บทที่ 3 โลกทั้งใบกลายเป็นสีเทา
นาฬิกาหัวเตียงปลุก ทว่าร่างบางกลับยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายบอบช้ำจนแทบขยับไม่ได้ มัจจรีกัดริมฝีปากน้ำตาเอ่อออกมาอีกครั้ง เธอไม่อาจทำใจได้เลย เมื่อคืนจักรินทร์ออกไปจากห้องเธอเกือบตีสี่ มันตักตวงหาความสุขไม่หยุดหย่อน แล้วกำชับสำทับอีกว่าไม่ให้บอกใคร ใครจะกล้าเอ่ยปาก เรื่องทุเรศที่มันกระทำกับเธอได้
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอรีบยกมือปาดน้ำตาออก
“ใคร!” มัจจรีตะโกนถาม
“นึกเอง ยังไม่ไปที่ครัวหรือไง เดี๋ยวก็สายหรอก”
“ฉันไม่ค่อยสบายน่ะนึก ไปก่อนได้ไหม”
“ไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวจะบอกคุณผู้หญิงให้ เผื่อแกจะหยุดงานสักวันน่ะมัจ”
“บอกคุณผู้หญิงให้เลยก็ได้”
“เออๆ” สมนึกรับคำแล้วเดินจากไป
ร่างบางล้มตัวลงนอน น้ำตาไหลรินออกมา จะมีหน้าไปพบคุณพิมพิมลได้อย่างไร เธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันทรมานจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย
โต๊ะอาหารเจ้านายนั่งประจำที่เรียบร้อย พิมพิมลยิ้มให้สามีเช่นทุกวัน แต่ทว่าในใจของจักรินทร์กลับรู้สึกบางอย่าง ในหัวดันคิดถึงแต่เนื้อนวลเพิ่งได้ครอบครอง เขาไม่ได้เห็นหน้าเธอเลย พยายามกวาดตามองหา ดูเหมือนมัจจรีไม่ได้อยู่ในห้องทานอาหารเสียด้วยซ้ำ
“วันนี้มัจไม่สบายค่ะคุณจักร”
จักรินทร์ยิ้มให้ภรรยา “แล้วใครทำอาหารล่ะพิม”
“ก็ศจีกับสมนึกน่ะค่ะ สมใจมันทำอาหารไม่อร่อย” พิมพิมลหัวเราะแผ่ว
“คงทำได้เหมือนกันล่ะมั้ง แต่ผมติดฝีมือมัจไปแล้วน่ะสิ เล่นทำอาหารอร่อยซะขนาดนั้น”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ” คุณผู้หญิงของบ้านเห็นด้วย
วันนี้มีอาหารเช้าแบบง่ายๆ ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก และขนมปัง ปกติแล้วสาวใช้ทำอาหารเช่นนี้ให้เจ้านาย อาหารเที่ยงเป็นต้นไปถึงมีหลากหลาย พอมีมัจจรีมาทำงานเลยทำให้คนอื่นสบายไปด้วย พิมพิมลเห็นว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เลยตัดสินใจรับแม่ครัว เพราะสาวใช้ที่มีฝีมือทำอาหารค่อนข้างแย่ แม่ครัวเก่าก็แก่มากจนกลับไปพักที่บ้านเกิดแล้ว
จบมื้ออาหารพิมพิมลยืนรอส่งสามีหน้าบ้านเช่นเคย เมื่อเห็นรถเคลื่อนออกเธอเดินกลับเข้าด้านใน ตรงไปยังบ้านไม้ร่มรื่นซึ่งสร้างไว้สำหรับพักผ่อน มันตั้งอยู่กลางสระน้ำขนาดหนึ่งไร่ มีปลาแหวกว่าย น้ำตาไหลเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกเย็นชุ่มช่ำ
“คุณผู้หญิงจะทานอาหารว่างไหม ใจได้ไปเตรียมให้” สมใจคนรับใช้ข้างกายอาสา
“ก็ดีนะ อาหารเช้าวันนี้ทำเอาฉันไม่อยากอาหารเลย คิดถึงฝีมือมัจจัง ตอนนี้สบายดีหรือยังก็ไม่รู้”
“โอ้ย คนอย่างพวกเราไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณผู้หญิง พักสักวันสองวันก็หาย”
พิมพิมลไม่ได้โต้ตอบ เพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น แล้วหันไปสนใจกับไหมพรมตรงหน้าต่อ สมใจเลยออกมาจากบ้านน้อยกลางน้ำเพื่อนำอาหารว่างมาให้เจ้านาย
ร่างบอบช้ำในห้องค่อยๆ พยุงกายเข้าห้องน้ำ น้ำตามันเหือดแห้งไปตอนไหนไม่รู้ เธอจำต้องกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดทั้งกายและใจ สายน้ำช่วยผ่อนคลาย ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มทรมาน เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา ยิ่งปวดร้าวจนแทบยืนไม่ไหว ไม่อยากทำอะไร อยากปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไปตามกรรม
คนรักของเธอ... คงไม่มีหน้ากลับไปหาแล้ว
คงต้องหาทางหนีทีไล่ ถึงอย่างไรเธอไม่มีทางอยู่ที่นี่เพื่อระบายความใคร่ให้คนชั่วอย่างจักรินทร์แน่นอน แต่จะหนีไปทางไหนได้เล่า ในเมื่อบ้านเกิดก็กลับไม่ได้ มีหนทางไหนให้เลือกเดินบ้าง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดัง เจ้าของห้องสะดุ้งทันที แต่เธอเชื่อว่าเวลานี้เขาคงไม่มา มัจจรีรีบแต่งกายเริ่มแง้มประตูเปิดออก เห็นสมนึกยืนอยู่ด้านหน้า สมนึกมองเพื่อนร่วมงานสีหน้าตระหนก ทำไมริมฝีปากของมัจจรีถึงบวมช้ำราวกับถูกทำร้ายมาเช่นนั้น
“มัจแกเป็นอะไร ทำไมปากแตกแบบนั้น!” สมนึกถามด้วยความเป็นห่วง
มัจจรีรีบหลบ “ล้มน่ะ”
สมนึกรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่ดูเหมือนมัจจรีไม่อยากให้ยุ่งวุ่นวาย
“แล้วเป็นยังไง หายดีหรือยัง”
“อืม ดีขึ้นแล้ว”
“เย็นนี้จะทำครัวไหวไหม”
“คงไหวแหละ เย็นๆ ฉันจะไปช่วยแล้วกันนะนึก”
สมนึกตีหน้าเครียด “อืม ฉันไปก่อนนะ คุณผู้หญิงเป็นห่วงแกมากนะ”
ได้ฟังคำพูดเพื่อน ทำเอาเธอแทบอยากปล่อยโฮออกมา รู้สึกผิดเสียจนอยากหนีไปจากที่นี่เสียตอนนี้เลย มองสมนึกเดินห่าง รีบปิดประตูลงโถมกายลงบนเตียง ปล่อยน้ำตาให้รินไหล เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
“มัจหายดีแล้วเหรอ” พิมพิมลถามสาวใช้ซึ่งยืนรอปรนนิบัติ
“ยังค่ะ”
“แต่นี่ฝีมือมัจไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ พอดีมัจมันมาเข้าครัวให้ค่ะคุณผู้หญิง”
จักรินทร์เหลือบมองภรรยา แล้วตักอาหารใส่ปาก อมยิ้มด้วยความสุข บางอย่างในหัวกำลังผุดพรายขึ้นมา จบมื้ออาหารเขาพาภรรยาไปยังห้องนั่งเล่น พูดคุยกันพักใหญ่จึงถากันเข้าห้องเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
เข้านอนในช่วงห้าทุ่ม จักรินทร์แสร้งหยิบคอมพิวเตอร์มาทำงานปล่อยให้ภรรยานอนหลับ เขาเหลือบดูเวลาตีหนึ่งครึ่งชะโงกหน้ามองภรรยา แล้วย่องออกจากห้องเพื่อไปยังเรือนด้านหลัง
มาถึงหน้าห้องพักของมัจจรี เขายืนฟังว่าคนในห้องหลับหรือยัง ทว่าเสียงกลับเงียบหรือหลับไปแล้ว หันหลังคิดเดินกลับ ทว่ากลับได้ยินเสียงสะอื้นขึ้นมาแทน เลยหยุดเท้าหันกลับมา ง้างมือเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก
มัจจรีชะงักสีหน้าตื่นตระหนก ดึกดื่นขนาดนี้คงไม่มีใครแน่
“ใคร!” หญิงสาวตะโกนถาม เสียงแข็ง
“เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิมัจ” จักรินทร์บอกเสียงอ่อน
“คุณกำลังคิดจะทำอะไร คุณจักรินทร์!” เธอย้อนถามเสียงแข็ง
“อะไรกันมัจ ลืมไปแล้วเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน ฉันมาหาเมียมันผิดเหรอ”
“ใครเมียแก ไอ้คนสารเลว แกทำร้ายฉัน ฉันไม่ได้สมยอม ไสหัวไปให้พ้น!”
“ด่าผัวตัวเองแบบนี้มันใช้ได้หรือมัจ ถ้าไม่เปิดฉันจะบอกเรื่องของเราให้คุณพิมรู้ ทีนี้จะได้ไม่ต้องปิดบังกัน ฉันได้ขอมัจเป็นเมียอีกคน แบบนี้ดีไหมล่ะ” จักรินทร์แสร้งขู่
คนในห้องกัดฟันกำมือแน่น เธอไม่อยากให้คุณพิมพิมลรู้ แค่เท่านี้มันก็น่าอดสู่พออยู่แล้ว จักรินทร์ผู้ชายสารเลว ยังมีหน้ามาเรียกร้องให้เธอทำตามใจมันอีก
“อยากบอกก็บอกไปเลย!”
คนนอกห้องกัดฟันแน่น “ก็ได้”
เสียงฝีเท้าหุนหันจากไป ทำเอามัจจรีใจเสีย หรือเขาจะทำจริงๆ หากเรื่องนี้คุณพิมพิมลรู้ เธอคงช็อกแน่ กระโจนไปถึงหน้าประตูเปิดออกด้วยความตกใจ ทว่าคนด้านนอกกลับไมได้ไปไหน
