2 ข่มขวัญ
ตึกสูงสี่สิบเอ็ดชั้นที่ตั้งตะง่านอยู่ตรงหน้า เหมือนกับรอคอยการมา เยือนของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีเนื้อ กระโปร่งย้วยลายดอกสีน้ำตาลเข้ม เสียงฝีเท้าที่เดินเข้าไปภายในดังเป็นจังหวะสมํ่าเสมอ บ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเองของเจ้าหล่อนเป็นอย่างดี
“ดิฉันมาขอพบคุณเขมชาติค่ะ” พริมโรสบอกพนักงานที่เคาน์เตอร์ติดต่อประสานงาน
“นัดไว้หรือเปล่าคะ” ถามอย่างเป็นมิตร
“เปล่าค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ท่านไม่ว่างค่ะ คุณฝากเรื่องไว้ที่นี่ก็ได้ นะคะทางเราจะจัดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูแลให้”ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ไม่ได้ค่ะ ดิฉันมาธุระส่วนตัว”
คงเป็นเพราะคําว่าธุระส่วนตัว ที่พริมโรสพูดออกไปทําให้พนักงานคนนั้นมองหน้าเธออย่างพิจารณา แต่ก็ไม่สามารถมองพริมโรสได้นาน เมื่อสาวมั่นอย่างเธอมองกลับอย่างไม่สะทกสะท้านจนทําให้ คนที่มองอยู่ก่อนเป็นฝ่ายถอนสายตาไปเอง
‘...ผู้หญิงอะไร ตาดุชะมัด’
“เดี๋ยวดิฉันจะลองสอบถามกับคุณพรรณารายเลขาของคุณเขมชาติให้นะคะ” เพราะบุคลิกของผู้หญิงตรงหน้าไม่เหมือนผู้หญิงที่ทั่วไปที่มาตามตื้อเจ้านาย ทําให้พนักงานประชาสัมพันธ์อย่างกนกอรต้องชั่งใจอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจโทรถามคุณพรรณาราย
ดูจากการแต่งตัวท่าทาง การพูดผู้หญิงคนนี้ดูเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมาก และมีบางอย่างที่ทําให้นึกถึงเจ้านายโดยที่เธอเองไม่ทันจะรู้ตัว
“จะให้เรียนว่าใครมาขอพบคะ” ถามอีกครั้งเพื่อจะได้รายงานถูก
“ทนายความ...มาขอพบค่ะ”
“คะ” ก่อนจะกลอกเสียงไปตามที่พริมโรสบอก เพราะแววตาอันดุดันที่มองมาเหมือนจะเตือนว่า ถ้าไม่พูด ...เธอนั่นแหละ...ตาย
เมื่อวางสายเสร็จ เจ้าตัวก็เดินออกมายืนหน้าเคาน์เตอร์ พร้อมกับเดินนําทางไปที่ลิฟต์ “เชิญทางนี้ค่ะ ดิฉันจะพาคุณขึ้นไปพบท่านเอง”
เมื่อลิฟต์พาทั้งสองขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของตึกกนกอรก็ขอตัวกลับ ปล่อยให้พริมโรสเผชิญหน้าอยู่กับสตรีวัยสามสิบตอนปลาย คนนี้คง ชื่อคุณพรรณาราย กับชายร่างยักษ์สองคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนไทยคน หนึ่งและคนต่างชาติอีกคนหนึ่ง
‘นึกว่าจะกลัวเหรอ...’
“ดิฉันมาขอพบคุณเขมชาติค่ะ” พูดอย่างไม่กลัวบอดี้การ์ดร่างยักษ์สองตนที่ยืนตีหน้าเคร่ง
“ต้องรอสักครู่นะคะ พอดูคุณเขมชาติกำลังเซ็นต์เอกสารสำคัญอยู่
“ได้ค่ะ” พริมโรสเอ่ยตอบไปแล้วนั่งรอตรงโซฟานุ่ม
“ไม่ทราบว่าท่านจะเซ็นต์เอกสารอีกนานมั้ยค่ะ”
“เสร็จแล้ว เข้ามาได้” คราวนี้เป็นเสียงคนที่อยู่ในห้องดังลอดออกมา
“เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงผู้หญิงคนเดียวในหมู่ยักษ์ดังขึ้น พร้อมกับ เคาะประตูห้องพอเป็นพิธีก่อนพาพริมโรสเข้าไปข้างใน
“ขอบคุณค่ะ” กล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้ ทําเอาคนที่พาเข้าไป กับคนที่นั่งรออยู่ในห้องถึงกับชะงักไม่คิดว่าผู้มาเยือนจะยิ้มได้สวย ขนาดนี้
เขมชาติเงยหน้าจากกองเอกสารเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ พริมโรสยิ้ม ให้กับเลขาของเขา ทําเอามือที่กําลังเซ็นงานอยู่ชะงัก ก่อนจะปิดแฟ้มตรงหน้าเอนหลังพิงพนักมองหน้าคนมาใหม่อย่างสนใจ แต่แววตาคนตรงหน้ากลับเหมือนนางเสือที่พร้อมจะขยํ้า เหยื่อได้ทุกเวลา
“เชิญนั่งสิ!”
เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีแม้กระทั่งลุกขึ้นยืนแล้วเชิญให้นั่ง ตามมารยาทที่พึงจะมี เขมชาติก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่า ทําไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยและผ่อนคลายเมื่อเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้
แต่เขากล้า สาบานได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอผู้หญิงคนนี้
“ขอบคุณค่ะ” ตอบสั้น ๆ พร้อมกับนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจกับอาการที่ถูกผู้ชายตรงหน้ามองอย่างสํารวจ
“ดิฉันชื่อพริมโรส เป็นพี่สาวของพิชชภรณ์ ดิฉันมาที่นี่เพราะเรื่องของน้องสาวดิฉันกับนายเขมกรน้องของคุณ” ไม่มีการกล่าวยืดเยื้อเข้าเรื่องทันทีอย่างไม่ต้องรอให้ใครถาม
แทนที่จะเข้าเรื่องตามความต้องการของพริมโรส เขมชาติกลับถามในเรื่องที่เขาสงสัยมาตั้งแต่แรกและเป็นเรื่องที่ทําให้ทั้งให้เขางงเรื่องที่เธอบอกว่าทนายมาขอพบ
“ทําไมต้องบอกว่าเป็นทนายมาขอพบ”
“ทนายชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นคนว่าความในคดีความต่าง ๆ หรือจะพูดให้ง่ายถ้าน้องชายคุณไม่รับผิดชอบก็เจอกันที่ศาล” หญิงสาวตรงหน้าสบตากับเขมชาติอย่างไม่สะทกสะท้านในขณะพูด
เป็นครั้งแรก...นี่เป็นครั้งแรก ที่มีคนกล้าสบตาของเขาอย่างนี้
พูดจบก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองคนตรงหน้าอย่างสบายใจ ด้วยกริยาไม่ต่างกัน...
‘อย่านึกว่าไอ้หน้าโหด ๆ ของนายจะข่มขวัญฉันได้ล่ะก็...คิดผิดไป แล้วพวก’......
‘ผู้หญิงคนนี้ร้ายไม่เบา...’ เขมชาติค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินอ้อมมายืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนขอบโต๊ะตรงหน้าของพริมโรส
“แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไร ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนทำให้น้องสาวคุณท้อง” ชายหนุ่มถามพร้อมทั้งก้มหน้ามองอย่างค้นหาคําตอบ
“คุณไม่ต้องทำอะไร แค่ให้น้องชายของคุณรีบโผล่หัวออกมา เพราะดิฉันจะไม่ยอมยกน้องสาวให้กับคนที่แม้แต่ชีวิตก็เลือกทางเดินให้กับตัวเองไม่ได้” น้ำเสียงที่เด็ดขาดและแววตาที่เหี้ยมขึ้นทําให้คนฟังต้องคิดและถามใหม่อีกครั้งอย่างลองเชิง
“มันไม่สายไม่หน่อยเหรอ! ในเมื่อน้องสาวคุณอุ้มท้องลูกของน้องชายผมอยู่”
“เพราะแบบนี้ไง..ฉันถึงต้องมาเตือนก่อน”
“คุณมาเตือนผิดคนแล้วล่ะ เพราะผมเขมชาติ...ไม่ใช่ เขมกร”
“ไม่ผิดหรอก...เพราะดิฉันไม่ได้ตั้งใจมาแค่นี้” เขมชาติลอบมองหน้าผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าอย่างสนใจ แววตาที่เหมือนจะฆ่าคนได้กลับมีแววของรอยยิ้มปนอยู่
เขายิ้มอย่างถูกใจอะไรบางอย่าง ยิ้มอย่างคนที่มีแผนบางอย่างที่มากกว่านั้น ยิ้มแบบที่เขามักใช้เสมอเวลาที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาวางไว้อย่างจงใจ โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว
“ดิฉันแค่ต้องการจะทําให้ใครบางคนสะดุ้ง อยู่ไม่เป็นสุขบ้างก็เท่า นั้นเอง...”
ก่อนที่พริมโรสจะพูดจบ หรือเขมชาติจะได้ถามต่อ ประตูห้องทํางานก็ถูกเปิดออกอย่างไม่มีการเคาะล่วงหน้า เป็นจังหวะเดียวกันกับพริมโรสที่รีบลุกจากเก้าอี้ไปกอดชายหนุ่มตรงหน้า หรือถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่ากระโจนเข้าไปกอดเขมชาติที่นั่งอยู่ตรงหน้า
ทําเอาทั้งคนที่ถูกกอดและคนที่เข้ามาใหม่ทุกคนชะงัก เพราะไม่มีใครล่วงรู้ความคิดของพริมโรสได้ว่าต้องการอะไรกันแน่ ต่างฝ่ายต่างนิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง โดยที่เขมชาติเผลอโอบตัวพริมโรสไว้ตอนที่หญิงสาวกระโจนเข้าใส่ ส่วนพริมโรสนั้นไม่ต้องพูดถึง ก้มหน้าซบอกชายหนุ่มอย่างสบายอารมณ์
ถ้ามองจากสายตาของคนภายนอกแล้ว เหมือนกับว่ากําลังเข้ามาขัดจังหวะของหนุ่มสาวที่กําลังพลอดรักกันอยู่ เป็นผลให้หญิงสาวที่เปิดประตูเข้ามาใหม่กํามือแน่นด้วยความโกรธ
‘กล้าดียังไงมาแย่ง พี่เขมของฉัน...’
