ตอนที่ 3-2 ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ฝูซินคิดว่าตัวนางเองนั้นขวัญกล้าเทียมฟ้า แม้ว่าจะยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูก็ไม่มีหวั่นเกรง ทว่าหลังจากที่ขันทีนำทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งรายล้อมด้วยดอกเหมยสีแดงบานสะพรั่ง แต่บริเวณโดยรอบสิ่งก่อสร้างแห่งนี้กลับมิได้มีพื้นหิมะหนาเป็นชั้นดังเช่นจุดอื่นๆ ในเขตพระราชฐานของต้าฉิน
ขันทีนำทางหยุดชะงักหน้าประตู ขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าตำหนักต่างก็ย่อกายก้มศีรษะให้กับจื่อเว่ย
“ฉงเยว่ไท่จื่อเสด็จ…” ขันทีหน้าพระตำหนักเอ่ยขาน บานประตูพลันเปิดออก
จื่อเว่ยก้าวนำเข้าไปด้านใน ฝูซินเดินตามด้วยอากัปกิริยาสำรวมเรียบร้อย แม้ว่านางจะไม่ชอบใจที่ต้องเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ แม้จะหวาดระแวงว่านางอาจไม่รอดกลับไปยังแคว้นเว่ย กระนั้นแล้วก็ทำได้เพียงปลุกปั่นขวัญกำลังใจให้ลุกโชนพร้อมรับมือ
ด้านในมิได้มีเพียงจักรพรรดิและเว่ยหวางฝูเจี้ยน แต่มีขุนนางคนสนิทขององค์จักรพรรดิราวสองสามคน ถัดจากฝูเจี้ยนก็คือองค์หญิงเซวียนหลิน องค์หญิงเก้าแห่งแคว้นเว่ย
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ”
“ถวายพระพรฉินเยว่หวงตี้ ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่น ปี”
“ตามสบาย” สุรเสียงของจักรพรรดิแห่งต้าฉินทุ้มต่ำ ตรัสออกมาอย่างไม่ใคร่สนใจธรรมเนียมนัก
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฝูซินก้มหน้าให้ต่ำที่สุด ไม่อาจเงยหน้าสบพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิได้ มิใช่เพราะนางเกรงกลัว แต่เป็นเพราะความเกลียดชังที่ท่วมท้นในอก เกรงว่าหากนางเงยหน้าขึ้นมา จักรพรรดิแห่งต้าฉินคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในใจเป็นแน่แท้
“นี่น่ะหรืออู่กงจู่แห่งแคว้นเว่ย” จักรพรรดิทรงตรัสถาม พระสุรเสียงเรียบเรื่อย
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ากันว่าธิดาของเว่ยหวางมีดวงตาที่งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในใต้หล้า แต่ก็กล่าวขานกันว่าคนที่มีดวงตาที่งดงามที่สุดก็คือองค์หญิงห้า ฝูซิน เราได้เห็นหน้าองค์หญิงเก้าแล้ว ไหนเจ้าลองเงยหน้าขึ้นมาให้เราดู”
“เสด็จพ่อบอกให้เจ้าเงยหน้า” จื่อเว่ยกระซิบ
ฝูซินสูดลมหายใจลึก กลั้นใจเงยหน้าขึ้น
จักรพรรดิแห่งต้าฉินทอดพระเนตรดวงหน้าของฝูซิน สบกับดวงตาสีน้ำตาลที่บัดเดี๋ยวเข้มข้น บัดเดี๋ยวอ่อนจางของนางด้วยความสนพระทัย พระเนตรคมกริบพิศมองผิวกายเนียนละเอียดที่เข้มกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้าง กระนั้นแล้วก็ไม่อาจละสายตาไปจากเรียวคิ้วเรียงตัวสวยที่รับกับดวงตาของนางได้เลย
สายพระเนตรพลันสะดุดกับกลีบปากแดงระเรื่อที่มีจ้ำเลือดน้อยๆ ก่อนจะเบนไปยังโอรสของพระองค์ที่ยืนเคียงข้างนางราวกับว่าสนิทสนมกันมานาน
“ไม่ผิดหวัง องค์หญิงฝูซินมีดวงตางดงาม อีกทั้งเรียวคิ้วของเจ้ากลับทำให้เราตระหนักได้ว่าความงามตามธรรมชาติคืออะไร สตรีต้าฉินของเราต่างก็พากันโกนขนคิ้วกันจนเกลี้ยงเกลา จนเราไม่กล้ามองใบหน้าของพวกนางยามที่ปราศจากเครื่องประทินโฉมเสียแล้ว องค์หญิงเซวียนหลินงดงามบอบบาง กิริยางดงามเย้ายวน ทว่าดวงตากลับมิได้ตรึงตราจิตใจผู้คนเท่าเจ้า เว่ยหวางฝูเจี้ยน แน่ใจหรือว่าจะให้ทั้งสองคนนี้มาพักอยู่ที่ต้าฉิน”
“ทูลฝ่าบาท น้องสาวของกระหม่อมทั้งสองยังมิได้ออกเรือน หากปล่อยให้อยู่แคว้นเว่ย เกรงว่าพวกนางจะอยู่โยงเฝ้าตำหนัก ฝ่าบาทน่าจะทรงเข้าพระทัยดีว่าการปล่อยให้บุปผาเบ่งบานโดยไร้คนชื่นชมน่าเสียดายเพียงใด อย่างน้อยครั้งนี้ ฝูซินก็มิได้มาเสียเที่ยวพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำคล้ายแทงถูกจุดทำให้องค์จักรพรรดิแย้มพระสรวลบางเบา มิได้ถือสาหาความคนพูดแต่อย่างใด
“หืม…นางมีคนดูแลแล้วหรือ”
ฝูเจี้ยนหันไปสบตากับจื่อเว่ย กิริยาของทั้งสองตกอยู่ภายใต้สายพระเนตรขององค์จักรพรรดิทั้งหมด
ทันใดนั้นโอรสสวรรค์ก็ทรงพระสรวลเสียงกังวาน
“ฮ่าๆ ตอนแรกเราคิดว่าจะส่งฝูซินไปอยู่กับองค์ชายใหญ่ ส่วนเซวียนหลินให้ไปอยู่กับองค์หญิงรอง มิคาดว่าไท่จื่อของเรากลับมีบุพเพกับนาง”
จื่อเว่ยหัวเราะตาม ตอบรับด้วยเสียงรื่นเริง “ทูลเสด็จพ่อ องค์หญิง
ฝูซินมีใจปฏิพัทธ์ต่อลูกจนทนไม่ไหว ถึงขนาดที่มาเยือนถึงประตูตำหนักจื่อเยว่ของลูก ทว่ากลับบังเอิญพบเจอกับน้องแปดจนเกิดความเข้าใจผิด สุดท้ายถูกนางทำร้ายจนได้รอยแผล ลูกในฐานะเจ้าของตำหนัก จึงถือโอกาสสั่งโบยนางเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สตรีฝ่ายในนางอื่น
“ส่วนเรื่ององค์หญิงฝูซินมีใจให้ลูกนั้น ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบรับน้ำใจของนางได้ ลูกทราบว่าเสด็จพ่อมีน้ำพระทัยกว้างขวางดุจมหาสมุทร ทรงโปรดพระราชทานอนุญาตให้ลูกกับนางได้ศึกษานิสัยใจคอกันด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอยากศึกษาดูใจนางรึ”
“พ่ะย่ะค่ะ…สตรีต้าฉินล้วนมีรสชาติจืดชืด สู้ชายหนุ่มฉกรรจ์ในสังกัดองครักษ์หลวงมิได้สักคน หากให้ลูกได้มีโอกาสศึกษาดูใจสตรีที่เคยอยู่ในสังกัดกองทัพ มิคาดว่าอาจจะเป็นการช่วยส่งเสริมบุพเพและวาสนาให้ลูกกับนางพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดจาเลื่อนเปื้อนของจื่อเว่ยทำให้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเผือดสีเล็กน้อยอับอายเกินกว่าจะขัดคำขอพระราชทานสตรีนางหนึ่งได้ ยิ่งเมื่อจื่อเว่ยประกาศถึงรสนิยมอันวิปริต พระองค์เองก็ทรงจนพระทัยที่จะแก้ไขแล้ว
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
จื่อเว่ยหันมาคลี่ยิ้มอบอุ่นให้ฝูซิน กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนนางสั่นสะท้านไปทั้งกาย
“ต่อไปนี้เจ้าคือคนของตำหนักจื่อเยว่ ในฐานะแขกของข้า หลังจากนี้เราสองคนจะได้ใช้เวลาศึกษาดูใจกันเสียที เห็นแก่ที่องค์หญิงมีใจต่อจื่อเว่ย องค์หญิงมิต้องกังวลว่าจะถูกรังแกดังเช่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีก ข้าจะดีกับเจ้าให้มากๆ”
ใบหน้าของฝูซินคล้ายเป็นตะคริว นางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ครั้นหันไปขอความช่วยเหลือจากเสด็จพี่ ก็เห็นเขาส่งสัญญาณเป็นเชิงให้นางตอบรับ
ฝูซินกลืนน้ำลาย เรื่องนี้ต้องไล่เลียงกับเสด็จพี่ของนางให้ได้ ทว่าตอนนี้ทำได้เพียงฉีกยิ้มอัปลักษณ์ที่สุดในความคิดของนาง กล่าวด้วยถ้อยคำซาบซึ้งสุดประมาณ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท บุพเพที่พระองค์สร้างให้ ฝูซินจะไม่มีวันลืมเพคะ”
เหตุการณ์ลอบสังหารไท่จื่อแห่งต้าฉินย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทุกตำหนักถูกคุมเข้มด้วยหน่วยองครักษ์หลวงและทหารยาม องค์จักรพรรดิเองก็ทรงคลางแคลงพระทัยในเรื่องที่เกิดขึ้นกับไท่จื่อไม่น้อย ทั้งยังสงสัยในตัวเว่ยหวางฝูเจี้ยนกว่าใคร แต่เป็นเพราะหน่วยซุ่มโจมตีที่มุ่งหมายทำร้ายจื่อเว่ยกลับใช้ศรลับที่ผลิตโดยต้าฉิน การกล่าวหาเว่ยหวางที่เคลื่อนกำลังพลจำนวนมากเข้ามาประชิดเมืองโดยอาศัยข้ออ้างว่าใช้มาเพื่อคุ้มครององค์หญิงทั้งสองจึงตกไป
ความมืดโรยตัวปกคลุมทั่วเขตพระราชฐานแห่งต้าฉิน ฝูเจี้ยนถูกรับรองในตำหนักถัดไปไม่ไกลจากตำหนักจื่อเยว่ของจื่อเว่ย ขณะเดียวกันนั้นองค์จักรพรรดิก็ส่งหมอหลวงมาสองคน คนหนึ่งมาดูอาการของฝูซิน อีกคนส่งไปยังท้ายตำหนักจื่อเยว่
ตำหนักที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดที่สุดก็คือตำหนักจื่อเยว่ องค์หญิงปาเซียนกลายเป็นผู้มาเยือนที่มักถูกลงโทษอยู่เสมอ โดยปกติจะเป็นการลงโทษให้นั่งสำนึกผิดครึ่งชั่วยาม ทว่าครั้งนี้จื่อเว่ยถึงขั้นสั่งโบยตามกฎ ซึ่งก็คือโบยด้วยไม้บุผ้านวมจำนวนยี่สิบไม้ กับข้ารับใช้ถือว่าเป็นเรื่องที่ปรานีอย่างสุดซึ้ง แต่เทียบกันแล้ว ก็ไม่ต่างกับการฉีกหน้าองค์หญิงปาเซียนต่อหน้าธารกำนัลแม้แต่น้อย
หลังจากเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ จื่อเว่ยจึงอ้างน้ำใจกับแขกเมืองอย่างฝูเจี้ยนด้วยการต้อนรับขับสู้อย่างดี
หิมะรอบระเบียงตำหนักที่ใช้รับรองโปรยปรายอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มสองคนดวลสุรากันอย่างออกรสคล้ายกับสหายสนิทที่ไม่ได้พบเจอกันนาน ทว่าในสายตาของคนนอก ความคิดที่มีต่อไท่จื่อของตนกับเว่ยหวางผู้นี้กลับเต็มไปด้วยความพิสดาร
“นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“หมอตรวจอาการแล้ว ยังถือว่าไม่เป็นอะไรมากกระมัง แผลแค่นั้นเล็กน้อยนัก”
ฝูเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ดวงตาสีน้ำตาลยามต้องแสงไฟเป็นประกายงดงามราวกับสามารถดูดดึงจิตวิญญาณของผู้คนให้ออกจากร่างได้ ใบหน้าที่ถอดแบบจากอดีตเว่ยหวางที่สิ้นพระชนม์ไปหล่อเหลาคมเข้ม ทว่าด้วยเพราะผิวเนื้อที่ต้องแสงแดดเป็นประจำ จึงคล้ำกว่าชาวเว่ยทั่วไปมากนัก เมื่ออยู่กับจื่อเว่ย จึงดูดุดันห้าวหาญอย่างยิ่ง
“ยกพลมาอย่างเอิกเกริก สิ้นเปลืองกำลังทรัพย์ไปไม่น้อย”
มุมปากของฝูเจี้ยนกระตุกน้อยๆ วางจอกสุราลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงดังเบาๆ “จะขุดบ่อล่อปลาใหญ่ทั้งที ไม่เอิกเกริกได้อย่างไร”
“หึ…กลับไม่ทันขึ้นมา จะหาว่าข้าไม่เตือน”
“พูดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเจ้าดูถูกพี่น้องของข้ามากไปแล้ว”
จื่อเว่ยซดสุราหมดจอก เรียวลิ้นเลียริมฝีปากตนเองชุ่มฉ่ำ “เรื่องนี้ข้าคงเถียงไม่ออก เจอฤทธิ์นางเข้าไป ทำให้สิ้นเปลืองแรงไปไม่น้อย”
“เช่นนี้ยังคิดจะรั้งนางให้อยู่อีกหรือ”
จื่อเว่ยซัดสุราร้อนแรงลงคอ เพียงแต่กระตุกยิ้มบางเบา แสงเงาที่ตกกระทบบนใบหน้าพลันทำให้บังเกิดเค้าโครงที่ผิดแผกไปจากทุกที ทั้งดูลึกลับ หล่อเหลา และน่าหวั่นเกรงในเวลาเดียวกัน
ฝูเจี้ยนแค่นเสียงหัวเราะแห้งแล้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “อยากได้อะไรก็ต้องลงทุนลงแรง อย่าลืมคำพูดที่บอกกับข้าเสียล่ะ”
“หึ…อย่ารีบร้อนก็พอ”
“จักรพรรดิสร้างบุพเพให้ ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ”
“ขึ้นอยู่กับว่าผู้พูดเป็นใคร”
“อา…ข้าเถียงไม่ออก องค์ชายวิปลาสอย่างเจ้า คงทำให้พระองค์ยามนอนไม่อาจข่มพระเนตรได้สนิทกระมัง”
“หึๆ เท่านี้ยังน้อยไป”
“เอาเถอะ น้องสาวข้าเอง นางปักใจเชื่อว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น ทั้งยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ต้องลำบากเจ้าแล้ว”
“ข้ามีเวลาเท่าไร”
“อย่างมากสามปี”
จื่อเว่ยเท้าคางบนโต๊ะ สาบเสื้อแบะออกเผยให้เห็นแผงอกวับแวม เขาหรี่ตามองฝูเจี้ยน ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างยั่วเย้า อากัปกิริยาไร้ยางอายเช่นนี้ ฝูเจี้ยนกลับมองด้วยสายตาเย็นชา ทว่าคนที่เดือดร้อนกลับเป็นผู้มาใหม่ที่พุ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนสองคน
“เสด็จพี่ ดึกดื่นค่อนคืนหิมะโปรยปราย อากาศเย็นจัดเช่นนี้ อาจทำให้ท่านไม่สบายได้ กลับห้องเถิดเพคะ”
ผู้มาใหม่คือฝูซิน นางอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดของสตรีสีฟ้าอ่อน ศีรษะมวยขึ้นอย่างลวกๆ ดูก็รู้ว่ารีบออกมาเพียงไหน ที่รอคอยอย่างเงียบสงบอยู่ไม่ไกลก็คือนางกำนัลที่ตามมารับใช้จากแคว้นเว่ย
กลิ่นของกายสาวหอมกรุ่น อาภรณ์พอดีตัวรัดรึงจนเผยเค้าโครงบนร่างกายเด่นชัด ทว่าฝูซินเป็นห่วงความปลอดภัยของฝูเจี้ยนมากกว่าความเรียบร้อยของตนเอง นางจึงจงใจผลักไสให้จื่อเว่ยขยับออกไปให้ไกลที่สุด
แววตาของฝูเจี้ยนมีประกายขบขันวาบผ่าน เขาหันมาสำรวจฝูซิน มือสากสัมผัสพวงแก้มของนางด้วยความเอ็นดู
“วันนี้เป็นอย่างไร ตื่นเต้นมากหรือไม่”
ฝูซินชะงัก เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาแววตาของนางก็พลันขุ่นมัว กดเสียงต่ำเอ่ยกับฝูเจี้ยน “บอกข้าดีๆ ก็ได้ ไยต้องคิดอุบายเช่นนี้ หากเกิดข้าพลาดสังหารเขาขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร”
จื่อเว่ยแทบจะหัวร่องอหงาย เขาอมยิ้มบางๆ มิได้ขยับหนีตามแรงเบียดของฝูซิน ทั้งยังถือโอกาสนี้ขยับเข้าแนบชิดกับแผ่นหลังของนางอย่างแนบเนียน “พลาดสังหารข้าหรือ…หากข้าไม่ปล่อยโอกาส แม้แต่เส้นผม เจ้าก็จะไม่ได้สัมผัส”
“หึ…แต่งเรื่องว่าข้ามีใจให้เจ้า ไร้ยางอายสิ้นดี”
“ซินเอ๋อร์” ฝูเจี้ยนเรียกนางเสียงเข้ม “อย่างไรเขาก็เป็นถึงไท่จื่อของต้าฉิน จะทำอะไรให้เกียรติเขาสักนิด จะได้ไม่ถูกผู้อื่นก่นด่าถึงบิดามารดาว่าไม่สั่งสอนธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติ”
ฝูซินเม้มปาก แววตาของนางไม่ยินยอม ทว่าคำพูดที่เปล่งออกมาราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขมนั้นกลับทำให้จื่อเว่ยกระตุกยิ้ม “ไท่จื่อพูดจาไม่ระมัดระวังเช่นนี้ ฝูซินมีแต่เสียหาย”
“แต่หากบอกทุกคนว่าเจ้าบุกห้องข้าเพราะคิดสังหาร เจ้าว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป”
นางหันขวับ ประกายตาวาววับราวกับแม่เสือ “เพราะอุบายต่ำช้าของท่าน ทำให้ข้าจับพลัดจับผลูมาต่างหากเล่า”
“หึ…อุบายนี้พี่ชายเจ้าเป็นคนคิด”
ฝูซินชะงัก ขมวดคิ้วมองฝูเจี้ยนอย่างไม่เชื่อสายตา “เสด็จพี่”
ฝูเจี้ยนยิ้มแห้ง บีบแก้มของฝูซินอย่างเอ็นดู “พี่ชายทำไปเพื่อให้น้องสาวปลอดภัย อีกอย่างจื่อเว่ยคิดตกลงปลงใจกับเจ้า เช่นนี้ก็ถือว่าข้าทำหน้าที่แทนเสด็จพ่อได้ลุล่วงแล้ว”
“อะไรนะ…เสด็จพี่ล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว ฝูซินมิอาจอยู่ร่วมโลกกับบุรุษใจ…ได้อย่างแน่นอน”
นางนิ่วหน้า แค่คิดก็ขนลุกขนพองแล้ว
จื่อเว่ยยิ้มร้ายกาจ ซัดสุราร้อนแรงลงลำคอประหนึ่งน้ำเปล่า
“ถั่วในมือหนึ่งกำเจ้ารู้แค่ว่ามันคือถั่ว ทว่ากลับมิอาจล่วงรู้ว่าในมือข้ามีถั่วกี่เม็ด องค์หญิง…เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
