#เป็นเมียพ่อหมอ 2 (1)
แพรวพราวค่อยๆ วางผ้าดึงให้ตึงแล้วถูไปตามพื้นเรือน นี่คือวันที่สามที่หล่อนอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องปรับตัวอย่างแรงกล้า เพราะวันๆ ต้องคลุกอยู่กับการทำงานบ้านงานเรือน แถมข้าวที่ได้กินก็เป็นเพียงห่อข้าวใบตองกับปลาย่างตัวเล็กๆ และน้ำพริกแห้ง บางอย่างที่คนรวยไม่ติดดินอย่างเธอไม่รู้จัก ห่อข้าวนิดเดียวพอทน (เพราะเธอชอบไดเอต) แต่น้ำพริกอะไรไม่รู้โคตรเผ็ด แต่พอจิ้มกินกับปลาย่างก็อร่อยดี แต่ผักที่แกล้มมาเป็นไปได้เธอจะเอาไปให้สุนัขที่พ่อครูคันศรเลี้ยงไว้กินแทน
สุนัขตัวนั้นเป็นสุนัขจรจัด เป็นหมาพันธุ์ไทยหลังอานตัวสีดำสนิท หน้าตาดูดุแถมยังตัวใหญ่ แต่เพราะแพรวพราวเป็นทาสหมามาก่อน เธอเคยเลี้ยงสุนัขจรจัดอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นเรื่องบังเอิญจากความใจบุญของพ่อ แต่ถ้าให้เล่าคงยาว ตอนนี้ก็คิดถึงเหมือนกันแต่กลับไปไม่ได้แล้ว แต่ผักน่ะให้กินเพราะไม่อยากกินด้วยล่ะนะ แต่มันก็ยอมกินให้อย่างเอร็ดอร่อย
ว่านอนสอนง่าย น่ารัก กินง่ายอยู่เป็น ชอบมาอ้อนขอผักขอข้าวจากหล่อนได้สองวันแล้ว
ไม่รู้ว่าพ่อหมอนั่นตั้งชื่อมันว่าอะไรเพราะวันๆ หน้าเธอเขาแทบไม่อยากจะมอง ก็เลยตั้งชื่อให้มันว่า ‘โรเบิร์ต’ แทน
ก็ถ้าทานอะไรเหลือ ดูอีกฝ่ายจะหน้าบึ้งบูด เขาดูรำคาญหล่อนทุกวินาที ถึงจะไม่แสดงออกมาตรงๆ
เวียนกลับมาที่ปัจจุบัน
สาวเจ้าโก่งโค้งถูพื้นด้วยความยากลำบาก เพราะไม่เคยทำงานอะไรพวกนี้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว สักพักเอวก็เคล็ดจนต้องลุกขึ้นยืนร้องโอดโอย เธอออกกำลังกายและเล่นโยคะเป็นประจำเนื่องจากพอเป็นดาราก็ต้องควบคุมสรีระ แถมยังต้องคุมอาหารเพื่อให้หุ่นสวยตลอดเวลา แต่บางทีถ้าทำงานหนักไม่มีเวลาจนหุ่นที่เซ็ตมาพัง ก็ต้องพึ่งทางลัดบ้างอะไรบ้าง (อย่างเช่นฉีดแฟต)
แต่ต้องยอมรับว่าการออกกำลังกายกับเทรนเนอร์แล้ว การทำงานบ้านเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่ามาก เรียกได้ว่าออกกำลังกายมันเฉพาะส่วน แต่พอทำงานบ้านเหมือนได้ออกทุกส่วน
ถูพื้นเรือนไปจนหมดหนึ่งห้องก็แทบหอบ หล่อนจึงมานั่งพักอยู่หลังกระไดเรือนติดกับป่ากล้วย พอเป็นตอนกลางวันก็ดูน่ากลัวน้อยลงหน่อย จึงวักน้ำจากตุ่มมาล้างหน้าล้างตาที่ชื้นเหงื่อ
แต่ยังพักไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างสูงใหญ่ในชุดไทยโบราณที่ยืนอยู่บนกระไดเรือน สาวเจ้าสะดุ้งโหยงนึกว่าผี ไม่ชินกับบรรยากาศไทยๆ จนบางครั้งก็ตกใจที่เขาปรากฏตัวเงียบๆ แบบไม่บอกไม่กล่าว
“ถูเรือนเสร็จแล้วหรือ?” เขาไขว้หลังหน้าตึงกวาดสายตามองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ในห้องบูชาอย่าได้ยุ่มย่ามเป็นอันขาด กูจักดูแลของกูเอง ในนั้นมีพ่อแก่ ฤาษี มิควรชิดของต่ำ”
“...”
“อ้อ...” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนิ่งชะงักไป เขาเลยฉีกยิ้ม “หมายถึงผ้าขี้ริ้วน่ะ ที่กูว่าเป็นของต่ำ”
“จ้ะ” หล่อนรับคำ แอบฉุนหน่อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนโดนเหน็บทางอ้อม แต่ก็ช่างมัน เธอเป็นคนสวยจิตใจงามที่ไม่ถือสาปากหมาๆ ของใครสักคนอยู่แล้ว เพราะมั่นใจในตัวเองมากพอว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คนพวกนั้นพูด หล่อนคือของสูงที่สูงจนเรียกได้ว่าหนาว! “เสร็จไปห้องหนึ่งเจ้าค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ?”
“โอ่งมังกรที่มึงวักล้างหน้าอยู่นั้น ใกล้เหือดเต็มทีแล้วเห็นหรือไม่”
“คะ?” แพรวพราวรู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาด เขาพูดเหมือนกำลังจะใช้ให้หล่อนไป...
“หาบน้ำมาเติมให้เต็มโอ่งเสีย”
ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อหมอหน้าหล่อคนนั้นจะกล้าใช้ดาราดังอย่างเธอไปแบกตุ่มน้ำ ที่เป็นเพียงคานหาบถังไม้เล็กๆ ที่ดูเหมือนวนรอบเดียวยังไม่ถึงครึ่งโอ่งด้วยซ้ำ อีแบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ หล่อนขัดเคืองใจเหลือเกิน อยากจะจับหัวเขามาเขย่าๆ ให้หลุดมาทั้งหัวว่าคิดบ้าอะไรอยู่ แต่เพราะตอนนี้ตัวเองถือเบี้ยต่ำกว่า เลยทำได้เพียงแค่กัดฟันกรอดเดินหาบถังไม้ไปตามทางลาดดิน ฝ่าป่าดงกล้วยไปอย่างไม่กลัวตาย
“แถวนี้เป็นป่ากล้วยขนาดใหญ่ เมื่อพ้นจากป่าไปจักมีหมู่บ้านเล็กๆ เมื่อข้ามหมู่บ้านเล็กๆ ไปจักเป็นท่าน้ำใหญ่”
คิดถึงการบอกทางที่เป็นรูปประโยคกว้างๆ ที่หาสาระสำคัญอะไรไม่ได้ของหมอผีหน้าหล่อคนนั้นแล้วก็ได้แต่เจ็บใจ ถ้าที่นี่เป็นยมโลกและเธอก็เป็นวิญญาณแล้วจริงๆ บุญที่สร้างมาควรทำให้แพรวพราวสามารถเหาะเหินลอยอยู่บนอากาศได้บ้างสิ (ก่อนตายเธอเคยร่วมเงินสร้างโอบสถ วิหารเจดีห์หลักหลายล้าน) เหมือนวิญญาณตามปกติน่ะ แต่ทำไมคราวนี้เหมือนหล่อนจำต้องเดิน เดินและเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ต้นกล้วยก็ใหญ่โตบดบังทางไปจนหมด เสียงนกอีการ้องแสกหน้าดังอยู่เป็นระยะๆ ทั้งที่ในพื้นที่แห่งนี้ไม่ควรมีสัตว์จำพวกนี้อยู่ด้วยซ้ำ แถมแสงตะวันส่องลงมาเสียดแทงก็สว่างโร่จนแสบตา
หล่อนไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเชื่อฟังเขาด้วย เพราะไม่มีทางเลือกก็คงใช่ แต่แบบนี้มันไม่ใช่สถานะที่เคยเป็นอยู่เลยสักนิด
คอยดูเถอะถ้ารอดไปได้แม่จะเล่นให้ไม่มีที่ยืนเลยคอยดู
ไม่ว่าจะโหนกระแสหรือรายการแฉ หรือแม้แต่ข่าวใส่ไข่ เธอจะไปออกรายการเหล่านั้นแล้วทำลายชีวิตเขาด้วยพลังโซเชี่ยลให้พังทลายแบบย่อยยับไม่มีชิ้นดี (ถ้าสมมุติว่าตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ) ให้มันรู้ไปว่าแฟนคลับของเธอพอรวมตัวแล้วช่างมีพลังแกร่งกล้าแค่ไหน
เดินฮึดฮัดนึกขบฟันหาวิธีแก้แค้นพ่อครูคันศรอยู่สารพัดวิธี แต่ไม่ทันไรก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเวียนกลับมาที่ต้นกล้วยสูงๆ ต้นเดิม ต้นที่ผลกล้วยสุกเต็มต้นนั่นแหละ เธอเดินผ่านต้นกล้วยต้นนี้มาสองครั้งแล้ว
“นี่หลงป่ากล้วยเหรอเนี่ย?” หญิงสาวแทบกุมขมับ แต่สมัยออกกองถ่ายละครก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีงานที่สมบุกสมบันบ้าง เธอปอกเปลือกกล้วยเครือหนึ่งไว้ให้ลอกทั้งหมดเพื่อเป็นจุดสังเกตง่ายๆ แล้วตัดสินใจเดินต่อไป
และแล้วก็เป็นต้นเดิม เครือที่ปอกเปลือกกล้วยออกด้วยฝีมือหล่อนนั่นเอง แพรวพราวมองซ้ายมองขวาหาเส้นทางใหม่ เธอไม่มีเข็มทิศจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเดินไปถึงส่วนไหนของป่า และป่ากล้วยมันลึกแค่ไหน
แต่ดูจากสายตาตอนอยู่ที่เรือนไทยนั่น ก็ลึกอยู่พอประมาณ
แล้วแบบนี้จะไปต่อทางไหนดีล่ะ!
ตัดภาพมาที่เรือนไทยใหญ่ ในขณะเดียวกันพ่อครูคันศรก็กำลังนั่งทางในและรู้ได้ว่าอีกฝ่ายที่ออกเพทุบายให้เข้าไปหาบน้ำในป่ากำลังหลงอยูในป่ากล้วยรกชัฎ ดวงหน้าชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามอย่างรุนแรงที่สุด
“หญิงโง่ แถมยังวิปลาส กูปลูกป่าด้วยคาถาลวงตาเช่นนี้ มึงมิมีทางหลุดรอดไปจากป่านี้ รวมถึงหลุดไปเป็นเมียพระยาสิงห์แน่”
เท่านี้อีแพรวก็จะไม่สามารถทำร้ายคุณหญิงวาดรักได้อีกต่อไป
“ผีกะ จงไปเอาชีวิตนางกลางป่าเสีย” เขาเรียกภูตผีบริวารของตนออกมาจากหม้อดินลงผ้ายันต์ใบใหญ่เก่าแก่ที่เปื้อนเลือดพร้อมกับลอกผ้ายันต์ออก มวลสารปรากฏเป็นผีกะตายโหงตนหนึ่ง ดวงหน้าสะอิดสะเอียนผิดรูปมิต่างจากศพคนเดินดินค่อยๆ จางหายไป ดวงหน้าคมคายจึงกรีดยิ้มชั่ว
“มึงมีรอดดอก กูจักกำจัดมึงให้สิ้น!”
ในขณะที่อีกฝั่ง แพรวพราวกำลังประสบวิกฤตครั้งใหญ่
เธอเดินมาที่ต้นกล้วยที่ผลสุกเต็มต้นต้นเดิมอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าได้แล้ว ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ฟ้าเริ่มฝ้าฟางกลายเป็นสีส้มกล่ำ เหงื่อกาฬของหล่อนค่อยๆ ไหลลงตามขมับจนมาถึงคาง
แพรวพราวกัดฟันทนไม่ยอมร้องไห้ออกมาทั้งที่อยากร้องเต็มเหนี่ยว เธอไม่มีรองเท้า เมื่อเดินบนดินร้อนๆ เป็นเวลานาน ฝ่าเท้าจึงเริ่มแสบและเป็นแผล หญิงสาวสวยยืนแหงนหน้ามองฟ้าที่ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ก่อนที่จะเริ่มพ่นลมหายใจ
“ถ้าฉันตายจริงๆ ก็ดี...”
“แม่หญิง แม่หญิงคนนั้นน่ะ!”
แต่ก็ต้องผวาเฮือกเมื่อทันทีที่ฟ้าตกสีชาด ก็บังเกิดเสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้นกลางป่า ทั้งที่เสียงดังมากแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นหน้าหรือเห็นตัว
“คะ... ใคร!” หญิงสาวลืมตัวเผลอตอบรับพลางชะงักงันรีบเอามือปิดปาก หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าลมเพลมพัด? แบบนี้เธอขานรับไปแล้วจะเป็นอะไรไหม เพราะมันไม่เห็นมีคนเดินมาทางนี้เลยนอกจากน้ำเสียงทุ้มพร่าที่โผล่ขึ้นกลางป่าที่ฟ้าเริ่มกำลังจะมืด เวลานี้เขาเรียกเวลาโพล้เพล้สินะ
“แม่หญิง แม่หญิงที่ขานรับข้า ได้โปรดเดินมาทางขวาขอรับ!”
เสียงนั้นใกล้ขึ้นอีก เป็นเสียงทุ้มต่ำแหบห้าวแต่ให้ความรู้สึกหลอนแปลกๆ เพราะรอบตัวเธอมีแต่พงกล้วย สีหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือด ไม่ว่ายังไงก็ไม่กล้าเดินไปตามที่เสียงนั้นบอกแน่ จึงส่ายหน้าหวือกับตัวเองโดยไม่ส่งเสียงออกมา
“...”
“แม่หญิง เชื่อใจกันเถิด ข้ามาช่วยท่าน”
“ละ... หลอกกันชัดๆ เป็นผีใช่ไหมล่ะ!” สุดท้ายก็อดไม่ได้เผลอตอบกลับไป
“ผีเผอกระไร ข้านี่แหละคนเป็นๆ” เสียงที่ลอยมาตามลมเจือเสียงกลั้วหัวเราะเย็นๆ
“แล้วทำไมไม่ออกมาให้เห็นตัวล่ะ!” คราวนี้เธอหลับตาถามไปตรงๆ เสียงนั้นจึงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่ดงกล้วยจะเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนมีสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ กำลังก้าวตรงมาทางนี้ แพรวพราวแตกตื่น เธอเริ่มพนมมือสวดมนต์ทุกคาถาเท่าที่นึกออก
แม่! ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังแม่ ขอโทษที่ใช้เงินพ่อสุรุ่ยสุร่าย แต่ก็โอนคืนแล้วนะ
พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย!
แซ่ก!
“กรี๊ด!”
