บทที่ 2
“จะอะไรก็ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจคิดแล้ว ตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อิสระดี ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ต้องถูกซัก ถูกจับผิด” แรกๆ ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้รุ้งไพลินพยายามไม่คิดมาก ทำใจให้ยอมรับการอยู่ร่วมกัน แต่หลังๆ เริ่มไม่ไหว จนต้องเลี่ยงพบหน้าดลยาไปเลยก็ว่าได้ ซึ่งรายนั้นเหมือนจะรู้ ยิ่งเธอหลบหน้าก็ยิ่งเข้าหา พูดจาเสียดสีไม่ได้หยุดปาก คิดแล้วก็หน่ายแทน
“อืมม์...เอาแบบที่แกสบายใจนะแหละ ฉันยังไงก็ได้ เงินแกนี่”
“งั้นลงไปข้างล่างกันเถอะ ป่านนี้เซลล์คงรอคุณผู้หญิงอย่างฉันแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณผู้หญิง คุณผู้หญิงรุ้ง” ภัสสรเอ่ยล้อรุ้งไพลิน สีหน้าคนล้อก็ยียวนดีแท้
“หยุดพูดเลยนะแก ฟังแล้วจั๊กจี้หู” รุ้งไพลินยกมือขึ้นปิดปากภัสสรไว้ แต่คนชอบแกล้งก็ยังไม่หยุดเพราะยังอุตส่าห์ปัดมือเพื่อนออกเพื่อจะล้อต่อ
“คุณผู้หญิง คุณผู้หญิง วันนี้จะจ่ายเงินสดหรือจ่ายเช็คดีคะ” คนฟังได้แต่ส่ายหน้าให้เพื่อน ก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากห้อง ขายาวๆ เดินตรงไปยังลิฟต์โดยมีภัสสรตามมาติดๆ พอเข้ามาในลิฟต์ได้ทั้งสองก็พร้อมใจหัวเราะก๊ากออกมา ถ้าได้อยู่แพ็คคู่แบบนี้ทีไรก็มักจะเป็นลูกคู่ให้กันและกัน คนหนึ่งเอ่ยคนหนึ่งเสริม สร้างเรื่องเฮฮาตามประสา
เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ที่ตอนนี้รุ้งไพลินได้รับการต้อนรับประหนึ่งนางพญา แรกๆ พนักงานขายคิดว่าเธอก็แค่แวะผ่านมาดูโครงการคอนโดมิเนียมเหมือนคนอื่นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะซื้อเลย เพราะท่าทางรุ้งไพลินก็ไม่ได้บ่งบอกว่ารวยขนาดนี้ แต่งเนื้อแต่งตัวก็ธรรมดาแทบหาของแบรนด์เนมประดับบารมีไม่มีสักชิ้น จะมีเพียงต่างหูเพชรเม็ดงามที่สวมติดอยู่คู่เดียวเท่านั้นที่โดดเด่นเปล่งรัศมี
รุ้งไพลินจรดปลายปากกาเซ็นเช็คเงินสดจ่ายค่าคอนโดมิเนียม สมบัติชิ้นล่าสุดที่เธอซื้อด้วยเงินที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนเสียชีวิตและสัญญาว่าจะทำงานเก็บเงินที่เสียไปในครั้งนี้ให้กลับคืนมาในบัญชีให้เร็วที่สุดพร้อมดอกเบี้ย ชีวิตเธออาจโชคดีกว่าคนอื่นที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวมีอันจะกินก็ว่าได้ อยากได้อะไรก็ได้ แต่พ่อกับแม่ก็มักจะสอนให้รู้จักคุณค่าของเงินมาตั้งแต่เด็กๆ นี่ถือเป็นการใช้เงินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยใช้มา ครั้งนี้สำหรับรุ้งไพลินคือความจำเป็นจริงๆ
ครอบครัวเธอประสบความสำเร็จด้านธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารที่มุ่งเน้นสาขายังต่างประเทศ ด้วยรสชาติอาหารแบบไทยๆ จึงเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้า แต่พ่อและแม่กลับมาด่วนเสียชีวิตจากไปเพราะอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน รุ้งไพลินจึงเติบโตภายใต้การดูแลจากพี่ชายที่ชื่อรณรุต ซึ่งปัจจุบันแต่งงานกับดลยาทายาทนักธุรกิจห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เรียกได้ว่ากิ่งทองใบหยกก็คงไม่ผิด
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างรุ้งไพลินกับดลยานั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก เนื่องจากพี่สะใภ้ดูแต่จะรักและเอาใจใส่เพียงแค่สามีคนเดียว ไม่สนใจน้องสามีอย่างเช่นที่ควรจะทำก่อนแต่งงาน ว่างหน่อยก็หมั่นหาคำพูดแขวะรุ้งไพลินอยู่ร่ำไป ความที่ไม่อยากมีปัญหาเกิดเรื่องบาดหมางในครอบครัวขึ้น รุ้งไพลินจึงอดทนกระทั่งหญิงสาวอดทนไม่ไหวจึงตัดสินใจแยกออกไปอยู่คนเดียวยังคอนโดมิเนียมแทนการมาอยู่บ้านหลังใหญ่โต
หลังจากจัดการเรื่องคอนโดเสร็จ รุ้งไพลินและภัสสรก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ของใช้บางอย่างรุ้งไพลินสั่งเตรียมไว้แล้ว เพราะเรื่องที่จะย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียมหญิงสาววางแผนมานานพอสมควร ทั้งคู่ดูจะเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อของใช้ พอได้มาเดินเลือกของแต่งห้องใหม่เองแบบนี้ก็สนุกเพลิดเพลินไปอีกแบบ กระทั่งสองชั่วโมงผ่านไปสองสาวจึงหย่อนตัวลงบนโซฟาตัวนุ่มภายในร้านอาหาร ตอนเดินช้อปปิ้งแม้จะสวมรองเท้าส้นสูงอยู่ก็ไม่หวั่น แต่พอนั่งเท่านั้นอาการเมื่อยก็เข้ามาเล่นงาน
“โอ๊ย…ปวดแข้ง ปวดขา อยากเข้าสปา”
“เมื่อยล่ะสิ” รุ้งไพลินอมยิ้มถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ร้องโอดโอยเหมือนคนแก่ ภัสสรนวดขาตัวเองไปมา ก็วันนี้การแต่งตัวไม่ค่อยจะอำนวยสำหรับการเดินช้อปสักเท่าไหร่ เพราะเธอเล่นใส่ส้นสูงตั้งหลายนิ้วเดินไปเดินมาทั่วห้างแบบนี้ก็ย่อมเมื่อยเป็นธรรมดา
“อื้อ...มาก สงสัยจะแก่แล้ว”
“เหรอ...แก่ไปคนเดียวเลยนะ เราไม่แก่ด้วยหรอก” คำแซวของรุ้งไพลินทำเอาคนฟังย่นจมูกให้
“แหมๆ ทำเป็นไม่ยอมแก่ ถึงตอนนี้อายุจะแค่ยี่สิบต้นๆ แต่อีกหน่อยก็ขึ้นเลขสาม เลขสี่ เลขห้า จากน้องสาว พี่สาว น้า อา ป้า ย่า ยาย ย่าทวด ยายทวด” เมื่อถึงขั้นทวดแบบนี้ รุ้งไพลินก็ยกมือห้ามทันที
“พอๆ ยายน้ำ จะอยู่ยงคงกระพันจนถึงทวดเลยหรือไง”
“ก็จะได้อยู่มองหน้าลูกหลานไงแก”
“จะอยู่เป็นภาระของลูกหลานมากกว่ามั้งแกนะ” คำพูดของรุ้งไพลินทำเอาภัสสรหัวเราะออกมา เพื่อนรักคนนี้รู้ใจไปเสียหมดจริงๆ
“แม่น” ว่าที่ยายหรือย่าทวดในอนาคตอย่างภัสสรยิ้มร่ารับ ก่อนจะเอ่ยอีกเรื่องที่ยังกังวลอยู่ ไปๆ มาๆ หัวข้อการสนทนาก็วกกลับไปหารณรุตและดลยาอีกรอบ
“แล้วนี่พี่รุตรู้หรือยังว่าแกจะย้ายไปอยู่คอนโด”
“ยัง”
“อ้าววววว” คนถามร้องอ้าวยาวๆ
“คิดจะบอกเย็นนี้”
“ฉันนึกหน้าพี่สะใภ้แกออกเลย” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ดีนะที่เธอเป็นลูกโทน ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหาพี่สะใภ้แบบที่รุ้งไพลินกำลังประสบพบเจออยู่ตอนนี้ก็เป็นได้
“พอกัน แค่คิดหน้าพี่เอมก็ลอยมาทันที ชวนท้องอืด” คำพูดเปรียบเทียบของรุ้งไพลินทำเอาภัสสรส่ายหน้า ใจหนึ่งก็เข้าอกเข้าใจเพื่อนรักตัวเอง แต่อีกใจก็เผื่อสำหรับเหตุผลของดลยา พี่สะใภ้ของรุ้งไพลินเหมือนกัน เพราะรายหลังคงมีเหตุผลที่ทำแบบนี้
เท่าที่รู้จักดลยาไม่ใช่ผู้หญิงร้ายกาจอะไร เพียงแค่ช่วงนี้อารมณ์แปรปรวนหนักเพราะกำลังตั้งท้องที่อารมณ์ดังกล่าวปะทะกับอารมณ์ติสต์ของรุ้งไพลินเข้าอย่างจัง เพราะเพื่อนเธอชอบแนวสงบ เมื่ออีกฝ่ายเยอะมาทางนี้จึงถอยห่าง บวกกับความไม่ชอบเด็กเป็นทุนเดิมจึงยอมถอยหลายๆ ก้าว
“เฮ้อ...แต่ก็ว่าแหละ คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก อยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่เราสบายใจพอ แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่ดีสำหรับแกเหมือนกันนะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” พูดไปภัสสรก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม เข้าใจอยู่คนเดียว ส่วนคนฟังอย่างรุ้งไพลินคิ้วขมวดชนกันเรียบร้อย
“ยังไง...งง”
“ก็นัดแรก แกจะได้ไม่ต้องปะทะกับพี่สะใภ้ นัดที่สองก็หลาน อีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้วไม่ใช่เหรอ แกยิ่งนางงามรักเด็กมากอยู่ด้วย” รักเด็กมากคือคำประชด เพราะรุ้งไพลินนั้นไม่ได้รักเด็กเลยต่างหาก ถ้าน่ารักน่าเอ็นดูก็พอไหว แต่ถ้ามาแนวดื้อ กินนกหวีดเป็นอาหารหลักแทนนมแม่ พอเจอสายตาเพื่อนสาวเธอขู่ไป จอดมานักต่อนักแล้ว
“บ้า...หลานฉันนะ จะไม่ชอบได้ยังไง” ส่วนคนที่ถูกสบประมาทก็แย้งทันที
“ให้จริง”
“ก็ไม่แน่ คลอดมาก่อนค่อยว่ากัน ฉันอาจรักอาจหลงเลยก็ได้” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รุ้งไพลินกลับยิ้มแห้งๆ บ่งบอกความไม่มั่นใจใดๆ ให้ภัสสรที่ยิ้มรับอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ความสงสัยในบางสิ่งบางอย่างจะทำให้สีหน้าของภัสสรดูจริงจังขึ้นมาทันใด
“แกสงสัยเหมือนที่ฉันสงสัยไหม”
