ตอนที่2. แต่งงาน
รับปากพ่อมาเป็นสัปดาห์ แต่สโรชาก็ยังไม่ได้ไปดูเรือนหลังนั้นของแม่เลย ถึงเธอจะไม่ได้ช่วยงานที่บริษัทของพ่อ แต่เธอก็มีงานแปลหนังสือที่สร้างรายได้ไม่มากไม่น้อยให้เธอได้ภูมิใจในตัวเอง ตั้งแต่เธอเอาฉโนดที่ดินฉบับนั้นมาไว้ในห้องหนังสือที่เป็นห้องทำงานของเธอด้วย เธอมักจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้อยู่เสมอ ทั้งที่ในห้องก็ไม่มีแจกันดอกไม้หรือใช้น้ำหอมปรับอากาศอะไรเลย
เสียงเคาะประตูหน้าห้องสองสามครั้งก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น สโรชาหันไปมองตามเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้แล้วเธอก็มีสีหน้างุนงงสับสน อาการของเธอทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว
“ทำงานหนักไปหรือเปล่าครับน้องบัว”
“พี่ธีร์” เธอเรียกเขาเหมือนไม่มั่นใจ บางครั้ง ความทรงจำของเธอสับสน นั้นเป็นเหตุผลที่พ่อผลักไสเธอไปเรียนต่างประเทศหลายปี แท้จริงเธอไปรักษาตัวเองด้วย
“พี่ไม่อยู่บ้านไม่กี่วัน ลืมหน้าสามีคนนี้แล้วหรือครับ”
ธีรภัทรยิ้มแล้วลูบผมยาวของหญิงสาวอย่างทะนุถนอม นึกน้อยใจที่เธอมักทำหน้าเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าเสมอ และที่น่ากังวลกว่าคือเธอทำเหมือนลืมว่าเขาเป็นสามี ทั้งสองแต่งงานได้ครึ่งปีแล้ว และเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่คฤหสาน์ของพ่อตา ตามคำขอร้องของคุณมนตรีและอาดาวฉาย
“ขอโทษค่ะ บัว...บัวยังไม่ชินจริงๆ” หญิงสาวรู้สึกผิด เขาดีกับเธอทุกอย่าง เอาอกเอาใจ ดูแลใส่ใจในทุกเรื่องของเธอ แต่เธอมักลืมไปจริงๆว่าตัวเองแต่งงานแล้ว
ใช่...เธอแต่งงานแล้ว
เป็นงานแต่งงานที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายมีเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ สโรชาไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทอะไรนักและงานแต่งที่จัดแบบเร่งด่วน จะนึกถึงเพื่อนคนไหนก็ยากจะติดต่อได้ แต่ในส่วนลึกแล้ว เธอก็ไม่มั่นใจว่าอยากให้ใครรู้เรื่องที่เธอแต่งงานหรือเปล่า สโรชาแต่งงานกับธีรภัทรตามคำสั่งของพ่อ ทั้งที่เธอก็ไม่มั่นใจนักว่าชีวิตคู่ครั้งนี้จะไปรอดแค่ไหน พ่อออกคำสั่งตั้งแต่เธอกลับจากอังกฤษเพียงไม่กี่วัน
“บัวเพิ่งเคยเจอพี่ธีร์แค่ไม่กี่ครั้งเองนะคะคุณพ่อ”
สโรชาอ้อนวอนผู้เป็นพ่อ เธอไม่ได้รังเกียจผู้ชายที่พ่อเลือกให้ แต่เธอเพิ่งเจอเขาไม่กี่ครั้ง พ่อก็บอกเธอแต่งงานกับเขาแล้ว แต่พ่อกลับตะคอกใส่จนเธอทำตัวลีบเล็กอย่างหวาดกลัว แม่ของเธอตายจากตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แทบจำอะไรเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลย แต่เพราะเป็นความสุขของพ่อ เธอจึงไม่อยากขัดใจ และที่ผ่านมาถึงพ่อจะเจ้าชู้แต่พ่อก็มีเธอเป็นลูกคนเดียว ทรัพย์สินเงินทองมรดกของพ่อมีมากนักซึ่งได้รับมาจากปู่ย่า ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวและพ่อเป็นห่วง ฐานะของครอบครัวก็ไม่ได้ลำบากอะไร
แต่ที่พ่อบังคับให้เธอแต่งงานกับธีรภัทรด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นทนายประจำบริษัทและเป็นทนายประจำตระกูล พ่อไว้ใจและคิดว่าเขาสามารถดูแลเธอและธุรกิจของพ่อได้ เธอพยายามปฎิเสธไม่ยอมแต่งงานแต่กลายเป็นว่าพ่อดุด่าหาว่าเธออกตัญญู สโรชาจึงจำใจต้องแต่งงานกับธีรภัทร
“ยัยบัว แกมันเด็กหัวอ่อนตามใครไม่ทันหรอก ผู้ชายคนนี้พ่อดูมานานแล้ว เขาเป็นคนดีไว้ใจได้ไม่มาหลอกแกแน่ๆ”
“แต่บัวไม่ได้รักพี่ธีร์”
“อยู่ๆ กันไปมันก็รักกันเองนั้นแหละ หรือแกจะอกตัญญูไม่ตอบแทนพระคุณคนเป็นพ่ออย่างฉัน ห่ะ!”
พอยกคำนี้มาทีไร เธอก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเอง งานแต่งงานของเธอกับธีรภัทรจึงเกิดขึ้นหลังการผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาพบกัน สโรชาพบหน้าพ่อกับแม่ของธีรภัทรแค่ครั้งเดียวก่อนแต่งงาน ดูท่าทางเป็นคนน่าเกรงขาม แม้ไม่ได้ขัดขวางแต่สีหน้าก็ดูไม่ยินดีนัก
“อย่าคิดมากเลยค่ะน้องบัว พี่ชายอาก็หน้าดุแบบนี้แหละ” ดาวฉายหัวเราะคิกคัก หญิงสาวได้แต่ทำใจกล้ายกมือไหว้พ่อแม่สามีอย่างอ่อนน้อมทำให้ทั้งสองมองเธอดีขึ้นมานิดนึง
“อย่ากลัวเลยครับน้องบัว พี่ธีร์จะรักและทะนุถนอมน้องบัวไม่ทำให้คุณพ่อต้องผิดหวัง”
คำสัญญาของเขาไม่ได้ทำให้หัวใจเธออบอุ่น ทว่ามันกลับไร้เรี่ยวแรงคล้ายว่าต่อไปนี้ชีวิตของเธอ ไม่ใช่ของเธออีกแล้ว
“น้องบัว”
“คะ...พี่ธีร์ว่าอะไรนะคะ”
สโรชาตื่นจากภวังค์ มองชายหนุ่มตรงหน้า ธีรภัทรพาดเสื้อนอกกับพนักเก้าอี้ที่ว่าง เขายิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองดูหนังสือเล่มหนาหลายเล่มกับสมุดงานตรงหน้าเธอ
“กินข้าวหรือยังครับ”
“เอ่อ...” หญิงสาวจะบอกว่ากินแล้ว แต่พอนึกดูนี่ก็เย็นแล้ว เธอคงจะลืมกินข้าวเที่ยงไปอีกแล้วละซิ
ชายหนุ่มยังคงยิ้มให้ เขาเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเธอแล้วพยักหน้า “ไปทานข้าวกับพี่นะ แล้วค่อยมาทำงานต่อก็ได้”
“ค่ะ”
ถึงอย่างไรเขาก็ดีกับเธอ แต่งงานกันแล้วก็จริงแต่ยอมแยกห้องไปนอนอีกห้อง เพราะเธอเองที่ยังไม่คุ้นกับเขา เธอได้แต่หวังว่าเขาจะอดทนกับเธออีกสักนิด.
