ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น (1)
ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น
ฉันกลับเข้ามาในคณะตอนห้าโมงเย็น เอาเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ทำงานติดตัวมาด้วย เพราะปกติแล้วฉันต้องเข้างานเวลานี้พอดี แต่วันนี้รุ่นพี่ในคณะ นัดประชุมจึงต้องขอผู้จัดการ เข้างานช้ากว่าปกติสองชั่วโมง แน่นอนว่าต้องโดนหักค่าจ้างรายชั่วโมงไปตามระเบียบ
“น้ำค้าง”
หลังจากเลิกประชุมเวลาหกโมงกว่า ฉันที่กำลังจะออกจากห้องประชุมก็ถูกรุ่นพี่เรียกเอาไว้ เป็นพี่พีประธานชมรมของพวกเรานั่นแหละ ที่ยัยเพื่อนสองคนนั้นเคยเล่าว่าไม่ค่อยถูกกันกับนายกสโมสรมหาลัย
“พี่ฝากเอานี่ไปส่งที่ห้องสโมกลางหน่อย”
“ได้ค่ะพี่พี”
“แกไปได้ไหม ถ้าไม่ทันเดี๋ยวพวกฉันเอาไป” ระรินอาสาแต่กลับโดนจินหัวเราะใส่เบาๆ ว่า
“มันเป็นแผน แกจะไปดูผู้ชายฉันรู้”
“รู้ทันอีก แปลว่าแกก็คิด”
“ให้น้ำค้างไปนั่นแหละ แกต้องไปส่งฉันซื้อของ ลืมเหรอ”
“ฉันแค่กลัวว่ามันจะรีบไปทำงาน” ระรินเอ่ยแล้วหันมาถามฉันที่กำลังมองพวกมันเถียงกันอยู่
“ทันไหม” พี่พีถามบ้างหลังจากที่มองพวกเราคุยกันอยู่
“ทันค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปก็ได้เพราะต้องไปรอรถแถวนั้นอยู่แล้ว”
ฉันรับปากแล้วรีบเอาซองเอกสารสีน้ำตาลมาถือไว้ในมือตัวเอง ก่อนจะบอกลาเพื่อนและรุ่นพี่ กลัวว่าจะไปไม่ทันเวลาแล้วโดนหักค่าจ้างเยอะกว่านี้
โชคดีที่อาคารของสโมสรนักศึกษาไม่ได้อยู่ห่างจากคณะของเรามากนัก อยู่ถัดออกไปอีกประมาณสองตึกฉันจึงคิดว่าเดินไปถึงตึกของสโมสรแล้วค่อยเรียกรถออกไปที่ร้าน ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากมหาวิทยาลัยไปถึงร้านประมาณยี่สิบนาทีเผื่อรถติดก็คงเป็นเวลา หนึ่ง ทุ่มพอดี
“เอาเอกสารมาให้นายกสโมค่ะ ต้องเอาไปตรงไหน” ฉันถามผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยกันสี่คน หนึ่งในนั้นรู้สึกหน้าคุ้นอย่างบอกไม่ถูกแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาที่ไหน ก่อนจะเหลือบไปเห็นรุ่นพี่คณะคนหนึ่งที่พอจะรู้จักชื่อ แต่ไม่เคยคุยกันสักคำ เพราะเขาเป็นพี่ปีสี่ที่ไม่ค่อยจะสนิทกับปีหนึ่งอย่างพวกเราเท่าไหร่
ส่วนมากก็เห็นตามป้ายโปรโมท หรือไม่ก็เป็น รูปในเพจของมหาวิทยาลัย เพราะถ้าเขาอยู่ตรงนี้ก็คงไม่พ้นเป็นพวกกรรมการนักศึกษา
“เอาฝาก…”
“เข้าไปห้องนั้นเลยครับน้อง นายกอยู่ห้องนั้น”
ผู้ชายคนหนึ่งพูดไม่ทันจบก็ถูกคนที่ฉันคุ้นหน้านั้นขัดจังหวะและตบแขนข้างหนึ่งของเพื่อนที่ยื่นมารับเอกสารจากฉัน ไม่ใช่แค่ฉันที่แปลกใจแต่เพื่อนเขาก็ยังเลิกคิ้วสงสัยด้วย
“อะไรของมึงไอ้...”
“เอาไปให้เลย ในห้องนั้น” เขาไม่ตอบเพื่อน ที่กำลังสงสัยแต่หันมาบอกฉัน ที่ยืน นิ่งอยู่ที่เดิม
“ค่ะ”
ฉันเดินไปยังห้องที่รุ่นพี่คนนั้นบอก พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าห้องนี้ถูกจัดให้เป็นห้องทำงานที่มีโต๊ะทำงานอยู่สี่โต๊ะ โต๊ะที่อยู่ตรงกลางนั้นใหญ่สุดและมีเอกสารหลายอย่างวางอยู่เยอะไปหมด แต่กลับไม่เห็นใครอยู่ในนี้เลยสักคน ก็ยังดีที่มีป้ายติดเอาไว้ว่านั่นน่ะ ที่นั่งของ 'นายกสโมสรนักศึกษา'
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ฉันกำลังวางเอกสารลงบนโต๊ะ เล่นเอาตกใจจนต้องรีบหันไปมอง ก่อนที่จะสบสายตากับใครคนนั้นแล้ววินาทีต่อมาหัวใจมันก็เริ่มเต้นแรงขึ้น แถมยังหนักหน่วงจนน่ากลัว และนั่นก็มีสาเหตุมาจากดวงตาคมกริบคู่นั้นที่กำลังมองมา
สายตาแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่คิดไม่ออก
พี่ฟิวส์ นายกสโมฯ ที่พวกนั้นพากันตื่นเต้นตกใจเมื่อเช้า ตอนนี้กำลังอยู่ตรงหน้าฉันแถมยังยืนมองฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา แต่มันไม่ใช่ในทางที่ดีแน่ ไม่รู้เขาหงุดหงิดมาจากที่อื่นหรืออย่างไร
“เอาเอกสารของพี่พีมาส่งค่ะ วางบนโต๊ะ”
พูดจบฉันก็ยกมือขึ้นไหว้โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินเลี่ยงและหลบสายตาของเขาออกมาจนเกือบจะถึงประตูก็ถูกเรียกไว้อีกรอบ เสียงนั้นมันมีอิทธิพลจนทำให้ฉันรู้สึกเย็นวาบจนต้องรีบหันไปมอง
“เดี๋ยวก่อน”
“คะ”
“…เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เขาพูดแบบนั้นแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอก
“เรื่องอะไรคะ” ฉันยังไม่หายจากความตกใจหรือเพราะสายตาคู่นั้นมันทำให้หัวใจดวงเล็กเต้นแรงอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้ เสียงที่เปล่งออกมามันเลยฟังดูไม่ปกตินัก
“เรื่องรถ”
“รถ!?”
วินาทีที่ได้ยินคำนั้นสมองของฉันมันก็ตีกันวุ่นวาย เหตุการณ์ทุกอย่างหลั่งไหลมากองรวมกันจนดูยุ่งเหยิงและเกือบคิดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ตกตะกอนเป็นข้อสรุปได้ว่า ผู้ชายที่มีเรื่องกับฉันคืนนั้นคือเขา!
“พี่เองเหรอ…คะ” ฉันตกใจจนแทบจะลืมหางเสียงต่อท้าย ลอบกลืนน้ำลายลงคอแต่นั่นก็คงอยู่ในสายตาของคนตรงหน้าทั้งหมด
“เธอหนีทำไม”
“…หนูไม่มีเงินจ่าย”
“ฉันบอกแล้วว่ามีหรือไม่มีก็ต้องมาคุยกัน แต่เธอไม่ยอมรับสาย แล้วหนีแบบนี้ มันทุเรศ” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่รู้สึกได้ว่ามันแฝงไปด้วยความโมโห
“ขอโทษค่ะ” มันก็เป็นคำพูดเดียวที่ควรพูด “แต่หนูก็ติดต่อไปแล้ว พี่จะเอายังไงอีก”
“...” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มนั้นออกมา “คนอะไร ไร้สำนึก”
“หนูรีบไปทำงาน ขอตัวค่ะ”
“เอะอะก็หนี เธอชอบหนีปัญหาหรือไงวะ”
“ก็บอกว่ารีบไปทำงาน!”
ให้ตายเถอะ ปกติฉันไม่ใช่คนก้าวร้าวแบบนี้แต่เจอเขาไม่กี่นาทีฉันพูดประโยคที่ไม่น่ารักไปแล้วหลายคำ ก็ใครบอกให้มาพูดไม่ดีก่อน
“เธอหนี แล้วก็จะหนีหนี้ที่ต้องจ่ายฉันไปเรื่อยๆ”
“ก็บอกแล้วไงว่าหนูจะจ่าย ทำไมพี่พูดไม่รู้เรื่อง”
“จะเอาอะไรมารับประกันว่าเธอจะจ่ายจริง”
“บัตรหนูไง”
“...” เขาเป็นมนุษย์ที่ยั่วโมโหได้เก่งมาก เกลียดตอนที่ยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอเหมือนพวกมาเฟียในหนัง ตอนนี้แค่เห็นหน้าเขาอารมณ์ของฉันมันก็พุ่งปรี๊ดจนต้องเบือนหน้าไปมองทางอื่นแทน “บัตรนักศึกษามันไปทำใหม่ได้ เธอคงรู้อยู่แล้วนะ”
“…” ฉันเงียบ เพราะว่าเขาดันมารู้ความคิดที่เคยผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเช้า “ค่ะ ก็รู้”
“แต่เธอจะทำไม่ได้ จนกว่าจะเอาเงินมาใช้ฉันจนหมด”
“ค่ะ จะรีบหามาใช้”
“งวดแรกเมื่อไหร่”
“ไม่รู้ หนูบอกแล้วว่ากำลังจะไปทำงาน ถ้าพี่ยังถ่วงเวลาแบบนี้หนูคงไม่มีเงินมาจ่ายแน่” ฉันพูดความจริงไม่ได้โกหก เพราะตอนนี้เวลามันเดินมาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว คืนนีัคงโดนผู้จัดการร้านดุอีกแน่
“งั้นก็เชิญ อีกสามวันมาจ่ายด้วย ที่นี่ ตอนเย็นไม่เกินหกโมง ฉันจะรอ”
“ค่ะ” ฉันรับปากแล้วก็เดินออกมา
พอก้าวพ้นประตูบานนั้น ก็เหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะห้องนั้นมันเต็มไปด้วยแรงกดดันจนน่าอึดอัด รีบสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีจึงสลัดเรื่องบ้าๆ น่าโมโหนั้นออกไปแล้วรีบไปทำงานของตัวเอง
--------------
