บทที่ 7 ต่อปากต่อคำ
ภายในงานเลี้ยงผู้คนต่างกินดื่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังร่วมกันอวยพรให้เซวียนชินอ๋องอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เซวียนชินอ๋องรู้สึกมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก
มู่หลานเฟินที่สลัดเซวียนซานหลางออกมาได้แล้วก็กลับมาหาเซวียนเจ๋อ นางไม่มีสหายเป็นสตรีสักคน ทำได้เพียงตัวติดกันอยู่กับเซวียนเจ๋อญาติผู้พี่สองคน ต่างคนต่างรินสุราให้กัน เซวียนเจ๋อนั้นคออ่อน ดื่มไปเพียงไม่กี่จอกก็เมาเสียแล้ว นางจึงสั่งให้คนพาเขากลับไปพักที่เรือนนอนเสีย ส่วนตนก็นั่งมองสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อย
ตั้งแต่ทะเลาะกันครั้งนั้นอวี้หลิงป้ามหาภัยก็ไม่บังคับอะไรนางอีก แม้จะด่าทอนางและเซวียนเจ๋ออยู่บ้าง แต่ดูเหมือนจะลารามือไปบ้างแล้ว
"เจ้าดูสิ คนเราน่ะ ไม่มีสหายคบหาก็เป็นเช่นนี้ละ ต้องนั่งโดดเดี่ยว เล่นกับก้อนหินใบหญ้า ช่างน่าสงสารยิ่งนัก"
อยู่ๆก็มีเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นมา มู่หลานเฟินเงยหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเหล่าสตรีน้อยที่มาร่วมงาน หนึ่งในนั้นมีสวีเมิ่งเหยารวมอยู่ด้วย
สวีเมิ่งเหยายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย
"พวกเจ้าจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ไปทำไมกัน นางน่ะน่าเห็นใจออก นอกจากจะไม่มีคนคบหาแล้ว ฐานะยังต่ำต้อย ตระกูลคหบดีน่ะเทียบไม่ได้กับตระกูลขุนนางอย่างพวกเราหรอก แต่บิดาข้าเคยสอนข้าว่า คนเราไม่ควรแบ่งแยกสูงต่ำ ควรมองกันที่จิตใจ"
“สวีเมิ่งเหยาเจ้าช่างใจกว้างโดยแท้”
สตรีอีกคนที่อยู่ในกลุ่มคุณหนูผู้สูงศักดิ์เอ่ยยกยอสวีเมิ่งเหยาจนนางตัวลอย
มู่หลานเฟินเมื่อได้ฟังก็เบ้ปากคราหนึ่ง สวีเมิ่งเหยาเป็นพวกซ่อนเข็มไว้ในผ้าแพร ภายนอกดูอ่อนโยนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ภายในกลับซ่อนความอำมหิตเอาไว้
สตรีน้อยอีกคนหันมามองมู่หลานเฟิน ก่อนจะเอ่ย
"จริงอยู่ที่ว่าคนเราไม่แบ่งสูงต่ำ แต่ควรจะเจียมตน ไม่ใช่วันๆคิดใฝ่สูงแต่จะอาจเอื้อมตำแหน่งชายาซื่อจื่อ ช่างไม่เจียมตนเสียจริง"
สวีเมิ่งเหยายกยิ้มมุมปาก นางต้องการให้สตรีน้อยเหล่านี้เอ่ยวาจาเหน็บแนมมู่หลานเฟินจนนางเกิดโทสะและระเบิดอารมณ์ด้วยการตบตีคนออกมา ยิ่งมู่หลานเฟินทำตัวขายหน้าต่อหน้าเซวียนซานหลางมากเท่าใด เขาก็จะเกลียดนางมากขึ้นเท่านั้น สวีเมิ่งเหยาต้องการบ่มเพาะความเกลียดชังในใจของเซวียนซานหลางที่มีต่อมู่หลานเฟินให้มากขึ้น เพียงเท่านี้นางก็จะวางใจได้แล้วว่าสตรีนางนี้จะไม่มีวันยั่วยวนบุรุษที่นางมีใจรักใคร่ได้สำเร็จ
มู่หลานเฟินมีหรือจะมองไม่ออกว่าสวีเมิ่งเหยาคิดจะทำสิ่ง นางผ่านโลกมามากมาย ผ่านการใช้ชีวิตมาหลายภพหลายชาติ ได้พบเจอผู้คนมามากมาย ชาติแรกก็เคยอยู่ในวังหลวง พบเจอเหล่าสตรีพูดจาเหน็บแนมทำร้ายกันมาไม่น้อย แผนการปัญญาอ่อนเช่นนี้มีหรือนางจะคาดเดาไม่ออก หากเป็นมู่หลานเฟินคนเก่ายามนี้คงลุกขึ้นวิ่งไล่ตบคนแล้ว
แต่ไม่ใช่กับนาง
หญิงสาวยกจอกสุราขึ้นดื่มทำเป็นไม่ได้ยินวาจาเน่าหนอนที่เหล่าสตรีน้อยปากมากพวกนั้นพูดจาทิ่มแทงเสียดสี สตรีว่างงานพวกนี้ก็แค่อิจฉาที่นางได้อยู่ร่วมจวนกับเซวียนซานหลางจึงมาหาเรื่องนาง
สวีเมิ่งเหยาที่เห็นว่ามู่หลานเฟินทำเป็นไม่สนใจตน ก็หันไปส่งสายตาให้เหล่าสหาย สตรีน้อยที่มาจากตระกูลอวิ๋นพยักหน้าให้สวีเมิ่งเหยา ก่อนจะเอ่ยกับมู่หลานเฟิน
"มู่หลานเฟิน เจ้านั่งคนเดียวไม่เหงาหรือ ไปนั่งกับพวกเราดีหรือไม่ โอะ ไม่เป็นไรนะ ใครไม่คบเจ้าข้ายินดีลดตัวมาคบกับเจ้าก็ได้"
"ใช่ๆ พวกเรายินดีลดตัวไปคบหาเจ้าได้ ขอเพียงเจ้าไม่สร้างปัญหาก็พอแล้ว"
สตรีน้อยน่ารำคาญยังคงพล่ามไม่หยุด มู่หลานเฟินละสายตาจากสุราตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าไปมองพวกนาง และยิ้มตาหยี
"ข้าว่าพวกเจ้านี่คงจะชมละครในโรงน้ำชามากเกินไปกระมัง วาจาจึงสำบัดสำนวนเหมือนพวกนางร้ายในโรงละครอันใดเทือกนั้น ขออภัยด้วยนะ ข้าไม่ได้รู้สึกรู้สาอันใดกับวาจาเน่าเหม็นของพวกเจ้าหรอก อีกอย่าง ข้ามีหลายอย่างต้องทำไม่มีเวลาไปแย่งชิงหรือไล่ตามบุรุษเช่นพวกเจ้า ขอเตือนอีกหน เอาเวลาที่มาเหน็บแนมผู้อื่นไปดูแลตนเองดีกว่า เจ้าน่ะ ใช้สายตามองเหยียดคนอื่นจนตาดำจะไหลมากองรวมกันแล้วไม่สิ ตาเขแล้ว! ส่วนเจ้าน่ะชอบเอ่ยวาจาเหน็บแนมคนจนปากเริ่มจะเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ตายสิ เจ้าก็ด้วย สวีเมิ่งเหยา เจ้าคงรีบออกจากบ้านมาเพื่อมายั่วยวนบุรุษที่ตนหลงใหลสินะ จึงลืมส่องกระจก เจ้าพอกแป้งหนาเกินไป ผิวหน้าไปอีกทางผิวคอไปอีกทางเช่นนี้บุรุษที่ใดจะตกหลุมรักเจ้ากัน ให้ตายเถอะ นางเอกโรงงิ้วยังแต่งหน้างามกว่าเจ้าอีก"
มู่หลานเฟินเอ่ยวาจาตอกกลับพวกนางพร้อมกับชี้หน้าเรียงตัวอย่างไม่เกรงกลัว สตรีน้อยหน้าบางเมื่อได้อย่างนั้นก็เริ่มลนลาน ถึงขนาดหันไปถามกันเองว่าตาดำของนางไหลมารวมกันจนเขอย่างที่มู่หลานเฟินบอกจริงหรือไม่
แม้แต่สวีเมิ่งเหยายังเสียความมั่นใจ นางถึงกับหันไปถามสาวใช้ข้างกายว่าหน้ากับคอนางพอกแป้งไม่เท่ากันอย่างที่มู่หลานเฟินกล่าวหาจริงหรือไม่
มู่หลานเฟินยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย
"ที่พวกเจ้ามาหาเรื่องข้าก็เพราะว่าเซวียนซานหลาง แม้ข้าจะต่ำต้อยแต่กลับได้อยู่ร่วมจวนกับเขา ได้เห็นหน้าเขาทุกวันแต่พวกเจ้ากลับไม่มีโอกาสนั้น ใช่หรือไม่ ปัญญาอ่อน ไสหัวของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลามาทะเลาะด้วย ไร้สาระสิ้นดี ชีวิตข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อตามจับบุรุษให้เปลืองเวลาชีวิตหรอกนะ ไปไป ชิ่วชิ่ว"
สวีเมิ่งเหยากำมือแน่น นอกจากจะหาเรื่องมู่หลานเฟินไม่สำเร็จแล้ว นางยังขายหน้าแทนแล้วยังลากเหล่าสหายมาขายหน้าด้วย
เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ พวกนางจึงเดินกระฟัดกระเฟียดจากไปทันที มู่หลานเฟินถึงกับถอนหายใจโล่งอก นางก้มหน้ามองพื้นหญ้า ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยก้อนหินเล่นอย่างเบื่อหน่าย
เซวียนซานหลางเดินผ่านทางมาพอดีและได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้แล้ว ชายหนุ่มหรี่ตามองมู่หลานเฟิน รู้สึกว่าระยะหลังมานี้นางออกจะแปลกไปจริงๆ
"ซื่อจื่อ ข้าได้ยินมาว่าน้องหรานหร่านมีใจชอบพอในตัวท่าน แต่ท่านไม่ชอบนาง น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าว่านางน่าสนใจดี หน้าตาก็งาม ท่านไม่ใจอ่อนหน่อยหรือ"
เสิ่นเหวยอันโผล่มายืนข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ ทำเอาเซวียนซานหลางถึงกับต้องหันขวับมามอง
เขาและเสิ่นเหวยอันนั้นเรียกได้ว่าไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าใดนัก ตั้งแต่สมัยเรียนก็แข่งขันกันอย่างลับๆ เดิมทีเขาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับผู้ใด แต่เจ้าบ้าเสิ่นเหวยอันเป็นพวกบ้าพลัง มักจะมาท้าเขาทุกวัน วันนี้ท้าต่อสู้ วันต่อไปท้าดื่มสุรา วันต่อไปท้าท่องตำรา เขาเบื่อหน่ายจึงยอมทำตาม บางครั้งเขาแพ้ บางครั้งเสิ่นเหวยอันแพ้ สลับกันอยู่เช่นนี้ ทุกครั้งจะมีซูอวี้เฉิงคอยเป็นตัวผสมโรงและห้ามปรามในบางโอกาศ หากเอ่ยตามตรงแล้ว เขาสนิทกับซูอี้เฉิงมากกว่าเสิ่นเหวยอัน
หลังจากที่เติบโต เขาได้นำกองทัพออกรบมีความดีความชอบ แม้จะมีแม่ทัพใหญ่คนใหม่ขึ้นมาแทนตระกูลของเขา แต่ฝีมือกลับด้อยกว่าเขายิ่งนักส่วนเสิ่นเหวยอันนั้นได้เป็นถึงหัวหน้าสำนักบูรพา ทำงานขึ้นตรงกับฝ่าบาทเพียงผู้เดียว เพราะตำแหน่งนี้สำคัญและเกี่ยวพันถึงชีวิต จึงไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ เสิ่นเหวยอันจึงใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษเจ้าสำราญ อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าศาลต้าหลี่ คอยจับคนร้ายและนักโทษแหกคุกมาไต่สวน คนนอกอาจมองว่าเขาไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เซวียนซานหลางรู้ดีว่าเสิ่นเหวยอันเป็นคนเก่งที่หาตัวจับยาก หากไม่มีความสามารถจริง คงไม่อาจรั้งตำแหน่งหัวหน้าสำนักบูรพาของราชสำนักได้
ส่วนซูอวี้เฉิงนั้นรั้งตำแหน่งหัวหน้าองค์รักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งต่ำกว่าเสิ่นเหวยอันขั้นหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่เคยตั้งตนเป็นศัตรูกัน
เซวียนซานหลางปรายตามองเสิ่นเหวยอันพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
"ใต้เท้าเสิ่น ข้ารู้สึกว่าระยะหลังมานี้ท่านดูเหมือนจะใส่ใจเรื่องในจวนของข้ามากเกินไปแล้ว"
"ข้าเป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นซื่อจื่อก็รู้นี่"
"เหอะ"
"คืนนี้นัดพบกันตามสถานที่นัดหมายเดิม คดีที่ต้องไปจัดการดูเหมือนจะมีนัยยะบางอย่างแอบแฝง จะรอช้าไม่ได้แล้ว"
"อืม"
เซวียนซานหลางตอบรับคำทั้งที่ไม่มองหน้าเสิ่นเหวยอัน เสิ่นเหวยอันเองก็คร้านจะใส่ใจท่าทีเย็นชาของเซวียนซานหลางเช่นเดียวกัน เขาเอาแต่จับจ้องมู่หลานเฟิน สตรีน้อยที่เอาแต่ดื่มสุราและกินขนมอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพังด้วยแววตาที่สนอกสนใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันไปกระซิบข้างหูเซวียนซานหลาง
"น้องหรานหร่านงามมาก ซื่อจื่อท่านว่าไหม ในจวนท่านนี่มีแต่ของดีจริงๆ"
"เสิ่นเหวยอัน เจ้าหุบปากได้หรือไม่!"
"โอว ขออภัย ข้าจะพยายามไม่สอดรู้สอดเห็นก็แล้วกันนะ แต่น้องหรานหร่านงามมาก ท่านว่าจริงหรือไม่ซื่อจื่อ ตอบข้าให้ชื่นใจหน่อยสิ!"
เซวียนซานหลาง “......”
