บทที่ 6 พบเจอเพื่อนเก่า
เมื่ออยู่คนเดียวก็เหงา...
ปิ่นกานต์ถอนหายใจออกมาในคืนที่ว่างด้วยเพราะที่เป็นวันหยุดจึงไม่มีอะไรให้ทำ อีกอย่างงานที่บริษัทก็ไม่เคยปล่อยค้างทำข้ามวันเลยสักครั้ง ทุกอย่างต้องแล้วเสร็จในวันนั้นเลย
หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงเดินมาที่โต๊ะทำงานแต่กำลังจะนั่งลงที่เก้าอี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสักก่อน
“ไม่ได้ล็อก เข้ามาได้เลยค่ะ”
ประตูเปิดออก นมผ่องเดินเข้ามาพร้อมกับถุงในมือ หญิงสาวก้าวเข้าไปหาพร้อมกับยิ้มให้
“นมซักให้เสร็จแล้วนะคะ ว่าแต่นี่ชุดของใครหรือคะ?” นมผ่องเอ่ยถามขึ้นในขณะส่งถุงให้กับปิ่นกานต์ สีหน้าของหญิงสาวแม้จะยิ้มอยู่ไม่แสดงความอึดอัดออกมาแต่ลึกๆ ข้างในนั้นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบปัดคำถาม พร้อมกับเดินไปที่โต๊ะทำงานวางถุงเอาไว้
“งั้นนมไปก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณหนู” เมื่อพูดจบหญิง วัยกลางคนก็เดินออกไปจากห้องพร้อมปิดประตูลง ปิ่นกานต์เดินกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้ง ทีแรกตั้งใจว่าจะนั่งอ่านหนังสือก่อนนอน แต่ไม่แล้วดีกว่า...นอนกลิ้งไปมาเดี๋ยวก็คงหลับเอง
แต่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วไม่มีท่าทีว่าตาจะปิดลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่สมองก็เหนื่อยล้า แต่ทำไมถึงยังไม่อยากนอน ปิ่นกานต์พลิกตัวไปมาพลางถอนหายใจออกมา คงเป็นเพราะว่ามีเรื่องกังวลหลายเรื่องทำให้นอนไม่หลับ แน่นอนว่าเรื่องหนึ่งในนั้นคือเรื่องแต่งงานนั่นเอง เพื่อนในกลุ่มทุกคนสละโสดไปหมดแล้ว ส่วนเธอแม้แต่ผู้ชายที่เดินเข้ามาในชีวิตยังไม่มีสักคนเลยตอนนี้ ให้นัดบอดน่ะเหรอ? เธอไม่ต้องการความรักแบบนั้นสักหน่อย
เธออยากได้ความรัก...ในแบบที่รักกันจริงๆ
ช่างเถอะ...ไว้สักวันมันก็คงมาถึง
เช้าวันรุ่งขึ้น
ปิ่นกานต์ตื่นเช้ามาทำงานตามปกติเช่นทุกวัน อาบน้ำแต่งตัวและลงมารับประทานอาหารเช้าโดยที่บิดานั่งจิบกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แล้วหญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งด้านขวาพร้อมกับมองหน้าบิดาก่อนเอ่ยถามขึ้น
“แล้วคุณป้าล่ะคะ ยังไม่ตื่น?” ปิ่นกานต์เอ่ยถามขึ้นในขณะที่ นมผ่องตักอาหารเช้าใส่จานตรงหน้า ข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ส่งไอและกลิ่นหอมออกมาชวนน่ากิน หันมองหน้าบิดาอีกครั้งก่อนที่จะเอื้อมมือหยิบช้อนตักอาหารเข้าปาก ทั้งที่สายตายังคงชำเลืองมองผู้เป็นพ่อตลอดว่าจะตอบหรือไม่
“ออกไปแต่เช้าแล้วละ”
ทยุตตอบบุตรสาวพร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
“เหรอคะ?” ปิ่นกานต์ขานรับก่อนก้มหน้าตักอาหารเข้าปาก
“เดี๋ยวอีกสองวันพ่อจะจัดงานแถลงการณ์ประชุมให้ทั้งบริษัททราบว่าลูกจะมาทำงานแทน ส่วนพ่อคงได้วางมือสักที” ทยุตเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิที่มีบุตรสาวมากความสามารถอยู่เคียงข้าง ช่วยดูแลกิจการสืบทอด
ต่อและทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นกว่าตอนนี้
“ค่ะ” ปิ่นกานต์ขานรับ
“เดี๋ยววันนี้หนูจะเข้าไปดูโรงงานหน่อย นะคะ”
“ไปสิ เดี๋ยวนี้พ่อแก่แล้วก็ไม่ค่อยไปดู ได้แต่ส่งคนเข้าไปดูแทน” ทยุตกล่าว หากเป็นเมื่อก่อนแล้วใกล้ๆ สิ้นเดือนมักจะเข้าโรงงานเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยหรือคุณภาพด้วยตัวเอง รวมถึงพนักงานทั้งหมดด้วย
“ค่ะ” ปิ่นกานต์ขานรับเพียงอย่างเดียว เธอไม่รู้ความคิดความอ่านของบิดาจริงๆ ว่าทำไมอยู่ถึงตัดสินใจให้เข้ามาบริหารแทนอย่างเต็มตัว
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ปิ่นกานต์ลาบิดาออกมาเพื่อไปทำงานก่อน หญิงสาวยังไม่ได้เข้าบริษัทเลย แต่กลับแวะมาดูโรงงานเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของคุณภาพสินค้ารวมถึงความเรียบร้อย
หญิงสาวอ่านรายงานถึงตัวอย่างการตรวจสอบคุณภาพของไวน์ที่บ่มในรอบเดือนนี้ แต่ปรากฏว่าไม่ได้มาตรฐานตามที่ต้องการ ผลการสรุปการวิจัยชี้ออกมาว่าภายในกระบวนการหมักเกิดการบูดของยีสต์ขึ้น แสดงว่าระหว่างการหมักในถังมีอากาศเข้าไปข้างในทำให้เกิดการเน่าเสีย แต่โชคดีที่มีเพียงแค่ถังเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดเป็นทั้งหมดรับรองว่าบริษัทต้องขาดทุนไปมากมาย
ปิ่นกานต์ได้เรียกประชุมหัวหน้าจากทุกแผนกในโรงงานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีก เพราะตั้งแต่ก่อตั้งมากระบวนการหมักไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดใดๆ เลย อีกทั้งยังมีการดูแลอย่างดี ฉะนั้นแล้วการที่เธอจะขึ้นมาบริหารงานอย่างเต็มตัวก็ต้องดูแลงานทุกอย่างให้ดี และบางทีมันอาจจะทำให้แทบไม่มีเวลาหา ‘สามี’ เลยก็ได้
หลังจากจัดการเรื่องในโรงงานเรียบร้อยแล้ว ปิ่นกานต์จึงกลับมาที่บริษัทอีกครั้งซึ่งก็เกือบเที่ยงพอดี หญิงสาวตัดสินใจแวะรับประทานอาหารกลางวันในร้านใกล้ๆ บริษัท
ปิ่นกานต์เดินเข้ามาในร้านและนั่งลงในขณะที่บริกรเดินเข้ามานำเมนูอาหารมาให้
เมื่อไล่สายตากวาดอ่านไปได้ไม่ถึงสามนาทีเสียงแหลมเล็กๆ ก็เอ่ยทักขึ้นทำให้ปิ่นกานต์เงยหันมอง
“ยัยปิ่นใช่ไหม!?”
ปิ่นกานต์ขมวดคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้า สมองกำลังนึกอยู่ว่าคนคนนี้คือใคร? และแล้วก็นึกขึ้นได้ หล่อนคือเพื่อนสมัยมัธยมเมื่อนานมาแล้ว
“มิน?” ปิ่นกานต์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเป็นเชิงถาม ถ้าจำไม่ผิดผู้หญิงตรงหน้าคือมินตราเพื่อนในสมัยมัธยมปลายด้วยกัน จริงๆ มันนานมากเหมือนกันที่ไม่ได้เจอหน้ากัน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” มินตรายิ้มก่อนเอ่ยถามขึ้น “ฉันนั่งด้วยได้ไหม?”
“ได้สิ” หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
เมื่อนั่งลงแล้วบริกรจึงหยิบเมนูอาหารอีกเล่มนำมาวางลงตรงหน้า
มินตรารับและเปิดเมนูก่อนที่จะเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“ปิ่น กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน?”
“ก็นานเหมือนกันนะ”
