เมียสุดแสบของท่านประธาน

68.0K · จบแล้ว
J.Jusmin
39
บท
40.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

นิยายโรมานซ์ เรื่อง เมียสุดแสบของท่านประธาน ธีร์ (อธิวัฒน์ ธนามหาเศรษฐ์) CEO หนุ่มในวัย 30 ปี หล่อ รวย กรวย 60 โสดสนิท (เคยมีแฟนแต่ผิดหวัง) พรีม (ศรัณย์ภัทร หิรัญอัครมนตรี) นักศึกษาสาวสวย อายุ 20 ปี โสดซิง นิสัยน่ารัก เข้ากับคนได้ง่าย **คำโปรย** ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นเพราะความต้องการของผู้ใหญ่ และเพื่อช่วยประคองธุรกิจครอบครัวของพรีม ธีร์จึงต้องจำยอมหมั้นหมายกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้เลือก แต่ใครจะคิดว่าหญิงสาวที่ดูน่ารักในสายตาของผู้ใหญ่ แต่พอย้ายมาอยู่ร่วมบ้านกับเขาแล้วจะกลายเป็นยัยตัวแสบที่ขี้อ้อนและอ่อยเก่ง ***** "ถ้าพี่ไม่ใช่ผัวแล้วจะเป็นอะไร” “เป็นแค่คู่หมั้นค่ะ เรายังไม่ได้คบกัน จะข้ามขั้นมาเป็นผัวเลยได้ยังไงคะ” “เธอขย่มพี่ทั้งคืนแล้วจะไม่รับผิดชอบเหรอยัยตัวแสบ” *****

นิยายรักโรแมนติกประธานรักหวานๆโรแมนติกแต่งงานก่อนรักนักศึกษาฟินๆ18+

ตอนที่ 1 - คลุมถุงชน

ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นคุมโทนสีขาว เทาและดำ รายล้อมไปด้วยกระจกสีชาดำที่มองเห็นวิวตึกสูงนับหลายสิบชั้น มองเห็นท้องฟ้าสว่างสดใส ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดด แต่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่อยู่ตึกตรงข้ามไม่สามารถมองเข้ามาเห็นภายในห้องได้ และนี่ก็เป็นห้องทำงานของประธานกรรมการบริหารหรือ CEO หนุ่มในวัย 30 ปี ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในชุดสูตสีเทาเข้ม กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่ และกำลังก้มหน้าตรวจเอกสารที่ได้รับจากเลขาส่วนตัวอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะลงมือเซ็นชื่อลงไปแล้วแล้วส่งคืนให้กับเลขาหนุ่ม

ครอบครัวธนามหาเศรษฐ์ เป็นเจ้าของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในเครือ ที เอส กรุ๊ป ที่มีรายได้มากที่สุดในประเทศไทย บริหารงานโดยลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านอย่าง ธีร์ อธิวัฒน์ ธนามหาเศรษฐ์

ก๊อก ก๊อก…

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่สองครั้ง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยพนักงานสาวผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการที่อยู่หน้าห้อง และหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดกระโปรงสูตเรียบหรูดูแพง ถือกระเป๋าใบเล็กแบรนด์ดัง สวมใส่นาฬิกาข้อมือเรือนหรูราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทที่ข้อมือข้างซ้าย เดินเข้ามาภายในห้องอย่างสง่าผ่าเผย

“คุณแม่มาได้ยังไงครับ”

เมื่อเห็นผู้เป็นแม่เดินเข้ามา ธีร์ก็มีท่าทีประหลาดใจ เพราะร้อยวันพันปีถ้าแม่ของเขาไม่มีธุระเร่งด่วนก็จะไม่ค่อยได้เข้ามาที่บริษัท

พิรัชย์เลขาส่วนตัวของธีร์ เมื่อเห็นว่าแม่ของเจ้านายมาหาถึงห้องทำงาน เขาจึงเดินออกจากห้องเพื่อให้เจ้านายทั้งสองมีเวลาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

“ถ้าแม่ไม่มาจะรู้ว่าลูกชายของแม่ทำงานหนักขนาดนี้เหรอ แล้วนี่ข้าวปลาได้กินบ้างรึเปล่าเนี่ย ดูสิลูกแม่ผอมหมดแล้ว” อมรภัคถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง

แม้ว่าธีร์จะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน แต่ก็แยกไปอยู่บ้านที่อีกหลังซึ่งสร้างอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่ด้วยงานบริหารที่ยุ่งจนไม่มีเวลา จึงไม่ค่อยได้พบหน้าหรือเข้าไปรับประทานอาหารร่วมกับพ่อและแม่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่มานานเกือบเดือน

“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมกินข้าวทุกมื้อ”

“ทุกมื้อ แต่ไม่ตรงเวลาใช่ไหม” อมรภัคส่งสายตาคาดคั้นลูกชาย

“ก็มีเลยเวลาบ้างครับ แล้ววันนี้คุณแม่นึกยังไงถึงเข้ามาหาผมที่นี่ครับ แล้วคุณพ่อล่ะมาด้วยกันหรือเปล่า” ธีร์ถามผู้เป็นแม่ และไม่ลืมที่จะถามหาพ่อของเขาด้วย

“พ่อแกไปตีกอล์ฟก็เพื่อนน่ะ แม่เลยขอมาหาแกที่นี่” อมรภัคเอ่ยกับลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มราวกับมีเรื่องอะไรในใจ

“คุณแม่มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะครับ” ธีร์ก็รู้ทันผู้เป็นแม่เช่นกัน ทำหน้าแบบนี้มีเรื่องที่จะร้องขอเขาอย่างแน่นอน และทุกครั้งเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของผู้เป็นแม่ได้เลย

“งั้นแม่ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ พอดีบริษัทเพื่อนแม่กำลังเกิดปัญหา แม่เลยอยากให้ลูกเข้าไปช่วยซื้อหุ้นที่พวกผู้ถือหุ้นปล่อยขายทอดตลาดให้หน่อย” อมรภัคเอ่ยสิ่งที่ต้องการ

“ครับ ไม่มีปัญหา” ธีร์รีบตอบตกลง

แค่ช่วยซื้อหุ้นไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างเรื่องนี้มารดาของเขาก็คงจะปรึกษากับผู้เป็นพ่อมาเป็นอย่างดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มาขอให้เขาช่วยทั้งที่ยังไม่รู้ว่าบริษัทที่จะให้ไปรับซื้อหุ้นคืนมานั้นสามารถสร้างผลกำไรให้เขาได้อย่างไรหรือมากน้อยแค่ไหน

“ลูกไม่มีปัญหากับเรื่องที่แม่ขอใช่ไหม” อภรภัคถามย้ำเพื่อต้องการคำยืนยันจากปากของลูกชายอีกครั้ง

“ครับ”

“งั้นแม่จะถือว่าลูกตอบตกลงแล้วนะ” อมรภัคยังคาดคั้นคำตอบจากลูกชายต่อ

ธีร์เริ่มเกิดคำถามขึ้นในใจ ครั้งนี้ผู้เป็นแม่ดูจะมีคำถามแปลกๆ ทั้งที่เขาก็ตอบตกลงที่จะยื่นมือเข้าช่วยแล้ว แต่ก็ทำได้แค่ยืนยันคำตอบเดิม

“ครับ”

“เมื่อกี้แม่ยังบอกไม่หมด ลูกช่วยซื้อหุ้นของบริษัทเพื่อนแม่ แล้วแม่จะนำหุ้นนั้นไปขอหนูพรีมลูกสาวของทางนั้นมาเป็นลูกสะใภ้ ลูกจะมากลับคำตอนนี้ไม่ได้แล้วนะ เมื่อกี้แม่อัดเสียงเอาไว้แล้วว่าลูกตอบตกลง”

“นี่แม่กำลังจะคลุมถุงชนผมเหรอครับ” ธีร์ขมวดคิ้วมุ่นจ้องหน้าผู้เป็นแม่ ไม่คิดว่าแม่ของเขาจะใช้วิธีนี้มาบีบบังคับ

“คลุมถุงชนที่ไหนกัน ต้องเรียกว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่าต่างหาก หรือลูกจะมองเป็นเรื่องธุรกิจก็ได้นะ อีกอย่างลูกก็อยู่เป็นโสดมาตั้งหลายปี อย่าบอกนะว่ายังลืมแม่คนรักเก่าที่หักอกลูกหนีไปแต่งงานกับชาวต่างชาติคนนั้นไม่ได้น่ะ ตอนนี้เพื่อนแม่กำลังเดือดร้อน เราเสียเงินซื้อหุ้นก็ถือเป็นการช่วยประคับประคองบริษัทของทางนั้นได้ แล้วอีกอย่างเพื่อนแม่ก็เกรงใจ แม่ก็เลยขอลูกสาวเขามาแทนและทางนั้นก็ตอบตกลงแม่มาแล้ว และหุ้นนี้แม่ก็ใช้เป็นค่าสินสอดขอหนูพรีมเพื่อรับเข้ามาอยู่ในบ้านของเราในฐานะลูกสะใภ้ของตระกูลธนามหาเศรษฐ์” อมรภัคอธิบายกับลูกชาย

ธีร์คิดอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจความคิดของผู้เป็นแม่ได้ ถ้าจะมองในเรื่องของธุรกิจเขาก็มีแต่ขาดทุน การเสียเงินเพื่อซื้อหุ้นของอีกบริษัทนั้นก็ต้องได้รับผลตอบแทนสิ แต่นี่แม่ของเขาจะใช้หุ้นที่ซื้อมาเพื่อไปขอลูกสาวของทางนั้นมาเป็นเมียของเขาทั้งที่เราทั้งสองคนยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วจะให้มารักกันและแต่งงานอยู่ด้วยกันได้อย่างไร แต่จะทำอย่างไรได้นอกจากทำตามใจท่านเพราะได้ตกปากรับคำไปแล้ว

“ผมทำตามที่คุณแม่บอกก็ได้ครับ แต่ผมขอยังไม่แต่งงานได้ไหมครับ” ถึงจะรับปากแต่ธีร์ก็ยังมีข้อแม้กับผู้เป็นแม่

“อ้าว ทำไมล่ะตาธีร์ รับปากแต่ไม่แต่งกับน้องมันหมายความว่ายังไง” อมรภัคหุบรอยยิ้มที่มีเอ่ยถามกับลูกชายอย่างไม่เข้าใจ ทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายหรือเปล่า

“ผมขอแค่หมั้นกันก่อนได้ไหมครับ ให้เวลาผมหน่อย ผมตั้งตัวไม่ทัน แล้วอีกอย่างน้องพรีมของคุณแม่เต็มใจที่จะแต่งกับผมเหรอครับ” ธีร์ยกผู้หญิงอีกคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาขึ้นมาอ้าง

ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันถึงได้ยอมเอาตัวและความสุขของตัวเองเข้าแลกเพื่อเงิน ถึงจะขัดสนหรือธุรกิจครอบครัวมีปัญหา แต่ถ้าแม่ของเขามาร้องขอ เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ช่วยด้วยการแต่งงาน

“หนูพรีมก็คงยอมทำตามที่ผู้ใหญ่ต้องการนั่นแหละลูก ไม่อย่างนั้นแม่ของน้องจะรับปากแม่ทำไมถ้าน้องไม่ยินดี หนูพรีมเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี แม่เชื่อว่าอยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง”

อมรภัคจับมือของลูกชายเข้าไปวางไว้ในฝ่ามือ แล้ววางมืออีกข้างไว้ด้านบนแล้วตบเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างส่งให้กับคนที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดนี้

ทางด้านของครอบครัวหิรัญอัครมนตรี เมื่อรู้ว่าทางนั้นได้วางกำหนดการหมั้นหมายเอาไว้ในอีกสองเดือนข้างหน้า พิมลพรรณแม่ของพรีมก็รู้สึกผิดกับลูกสาวเป็นอย่างมาก ที่ต้องมาเสียสละตัวเองเพื่อช่วยธุรกิจของครอบครัวที่ก่อตั้งกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นย่า

“ลูกคิดดีแล้วใช่ไหมที่จะย้ายไปอยู่ที่บ้านของพี่ธีร์ ถ้าลูกลำบากใจก็ไม่…” พิมลพรรณเอ่ยถามกับลูกสาวอย่างไม่เต็มเสียงและยังไม่สิ้นสุดประโยค พรีมก็พูดแทรกขึ้นมา

“คิดดีแล้วค่ะ แม่ไม่ต้องคิดมากนะคะ ก็แค่หมั้นยังไม่ได้แต่งกันสักหน่อย ถ้าอยู่กันไปแล้วไม่รัก หนูก็แค่ถอนหมั้นแค่นั้นเองค่ะ” หญิงสาวเอ่ยกับผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม

ครอบครัวของเธอดำเนินธุรกิจโรงพิมพ์แบบครบวงจรมานานนับหลายสิบปี แล้วจะให้มาล้มเอาตอนนี้ได้อย่างไร อะไรที่พอจะช่วยพยุงธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิมได้พรีมก็พร้อมที่จะทำ แม้จะต้องเข้าไปอยู่ร่วมบ้านกับคนแปลกหน้าก็ตาม

“มันจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิลูก ถึงจะยังไม่ได้แต่งงานแต่ก็ต้องหมั้นแล้วย้ายไปอยู่ร่วมห้องกันแบบนั้น มันก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันอยู่ดี”

“พรีมทราบค่ะแม่ แต่แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ พรีมรับมือได้ค่ะ”

เมื่อลูกสาวยืนยันมาดังนั้นพิมลพรรณจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่งยิ้มเพื่อให้กำลังใจลูกสาว และกล่าวขอโทษอยู่ในใจที่ทำให้พรีมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แม้ว่าพรีมจะเต็มใจทำเพื่อครอบครัวก็ตาม