คิ้วหนาของเขาขมวดเข้า ทำให้หน้าผากยับย่น เพราะคุณอาตะวันเป็นคนเอาจริงเอาจังทุ่มเทกับทุกอย่าง มันทำให้เธอหลงรักชายหนุ่มผู้บ้างานคนนี้ตลอดมา
เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่อยู่ข้างๆ บิดาของเธอ และทำงานทุกอย่างได้สำเร็จลุล่วง จนบิดาของเธอออกปากชมอยู่บ่อยๆ
แต่เขากลับเห็นเธอเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆ ไม่เคยเหลียวแลความรู้สึกของเธอแลย ยิ่งพักหลังๆ คุณอาตะวันก็เอาแต่คอยหลบหน้า และพยายามตีตัวออกห่างขึ้นเรื่อยๆ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่แพรวามาเรียนไกลถึงกรุงเทพ ทั้งที่ไม่อยากอยู่ห่างจากบิดา แต่เพราะอยากอยู่ใก้ลชิดกับคุณอาตะวัน เธอถึงกับสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเรียน และเอกเดียวกันด้วย
“คุณอาเหนื่อยมั้ยคะ” แพรวาอยากรู้ว่าเขาเหนื่อยบ้างมั้ย ตั้งแต่เธอมาเรียนที่กรุงเทพ ยังไม่เคยเห็นคุณอาตะวันหยุดงานเลยสักวัน
สายตาที่กำลังไล่ตรวจทานตัวเลข เกี่ยวกับงบการก่อสร้างโรงแรมใหม่ต้องหยุดชะงักลง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตากับสาวน้อย
เขาทำงานหนักตั้งแต่เธอยังไม่เกิด แต่ก็ไม่มีใครเคยถามคำถามนี้ ทุกคนคิดว่าเขาเก่งและสามารถจัดการแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าประธานบริษัทผู้เข้มงวดและเก่งกาจ ต้องลำบากและเจอกับอะไรบ้าง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เหนื่อย แต่ก็ชินแล้ว”
“พรุ่งนี้หนูไม่มีเรียน เราไปเที่ยวกันสักวันดีมั้ยคะ”
“เที่ยวเหรอ” ตะวันย้ำคำของหลานสาวคนสวย เขาไม่ได้เที่ยวเล่นนานแล้ว จนลืมไปด้วยซ้ำว่าเที่ยวคืออะไร
“ที่จริงหนูอยากชวนคุณอา ไปเดทตั้งนานแล้วค่ะ” แพรวาพูดแล้วถอนหายใจ เพราะเธออิจฉาเพื่อนๆ คนอื่นที่ได้ไปดูหนังกินข้าว แล้วไปเดินจูงมือซื้อของดูโน่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อย แต่เธอแค่จะได้ทานข้าวเย็นด้วยกันยังยากเลย
“แล้วเราอยากไปไหนล่ะ” ตะวันพูดแล้วก็ก้มหน้าลงไปที่เอกสารเช่นเดิม เพื่ออ่านทวนอีกรอบ
“นี่คุณอาตอบตกลงแล้วใช่มั้ยคะ” สาวน้อยแทบจะกระโดดตัวลอยจากโซฟา เธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ คราวนี้คุณอาตะวันไม่ได้ปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง
แพรวารู้สึกได้ว่าคุณอาตะวันเริ่มใจอ่อนลงแล้ว อย่างน้อยที่คอยตามตื๊อเขามานานก็ไม่เสียเปล่า
ภูเขาน้ำแข็งที่คิดว่ายาก และคงไม่มีวันละลายลงง่ายๆ ก็ต้องมีสะเทือนบ้างแล้วล่ะ
