บทที่ หนึ่ง ความเจ็บปวดมิอาจลืม
ประเทศไทย
บ้าน กิจเจริญทรัพย์ ทุกคนมานั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคน อินธรหัวหน้าครอบครัวได้หันไปมองหน้าลูกสาวคนเดียวของเขาด้วยความเหนื่อยใจ จะให้ทำยังไงได้ก็เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญ จะให้ลูกสาวเอาแต่ใจไม่รู้จักโตแบบนี้ได้ไง ถึงจะรู้ว่ารู้สาวของตนมีอดีตกับชายหนุ่มคนนั้นก็ตาม แต่มันเป็นหน้าที่ไม่ควรจะเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวด้วย
“ว่าไงวินนี่หนูจะไปไหม? ” อินธรถามลูกสาวอีกครั้งหลังจากถามไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน
“แล้วคุณพ่อยังจะถามวินนี่อีกเหรอคะ ถึงยังไงวินนี่ก็ต้องไปอยู่ดี”หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทางแง่งอนผู้เป็นพ่อ
“โธ่...วินนี่หนูโตแล้วนะอย่าทำตัวเหมือนเด็กได้ไหม ถ้าลูกไปรัฐ เรยาร่าให้พ่อในครั้งนี้ต่อไปนี้พ่อจะไม่บังคับอะไรวินนี่อีกเลยและจะไม่ขอให้วินนี่ทำอะไรเลยนะลูกช่วยพ่อสักครั้งเถอะ เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราด้วย”
“ก็ได้ค่ะคุณพ่อ หนูตกลงจะไปไม่ใช่เพื่อคุณพ่อนะ แต่หนูทำไปเพื่อหน้าที่ของลูกที่ดี”
“ต้องอย่างนี้สิวินนี่ลูกพ่อ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปกอดลูกสาวด้วยความรักและความหวงแหน
“แม่ว่าแล้วลูกของแม่ต้องเป็นคนมีเหตุผลเสมอ” หลังจากนั่งฟังอยู่นานพิสมัยก็เอ่ยขึ้นบ้างด้วยความปลื้มใจเมื่อเห็นพ่อลูกรักกัน หล่อนก็ลุกไปกอดสองพ่อลูกอีกคน จนทำให้สาวใช้อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นเจ้านายมีความสุข
“แต่ว่า...” ระหว่างทุกคนกำลังมีความสุขอยู่นั้นแพรไหมก็พูดขัดขึ้นจนทำให้อินธรและพิสมัยผละออกจากลูกสาวตัวดีทันที
“แต่อะไรอีกลูก? ” อินธรถามลูกสาวทันทีที่ผละออก
“คุณพ่อต้องยอมให้วินนี่เอายัยเจนนี่ไปเป็นเพื่อนด้วย โอเคไหมคะ ถ้าไม่โอเควินนี่ก็จะไม่ไป”
“ได้สิลูกเรื่องแค่นี้เอง ทำไมจะไม่ได้แล้วลูกชวนหนูเจนนี่หรือยัง อีกสองวันลูกต้องเดินทางแล้วนะไหนจะต้องเตรียมตัวอีก”
“ค่ะคุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนูโทรชวนยัยเจนนี่และขออนุญาตกับคุณลุงวิชัยเรียบร้อยค่ะ”
“นี่...ก็แสดงว่าหนูตัดสินใจจะไปตั้งแต่ตอนแรกแล้วใช่ไหมแต่แกล้งงอนพ่อ ร้ายนักนะลูกคนนี้” อินธรเอ่ยด้วยความเอ็นดูลูกสาว เขาไม่คิดว่าลูกสาวเขาจะเจ้าเล่ห์ จนเขาและภรรยาตามไม่ทัน
“คิกๆๆ ช่วยไม่ได้คุณพ่อใจอ่อนกับหนูเอง อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับหนูนะว่า จะไม่ขอและไม่บังคับวินนี่อีก และอีกเรื่องหนึ่งที่หนูอยากบอกคุณพ่อและคุณแม่คือ ถึงหนูจะเกลียดท่านชีควาคิมยังไง แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว หนูลืมไปหมดแล้วอะไรที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นค่ะ”
“ต้องแบบนี้สิลูกแบบ อย่าอ่อนแอให้พวกผู้ชายไม่ดีได้ใจ” พิสมัยดึงลูกสาวเข้ามากอดอีกครั้งหนึ่งด้วยความรักสุดชีวี
สนามบินเรยาร่า
แพรไหมและพิรัณญาลากกระเป๋าออกมาจากช่องผู้โดยสารขาออกเพื่อมารอคนของ ชีค วาคิม อับดุลลาห์ ชาอิด มูฮัมหมัด และระหว่างพวกเธอยืนรออยู่นั้นก็มีชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนล่ำสันสองคนเดินมาหาพวกเธอ
“สวัสดีครับคุณแพรไหม กิจเจริญทรัพย์ ลูกท่านรัฐมนตรีจากประเทศไทยใช่ไหมครับ”
ซาลัสได้รับคำสั่งจากชีควาคิมให้มารับแพรไหมไปคฤหาสน์กลางทะเลทราย เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวในรูปกำลังเดินออกมาจากช่องผู้โดยสารขาออกเขาก็ตรงเข้าไปถามทันทีด้วยภาษาอังกฤษที่ใช้สำเนียงได้ถูกต้อง เพราะเขาอ่านประวัติของหญิงสาวก่อนจะมาที่นี่ในประวัตินั้นบอกว่าเธอพูดภาษาอาหรับไม่ได้เขาเลยต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับแพรไหม
“ค่ะฉันแพรไหม และนี่ก็เพื่อนฉันที่มาด้วยชื่อ พิรัณญา” หญิงสาวตอบกลับด้วยภาษาสากลอย่างคล่องแคล่วหญิงสาวรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีคนมารอรับไปที่พัก
“แล้วพวกคุณสองคนชื่ออะไรคะฉันจะได้เรียกพวกคุณถูก” แพรไหมถามกลับทันทีเมื่อมีโอกาส
“ผมชื่อซาลัส คนสนิทของชีควาคิม และนี่อามีน คนสนิทของชีคราชิด ครับ คุณแพรไหม คุณพิรัณญา”
“ค่ะคุณซาลัสและคุณอามีนยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” พิรัณญาเอ่ยทักทายพวกเขาด้วยความเป็นมิตร ยิ้มหวานส่งให้ทั้งสองหนุ่ม จนทำให้ซาลัสและอามีนอายจนหน้าแดง
“ขะ...ขะ...ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณแพรไหมและคุณพิรัณญาครับ” อามีนตอบตะกุกตะกัก เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักเท่านี้มาก่อนเลยยกเว้นสาวใช้ที่คฤหาสน์ที่ชื่อปาปารีหนึ่งเดียวในใจเขา
“เรียกวินนี่กับเจนนี่จะดีกว่านะคะ เพราะว่าชื่อภาษาไทยของเราอาจจะเรียกยาก” แพรไหมเอ่ยบอกซาลัสและอามีนให้เรียกชื่อเล่นของพวกเธอก่อนซาลัสและอามีนจะถือกระเป๋าพวกเธอไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ที่หน้าสนามบิน
“คุณซาลัสคะพวกเราจะไปพักที่ไหนคะ? ” แพรไหมเอ่ยถามทันทีที่รถวิ่งออกจากสนามบิน
“พวกเราต้องเดินทางไปที่คฤหาสน์นิสรีนที่อยู่กลางทะเลทรายเรยาร่า ซึ่งเป็นคฤหาสน์ของท่านชีคของพวกผมครับ” อามีนตอบคำถามนี้แทนซาลัส เพราะซาลัสกำลังใช้สมาธิในการขับรถอยู่
“ค่ะเข้าใจแล้ว” แล้วแพรไหมก็หันมาชวนพิรัณญาคุยชี้ชวนให้พิรัณญาดูสิ่งก่อสร้างที่ประณีตไปเรื่อยๆ จนทั่งมาถึงจุดต้องเปลี่ยนรถที่จะนั่งไปทะเลทรายก็ยังไม่หยุดคุย ส่วนซาลัสและอามีนที่นั่งอยู่ในรถมากับพวกเธอก็ฟังไม่รู้เรื่องกับภาษาที่พวกเธอพูดกันได้แต่เงียบอยู่ตลอดเวลา
คฤหาสน์ นิสรีน
ฝั่งชีควาคิมได้แต่เดินไปเดินมาอยู่หน้าคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนได้รับโทรศัพท์จากซาลัสว่าใกล้จะมาถึงคฤหาสน์แล้ว จนทำให้ชีคราชิดอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมพี่ชายของตัวเอง ไม่รู้จะดีใจอะไรหนักหนาถึงได้บังคับให้เขามายืนรอเป็นเพื่อนด้วยก็แค่ตัวแทนจากประเทศไทยมาร่วมงานเฉยๆ ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรพิเศษกว่าตัวแทนจากประเทศอื่นเลย
“ท่านพี่จะเดินแบบนี้อีกนานไหม? ตอนนี้น้องเริ่มจะเวียนหัวกับท่านพี่แล้วนะ อีกอย่างจะดีใจอะไรขนาดนั้นทำยังกับจะได้เจอคนรักที่ไม่ได้เจอกันนานเป็นชาติ!...” ชีคราชิด อับดุลลาห์ ชาอิด มูฮัมหมัด วัย 27 ปีน้องชายของชีควาคิม ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับผู้เป็นพี่ พูดด้วยความหมั่นไส้กับอาการดีใจจนออกนอกหน้าของพี่ชายจนทหารที่เฝ้าคฤหาสน์และสาวใช้ดูกันใหญ่กับกิริยาท่าทางท่านชีคใหญ่ของพวกเขาจนทำให้เขาทนดูไม่ได้กับท่าทางของพี่ชายที่ดูร้อนรนเกิดเหตุ
ชีควาคิมหยุดเดินในทันทีเมื่อได้ยินน้องชายพูดว่า “คนรัก” เขาก็เดินเข้าไปนั่งรอในห้องโถงของคฤหาสน์ นั่งคิดว่าทำไมน้องชายของเขาถึงเดาแม่นขนาดนี้แต่ก็ช่างเถอะยังไงน้องชายเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเคยเป็นคนรักของเขาตอนที่เขาไปดูแลธุรกิจที่ประเทศไทย
“ท่านพี่โกรธน้องเหรอถึงได้เดินหน้าบึ้งเข้ามา? ” ชีคราชิดเดินตามมานั่งข้างๆ พี่ชายที่ทำหน้าบึ้งใส่เขาก่อนจะเดินเข้ามานั่งในห้องโถง
“เปล่า!...” ชีควาคิมตอบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักที่โดนน้องเหน็บแนมถูกทุกข้อกล่าวหา “พี่ไม่คุยกับน้องแล้วราชิดพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้น่ารำคาญ” พร้อมกับเดินไปรอหน้าคฤหาสน์ดังเดิม
“นี่ขนาดไม่โกรธนะยังทำหน้าแบบนี้ ถ้าโกรธจะเป็นยังไง” ชีคราชิดเอ่ยไล่หลังผู้เป็นพี่ไป และเดินตามผู้เป็นพี่ไปอีกครั้ง
ด้านแพรไหมและพิรัณญาตั้งแต่อามีนบอกว่าใกล้จะถึงคฤหาสน์แล้ว ทั้งสองคนก็นั่งรถด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นคฤหาสน์กลางทะเลทราย จนลืมคิดไปเลยว่าเจ้าของคฤหาสน์นั้นทำให้เธอเจ็บปวดมากเพียงไรเมื่อ 2 ปีก่อน
“วินนี่แกดูสิในทะเลทรายแบบนี้ยังสร้างคฤหาสน์ได้สวยขนาดนี้” พิรัณญาชี้ให้แพรไหมดูคฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ถึงคฤหาสน์นิสรีนแล้วครับ คุณผู้หญิงทั้งสอง” หลังจากเงียบมาตลอดการเดินทางซาลัสก็เอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงคฤหาสน์แล้วลงมาเปิดประตูรถให้สองสาวลงจากรถส่วนอามีนเดินไปหลังรถเพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางของทั้งสองคนขึ้นไปยังคฤหาสน์
ด้านชีควาคิมเมื่อเห็นรถวิ่งเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์เขาก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่สังเกตเห็น ซึ่งวันนี้เขาใส่ชุดโต๊บสีขาวเหมือนชาวอาหรับทั่วไปและมีผ้าโพกหัวสีขาวเหมือนชาวอาหรับทั่วไป ส่วนชีคผู้น้องใส่ชุดโต๊บสีน้ำตาลอ่อนและมีผ้าโพกหัวสีขาวเหมือนชาวอาหรับทั่วไปเช่นกัน
“เชิญครับคุณวินนี่ คุณเจนนี่ท่านชีคยืนรอต้อนรับอยู่ตรงนั้นครับ” ซาลัสผายมือไปทางขึ้นคฤหาสน์
แพรไหมมองไปตามมือของซาลัสไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพบกับผู้ชายคนที่เธอเกลียด หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอเขาเร็วแบบนี้ยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงต้องได้เจอชายหนุ่ม แต่มันเร็วเกินกว่าหัวใจเธอจะรับไหว หญิสาวจึงหยุดเดินกระทันหันจนทำให้พิรัณญาเดินชนเข้าด้วยความไม่ทันระวัง
“วินนี่แกเป็นอะไรทำไมไม่เดินขึ้นไป? ”
พิรัณญาเอ่ยถามแพรไหมแต่เพื่อนสาวเธอไม่ตอบเอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน แล้วพิรัณญาก็มองตามสายตาของแพรไหมก็พบกับคำตอบที่เพื่อนของเธอหยุดเดินขึ้นมาเฉยๆ ก็จะอะไรซะอีกก็ผู้ชายสารเลวที่ทิ้งเพื่อนของเธอไปเมื่อสองปีก่อนกำลังยืนยิ้มอยู่ข้างบน ถึงจะรู้ว่านี่เป็นบ้านเมืองของเขา แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วแบบนี้อ่ะ
ซาลัสเดินนำขึ้นไปนานแล้วแต่ไม่เห็นแพรไหมและพิรัณญาเดินตามไปสักทีเขาก็เลยเดินย้อนกลับมาหาอีกครั้งเพื่อเรียกให้ตามไป
“วินนี่แกเป็นอะไรมากไหม? ”
พิรัณญาถามแพรไหมอีกครั้งก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากแพรไหมเหมือนเดิมจนพิรัณญาเป็นห่วงว่าเพื่อนของเธอจะเป็นอะไรไป แล้วอยู่ๆ แพรไหมก็เป็นลมล้มลงทันที ยังดีที่อามีนยังถือกระเป๋าอยู่ข้างหลังของพวกเธออามีนเลยเข้ามารับทันไม่งั้นเพื่อนของเธอคงตกบันไดขึ้นคฤหาสน์ไปแล้ว
