บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2-2 ไท่จื่อผู้วิปริต

บิดาของนางถูกจักรพรรดิชั่วแห่งต้าฉินใส่ไคล้ว่าจงใจก่อกบฏ แม้ว่าเว่ยจะสวามิภักดิ์ต่อต้าฉินมายี่สิบปีแล้ว แต่มังกรเฒ่าผู้นั้นก็มิเคยไว้วางใจแคว้นต่างๆ อย่างแท้จริง เพียงเพราะเว่ยหวางจัดงานล่าสัตว์ทุกปีในป่าทางทิศตะวันตกของแคว้นเว่ย กลับมีคนกล่าวหาว่าซ่องสุมกำลังพลเพื่อก่อกบฏ สุดท้ายก็ได้รับราชโองการให้ดื่มยาพิษต่อหน้าประชาชนแค้นเว่ย

ผ่านไปเกือบสองปี กว่านางจะมาถึงที่นี่ได้ ทว่าเสด็จพี่ของนางกับไท่จื่อของต้าฉินมีเรื่องอันใดกัน

“คิดอะไรให้มากความ รอให้ออกไปจากที่นี่ได้ก่อนเจ้าก็จะเข้าใจเอง”

ดวงตาหงส์เป็นประกายมองไท่จื่อแห่งต้าฉิน กล่าวเสียงลอดไรฟันด้วยความรังเกียจ “บิดาเป็นเช่นไร บุตรก็เป็นเช่นนั้น”

ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็พลันเผือดสี ชี้หน้าเขาด้วยมืออันสั่นเทา “เจ้ากับเสด็จพี่…”

มิใช่ว่าเขากับเสด็จพี่ของนางคิดจะหนีตามกันไปหรอกนะ

สวรรค์ นี่เสด็จพี่ของนางจะยกทัพมาชิงตัวบุรุษหยกหรอกหรือ นี่คือการแก้แค้นให้เสด็จพ่อที่เขาบอกนางว่าคือสิ่งที่สาแก่ใจที่สุด นางพลันรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า ขนกายก็ลุกชูชันไปทั้งตัวแล้ว

นางคิดแล้วเชียว มิน่าเล่ายกกำลังพลมามากมายถึงเพียงนี้ต้าฉินกลับไม่ระมัดระวังตัว ที่แท้เจ้าจื่อเว่ยผู้ชั่วช้าก็คิดหลอกล่อให้พี่ชายนางมาชิงตัวเขากลับแคว้น!

สงครามขนาดย่อมระหว่างฝูซินและจื่อเว่ยสงบลงชั่วคราว นางหลบหลังเสา ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์บุรุษอย่างช่ำชอง ไม่ถึงครึ่งก้านธูป[ 1 ก้านธูปเท่ากับ 15 นาที ครึ่งก้านธูปประมาณ 7-8 นาที อ้างอิงก่อนการเปลี่ยนแปลงในยุค หมิง-ชิง] หญิงสาวก็ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับเขา

จื่อเว่ยเอนกายบนเตียง อาภรณ์ที่สวมอยู่อย่างหลวมๆ แบะออกเผยให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยแผลซึ่งเลือดหยุดไหลแล้ว มือข้างหนึ่งโยนกระปุกยาในมือเล่น มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์

เส้นผมดำขลับราวกับม่านไหมถูกรวบม้วนขึ้นจนหมด ไรผมกลุ่มเล็กๆ คลอเคลียข้างพวงแก้ม ผิวกายที่โผล่พ้นคอเสื้อคล้ำกว่าใต้ร่มผ้าเล็กน้อย กระนั้นแล้วเครื่องหน้าของนางก็เหมาะเจาะและเด่นชัดเกินกว่าจะปฏิเสธว่านางไม่งาม อาจเป็นเพราะขนคิ้วสีอ่อนที่หนากว่าสตรีในต้าฉิน จึงทำให้ใบหน้าของนางแลดูคมเข้มกว่าสตรีทั่วไป

สตรีต้าฉินนิยมโกนขนคิ้วแล้ววาดใหม่ ทว่าฝูซินมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะนางต้องฝึกฝนร่างกายตลอดเวลา มิมีเวลาใส่ใจความงามดังเช่นสตรีทั่วไป กระนั้นแล้วหากมองเผินๆ ดวงตาของนางก็ใสกระจ่างราวกับห้วงธารลึก คล้ายว่าใครๆ ก็สามารถอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่นางจงใจเปิดเผยนั้น แท้จริงแล้วลึกล้ำถึงขั้นใด

ดวงตาของนางเป็นสีน้ำตาลเข้ม แปลกแตกต่างจากสตรีทางตะวันตก บางครั้งก็กระจ่างใส บางคราวก็ขุ่นมัว ราวกับสภาพอากาศในทะเลที่แปรปรวนยากคาดเดา

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอ่อนตามสภาพอารมณ์ พบเห็นได้เพียงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของแคว้นเว่ยเท่านั้น เชื้อสายของเว่ยหวางไหลเวียนอย่างเข้มข้นในตัวนาง กอปรกับรอยสักรูปผีเสื้อตรงกกหูด้านขวา บ่งบอกว่านางถือกำเนิดจากหวางเฟย บรรดาศักดิ์ของแคว้นเว่ยถูกจัดลำดับตั้งแต่เกิดจนตายไม่เปลี่ยนแปลง ลวดลายผีเสื้อสยายปีกอันเป็นเอกลักษณ์จะสืบทอดเฉพาะทายาทลำดับห้าของเว่ยหวาง หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่สืบทอดความสามารถพิเศษของตระกูลเว่ยเท่านั้น

“มองพอหรือยัง” ฝูซินกล่าวเสียงเรียบ มิได้ขัดเขินกับแววตาที่ประเดี๋ยวร้อนแรงประเดี๋ยวเย็นเยียบของเขา นางยืนตัวตรง เชิดหน้าอย่างทระนง ระเบียบที่ฝึกในกองทัพทำให้นางยืนเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูด้วยแล้ว อย่าหวังว่านางจะยอมอ่อนข้อให้โดยง่าย

จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ มองนางราวกับมุสิกที่ไม่รู้จักกลัวแมว พลันโยนขวดยาให้นาง “มาใส่ยาให้ข้า”

ปฏิกิริยาตอบสนองของนางว่องไว มือเอื้อมรับโดยสัญชาตญาณ

ฝูซินนิ่งชะงัก เปิดจุกขวดยาแล้วใช้มือพัดให้กลิ่นโชยเข้าจมูกอย่างระมัดระวัง จื่อเว่ยเลิกคิ้วข้างหนึ่ง กล่าวสำทับ “ไม่ต้องกลัวไป ยาสมานแผล มาใส่ยาให้ข้า”

“จำเป็นต้องช่วยเจ้าด้วยหรือ มือเจ้าก็มี”

ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลงอย่างมาดร้าย กล่าวเสียงเย็น “หากข้าประกาศว่าองค์หญิงห้าแห่งแคว้นเว่ยบุกเข้าห้องข้า คิดดูสิว่าผลร้ายจะตกอยู่ที่ใคร แม้เจ้าจะมีหกเศียรแปดกร ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดจากกององครักษ์ของข้าไปได้ อ้อ…อย่าลืมว่าหญิงสาวบุกเข้ามาในห้องบุรุษ รู้ถึงไหนก็เสื่อมเสียถึงนั่น โดยเฉพาะหากคนจับได้ว่าเจ้าคือใคร”

ฝูซินถลึงตาใส่เขา นางข่มกลั้นโทสะไว้ในใจ ย่างสามขุมเข้าหาชายหนุ่มที่แต่งตัวรุ่มร่ามโดยไม่มีอาการเขินอายแม้แต่น้อย

มือที่สากเล็กน้อยของฝูซินแหวกสาบเสื้อของจื่อเว่ย ครั้นเห็นว่าเขาเกร็งแขนก็กระตุกยิ้มมุมปาก “ทำไม หรือกลัวข้าแล้ว”

จื่อเว่ยหลุบตามองริมฝีปากนาง เอ่ยเสียงพร่า “ระยะห่างเพียงเท่านี้ ข้าสามารถใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจฉีกกระชากอาภรณ์ของเจ้า จากนั้น…”

“หุบปากถ้ายังอยากให้ข้าใส่ยาให้เจ้าอยู่”

“หึ องค์หญิงผู้บ้าดีเดือด คิดไม่ถึงว่าเรื่องระหว่างชายหญิงกลับอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ อึก!”

ฝูซินจงใจกดแผลของเขาจนเลือดซึม จื่อเว่ยจึงหุบปากลงได้ จากนั้นจึงเทผงยาจนหมดขวดอย่างประชดประชัน

“เสร็จแล้ว”

จื่อเว่ยคว้าแขนของฝูซินไว้ก่อนที่นางจะลุกขึ้น พลันกระชากนางให้ขึ้นมาบนเตียงอย่างรวดเร็ว ครั้นนางกำลังจะต่อต้าน เขาก็พลิกกายคร่อมร่างนางไว้ เกศาดำขลับแผ่สยายปกคลุมใบหน้าของหญิงสาว จมูกพลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กำจายออกมาจากร่างกายเขา ผงยาที่ใส่เมื่อครู่ฟุ้งกระจายจนเกือบจะทำให้ฝูซินจาม จื่อเว่ยเอามือปิดปากนางแล้วเขม่นตาให้เงียบ

เพียงชั่วอึดใจประตูห้องของเขาก็เปิดออก ผู้มาเยือนชะงักเท้าเล็กน้อย โบกมือให้คนยกสำรับอาหารเข้ามา

“อา…มิคาดว่าไท่จื่อกำลังเล่นสนุกอยู่ โอ๊ะโอ…เป็นหนุ่มน้อยจากที่ใดกันเพคะ”

ผู้มาเยือนคือองค์หญิงแปด...ปาเซียน

จื่อเว่ยหลับตาครู่หนึ่งเพื่อข่มกลั้นโทสะในอก คนขององค์หญิงรองยังไม่ทันโดนจัดการ องค์หญิงแปดก็เข้ามารับโทษถึงที่

เรือนร่างหอมกรุ่นของปาเซียนก้าวเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ สองมือสอดประสานไว้ใต้แขนเสื้อ ดวงตาหวานซึ้งจ้องมองจื่อเว่ยโดยที่ไม่ปิดกั้นอารมณ์ส่วนลึก อาภรณ์สีชมพูหวานรัดรึงเนินเนื้ออวบอิ่มจนล้นปรี่ เอวบางคอดกิ่วแขวนถุงหอมสีเดียวกัน เครื่องหน้างดงามตรึงตรา อากัปกิริยาอ่อนหวาน

ทว่าจื่อเว่ยเพียงปรายมองนางแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเย็นชา “ขอบคุณน้องแปดที่มีใจเป็นห่วงข้า”

ปาเซียนยกยิ้ม เคลื่อนกายเข้าใกล้ชายหนุ่มราวกับว่าท่าทางล่อแหลมของเขามิได้ทำให้นางกระดากอายเท่าใดนัก ทั้งยังทำท่าทีราวกับว่ามันน่าสนใจเสียเหลือเกิน

“วันนี้หนุ่มน้อยที่ท่านพามาเป็นใคร”

นางถามราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าของตัวเขา จื่อเว่ยหลับตาข่มกลั้นโทสะ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า…”

“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร…หากเสด็จพี่ไม่รังเกียจ”

จื่อเว่ยรวบเส้นผมของตนขึ้น ผินหน้ามององค์หญิงปาเซียนผู้ไร้ยางอายพลันยิ้มเยาะนาง “หากน้องแปดต้องการ องครักษ์ของข้าที่อยู่ข้างนอกนั้นก็เพียงพอให้เจ้าหายอยากไปหลายวันแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่นางผู้นี้มิใช่บุรุษ”

องค์หญิงปาเซียนขมวดคิ้ว สีหน้าโกรธขึ้งผุดวาบขึ้นมา นางกล่าวเสียงแข็ง “นาง? ท่านมิได้…”

จื่อเว่ยหัวเราะเสียงเย็น “มิใช่ว่าน้องแปดต้องการบุรุษจนทนไม่ไหว ให้คนมารับองครักษ์ข้าไปปรนนิบัติทุกวันหรือ ข้ามิได้สนใจบุรุษอยู่แล้ว ไยน้องแปดทำสีหน้าเช่นนั้นเล่า?”

ฝูซินขมวดคิ้ว เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนพี่ชายกับน้องสาวกำลังทะเลาะแย่งบุรุษกันนะ

“แต่ท่านนอนกับบุรุษ…”

“หืม? องครักษ์ก็ต้องนอนเฝ้าข้าอยู่แล้ว มีอะไรผิดปกติหรือ?”

“ท่านมิเคยให้สตรีขึ้นเตียงกลางวันแสกๆ มาก่อน”

“ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”

“ไม่ได้! ข้าไม่ยอม” นางพูดอย่างร้อนรน ที่ตรงนั้นต้องเป็นของนาง

“หยุด! ก่อนที่เหล่านางกำนัลจะหมดความนับถือเจ้าปาเซียน!”

จื่อเว่ยกล่าวเสียงแข็ง

“ท่านมิได้ชอบสตรี ท่านรังเกียจสตรีมิใช่หรือ”

“หึ ข้ารังเกียจเจ้าต่างหาก”

น้ำเสียงไร้เยื่อใยของจื่อเว่ยทำให้องค์หญิงปาเซียนทรุดเข่าลงอย่างหมดแรง จนนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกต้องวุ่นวายเข้ามาประคองด้วยความตกใจ ดวงตาหวานซึ้งพลันมีน้ำตาเอ่อ พร้อมกับเสียงสะอื้นอย่างน่าเวทนา

“ไม่จริง…เสด็จพี่โกหก”

จื่อเว่ยแค่นเสียงในลำคอ เขาเลื่อนฝ่ามือออกจากปากของฝูซิน ก้มลงดูดกลืนริมฝีปากนางต่อหน้าองค์หญิงแปดและนางกำนัลทั้งหมด

ฝูซินตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ริมฝีปากถูกเขาดูดดึงอย่างหยาบคาย กลีบปากพลันเจ็บแปลบราวกับว่าถูกเขากัดกินอย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวกลั้นหายใจ กำหมัดแน่นด้วยความตกตะลึง

จื่อเว่ยถอนริมฝีปากออก หันไปคลี่ยิ้มให้กับองค์หญิงปาเซียน “นางเป็นว่าที่ไท่จื่อเฟยของข้า…เช่นนี้น้องแปดพอจะรับได้หรือไม่”

“ไม่!” ฝูซินปฏิเสธเสียงแข็ง ยกเท้าทั้งสองข้างถีบจื่อเว่ยเต็มแรงจนตกเตียง

พลั่ก!

“กรี๊ด!!! บังอาจ” องค์หญิงปาเซียนกรีดร้องเสียงดังราวกับคนวิปลาส นางเพิ่งถูกเสด็จพี่ที่นางคลั่งไคล้ไล่ออกจากห้อง ทว่าสตรีน่ารังเกียจนางนี้กลับทำร้ายร่างกายเขา ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

หลังจากเสียงหวีดร้องขององค์หญิงแปด องครักษ์นับสิบพลันกรูกันเข้ามาในทันใด

ครั้นเหล่าองครักษ์เข้ามาถึง ก็พลันเห็นว่าองค์หญิงปาเซียนร่ำไห้ปิ่ม

จะขาดใจ ไท่จื่อของพวกเขากลับนั่งแผ่หลาบนพื้นแล้วหัวเราะเสียงเย็น อาภรณ์รุ่ยร่ายจนเห็นบาดแผลบนอกที่มีเลือดซึมออกมา ส่วนคนบนเตียง บัดนี้นางยืนเท้าสะเอว ถลึงตาดุร้ายราวกับแม่เสือและตั้งท่าจะลงมากระทืบไท่จื่อของพวกเขาซ้ำ

องครักษ์นายหนึ่งตั้งสติได้ ปราดเข้าไปขวางหน้าไท่จื่อของเขาด้วยความภักดี

“เจ้าบังอาจทำร้ายไท่จื่อ!”

จื่อเว่ยยิ้มเย็น เอียงคอมองฝูซินด้วยสายตาของผู้ชนะ พลางส่งเสียงด้วยความตกใจ “โอ๊ะ…ความแตกซะแล้ว”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel