เพื่อนที่แปลว่า (เมีย) bad friend

188.0K · จบแล้ว
Story Truth / ลำเจียก
117
บท
64.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เพราะความที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กจึงยากที่จะคิดอะไรเกินเลย สองคนหนักแน่นกับคำว่าเพื่อนมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคนที่นอนข้างๆ คือ ‘เพื่อนที่คบกันมานาน’ แถมยังเปลือยกายทั้งคู่ นับจากนั้นสถานะก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็น ‘เพื่อนที่แปลว่าเมีย’

นิยายรักรักหวานๆดราม่ารักวัยรุ่นนักศึกษาฟินๆ18+

INTRO - เพื่อนรัก เพื่อนร้าย

“สงครามแต่งตัวเสร็จหรือยังมันสายแล้วนะ”

“เออแป๊บ!! เร่งอยู่ได้”

ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่พร้อมกับกรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องมารอ

ฉันชื่อเส้นด้าย ส่วนคนเมื่อกี้ที่เพิ่งถูกบ่นไปชื่อสงคราม เราสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล ประถม มัธยมและมหาวิทยาลัย เพราะแม่สนิทกันฉันกับสงครามเลยต้องกลายเป็นเพื่อนกันโดยปริยาย

ถึงเราจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ แต่ฐานะทางบ้านต่างกันราวฟ้ากับดิน บ้านของสงครามทำธุรกิจหลายอย่างเรียกได้ว่าโคตรรวยเลยแหละ

ส่วนบ้านฉันทำสวนผลไม้เล็กๆ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดเพราะความอยากมาเรียนในเมืองกรุงแท้ๆ ฉันถึงต้องมาคอยกุมขมับอย่างทุกวันนี้

บอกตามตรงว่านอกจะหน้าตาดีกับบ้านรวยแล้วสงครามก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง มีงานอะไรที่มหาวิทยาลัยเขาก็โยนมาให้ฉันทำ แต่ดีหน่อยได้ค่าจ้าง

ตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัยทุกอย่างในชีวิตของเขาฉันเป็นคนดูแลอย่างกับแม่คนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเต็มใจหรอกนะ เพราะเงินล้วนๆ

พูดแล้วก็ไม่คิดว่าเราสองคนจะเป็นเพื่อนมาได้จนถึงทุกวันนี้

“เสร็จแล้วไป!! ยืนเหม่อมองน้องชายฉันอยู่ได้”

“น้องชายอะไรของนาย ?” ฉันขมวดคิ้วงุนงงกับคำพูดนั้น สงครามจึงก้มหน้าเอามือชี้นิ้วลงตรงเป้ากางเกงของตัวเองแล้วพูดอย่างไม่อาย “ตอนเช้ามันจะตื่นมาทักทายแบบนี้ปกติ โทษทีที่น้องชายของฉันทำให้เธอตกใจ”

“ไอ้สงคราม!! ไอ้ทะลึ่ง!! ใครจะอยากมองของนาย”

นี่แหละคือตัวตนภายใต้ใบหน้าหล่อวัวตายควายล้มที่สาวๆ เกือบทั้งมหาวิทยาลัยพากันกรี๊ด มันคือความลามก หื่นกาม สมองคิดแต่เรื่องสิบแปดบวกไปวันๆ

แล้วเหตุผลที่ฉันต้องคอยมาเร่งๆ เพราะต้องติดรถไปมหาวิทยาลัยด้วย

#มหาวิทยาลัย

ฉันกับสงครามเรียนกันคนละคณะ เวลานี้แหละที่ทำให้ปวดหัวน้อยที่สุด แต่ก็จะรำคาญเพื่อนๆ ที่ชอบมาถามเรื่องเขาอยู่เรื่อย

“ด้าย สงครามเขา….”

“หยุดจ้ะ!!” แค่ได้ยินชื่อก็ต้องรีบหันมาเบรกมีนาก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ “ช่วยหยุดพูดถึงชื่อนี้สักครึ่งชั่วโมงได้ไหม ตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัยก็มีแต่คนถามเนี่ย”

มีนาคือเพื่อนที่เจอกันตอนปีหนึ่ง ตอนนี้เราอยู่ปีสามแล้ว เธอเป็นลูกคุณหนู เป็นผู้หญิงหวานๆ แอบชอบสงครามมาตั้งแต่ปีหนึ่งแต่ไม่กล้าสารภาพรัก ได้แต่คอยถามฉัน

“แกก็!!” มีนาทำหน้ามุ่ยใส่เมื่อถูกเบรกไม่ให้พูด “รู้ไหมว่าแกน่าอิจฉาขนาดไหน”

“อย่างฉันเนี่ยนะ อิจฉาเรื่องอะไรหรอ?”

“ก็ได้อยู่ใกล้ๆ สงครามไง ขึ้นรถกลับบ้านด้วยกันอยู่คอนโดเดียวกัน น่าอิจฉามากเลย”

“ถ้าแกไปใช้ชีวิตอยู่แบบฉันอาจจะเลิกชอบเขาไปเลยก็ได้”

“ถ้าเป็นฉันคงต้องชอบมากกว่าเดิมสิไม่ว่า” มีนาพูดพร้อมกับรอยยิ้มเพ้อฝัน

ฉันกับมีนานั่งคุยกันได้สักพักก็ต้องไปเรียน วันนี้มีเรียนแค่ห้าโมงเช้า ช่วงบ่ายว่างเราจึงไปดูหนังด้วยกัน

อย่างที่บอกว่าเพื่อนฉันเป็นลูกคนมีฐานะ ทุกๆ วันจะมีคนขับรถคอยรับและส่ง วันนี้จึงได้ขออาศัยติดรถนางมาลงที่คอนโดด้วย

#คอนโด

ขณะที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดเข้ามา แต่ฉันไม่ได้ตกใจอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

สงครามจะมีคีย์กาดห้องฉัน ส่วนฉันก็มีคีย์กาดห้องเขาเหมือนกัน มันเป็นเรื่องปกติที่เราสองคนจะเข้าๆ ออกๆ ห้องกันและกัน

“ด้ายวันนี้น่าเบื่อนะว่าไหม?” ร่างหนาเดินมานั่งที่โซฟา สงครามจะเรียกฉันแบบนี้ เหมือนว่าเป็นเพื่อนผู้ชายของเขาคนหนึ่งนั่นแหละ

ฉันรู้ทันหรอก พูดแบบนี้แปลว่าจะชวนไปดื่มแน่ๆ

“ที่หน้าคอนโดมีคลับเปิดใหม่” พอฉันไม่ตอบเขาก็เริ่มพูดเข้าประเด็น

“แล้ว ?” ฉันถามอย่างไม่สนใจตามองจอทีวี จนสงครามมันต้องจับหน้าให้หันมาหาตัวเองและตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนก็อยู่ในระดับเดียวกัน

“จะชวนไปดื่ม”

“ไม่เอาขี้เกียจ อยากไปก็ชวนเพื่อนไปสิจะมาชวนฉันทำไม”

“แล้วเธอไม่ใช่เพื่อน ?” หัวคิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับคำถาม

“หมายถึงเพื่อนผู้ชาย”

“เธอก็ไม่ต่างจากผู้ชายเท่าไหร่ นมก็ไม่มี ดูก้ามแขนดิ” ดูปากมันสิ ตั้งแต่เด็กจนโตเคยคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ไอ้สงครามปากหมา เดี๋ยวเถอะ” ฉันง้างมือจะตีแต่เขาลุกขึ้นกระโดดหนีไปก่อน

“ห้ามปฏิเสธนี่คือคำสั่งของเพื่อนรัก”

คิดว่าทำหน้าหล่อๆ แบบนั้นแล้วจะทำอะไรฉันได้หรือไง ฝันไปเถอะ

“อย่างนายน่ะฉันยกให้เป็นเพื่อน เ..หี้…ย เหมาะสมกว่า”

เห็นชีวิตในแต่ละวันของผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันแล้วสงสารใช่ไหมล่ะ อยากลาออกจากการเป็นเพื่อนกับเขาจะแย่

“ชวนมาเที่ยวผับไม่ได้ชวนเข้าวัด” ไม่พูดเปล่า สายตาคมสองคู่ยังไล่มองสำรวจการแต่งตัวของฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนได้เอารองเท้าฟาดปากแน่ๆ

มันแปลกตรงไหน แค่ใส่กางเกงวอมสีเทาแบบที่เขาชอบใส่วิ่งกัน กับเสื้อยืดคอกลมสีขาวเบอร์เอ็กแอลหลวมอย่างกับเสื้อกันหนาว มัดผมลวกๆ เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ส่วนหน้าก็โนเครื่องสำอางทาแป้งเด็ก ทาลิปสีชมพูนิดๆ

การแต่งตัวของฉันมันแย่หรอ ?

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไม่มีผัวกับเขาสักที” ดู!!! ดูคำพูดสิ เห็นหน้าหล่อๆ แบบนี้เวลาอยู่กับฉันปากจัดอย่างกับผู้หญิง

“เรียนจบเมื่อไหร่ฉันจะหาเอาแฟนมาอวดให้ดู!!”

“ฮึ!! เดี๋ยวจะรับขวัญให้สักล้าน” เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าคนอย่างอีนางเส้นด้ายคนนี้จะมีแฟนกับเขาได้

“เอออ!! พูดแล้วฉันจำได้หมดนะจะบอกให้”

#คลับ

ฉันคือชะนีคนเดียวในกลุ่มที่มีผู้ชายยืนล้อมอยู่สี่คน ชวนเพื่อนมาแล้วไม่รู้จะชวนมาอีกทำไม คิดถึงเตียงที่ห้องชะมัดเลย

“ด้ายจะหลับได้ไงมาๆ ชนแก้วกันหน่อย” คีเวิร์ดเพื่อนของสงครามพูดขึ้นพร้อมกับเอาแก้วเหล้ามาชนกับแก้วของฉัน

เพื่อนของสงครามมีสามคนชื่อ แปง คีเวิร์ดแล้วก็ต้า จะว่าฉันสนิทกับเพื่อนของเขาทุกคนมันก็ใช่ เพราะนิสัยห้าวๆ ทำให้สนิทกับผู้ชายง่าย

ในขณะที่ดื่มอยู่มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาขอชนแก้วกับสงคราม เขาก็ชนด้วยตามประสาคนเจ้าชู้แต่เหมือนไม่สนใจอะไรผู้หญิงคนนั้นสักเท่าไหร่

ให้หลังจากที่เธอคนนั้นเดินไปได้ไม่นานก็มีผู้ชายเดินมาชนจนหน้าของสงครามเกือบทิ่มโต๊ะ แถมยังใช้สายตามองเหมือนกำลังหาเรื่อง ที่สำคัญไอ้นั่นมันเดินไปเลยไม่พูดขอโทษสักคำ

สงครามเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ดีก็จริง แต่!!! อย่าได้กระตุกต่อมโหด ดิบ เถื่อนของเขาเชียว เพราะผู้ชายคนนี้ไม่เคยไว้หน้าและไม่ปราณีใคร

“วอนนักนะมึง” ฝ่ามือใหญ่คว้ามาจับขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะ จะรั้งไว้ก็ไม่ทัน ตอนนี้สงครามเดินถือขวดเหล้าไปหาไอ้ผู้ชายดวงตกคนนั้นแล้ว

“ไอ้เหี้ยครามเหล้าแพงนะเว้ย กูอุตส่าห์ขโมยพ่อมาแม่งกินยังไม่ถึงครึ่งเลย” แปงรีบร้องท้วงแต่ไม่ทัน สงครามเดินไปนู้นแล้ว

“รีบไปห้ามสิเดี๋ยวก็ซวยกันหมดหรอก” ฉันบอกผู้ชายสามคนที่ยืนหัวโด่อยู่สามคนไม่ยอมทำอะไร

“ก็รู้ว่าเวลามันของขึ้นใครหน้าไหนก็เอาไม่ลง ยกเว้นเธอ เพราะฉะนั้นรีบไปห้ามมันด่วนเลย”

“กลัวเป็นเหมือนกันนะ”

ฉันลังเลเพราะกลัว ตอนโกรธสงครามเขาน่ากลัวมากจริงๆ นะ ขนาดเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กฉันยังกลัวเลย

“ด้ายเร็วดิวะมันเดินไปนู้นแล้ว” นี่ก็เร่งจังเลย รีบมากทำไมไม่ไปห้ามเองเล่า!!

“อื้อ! รู้แล้วขอทำใจแป๊บนึงไม่ได้หรือไง”

“ไม่มีเวลาให้ทำใจแล้วไปด่วนเลยด้าย ก่อนที่จะได้เสียเงินจ่ายค่าทำศพไอ้นั่น”

ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะวิ่งแหวกฝูงผู้คนเพื่อจะไปห้ามไม่ให้เกิดเรื่อง คิดดูสิว่าฉันสูงหนึ่งร้อยห้าสิบแปด หนักสี่สิบห้า เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็กเลยต้องมาวิ่งผ่านฝูงคนที่แน่นเอี๊ยดแบบนี้แทบจะเป็นลม

หมับ!! ในที่สุดฉันก็คว้าแขนสงครามได้สำเร็จ แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้นั่นหันมาพอดี

“มึงจะเอา ?”

รู้แล้วว่าทำไมไอ้ผู้ชายคนนี้ถึงรีบเดินนัก ตั้งใจล่อให้สงครามเดินตามเพราะกลุ่มของพวกเขาอยู่ตรงนี้ เยอะซะด้วย

“มึงกับกูเคยรู้จักกัน ?”

“ไม่เคยแต่ผู้หญิงที่มึงชนแก้วด้วยเป็นเด็กกู”

“หรอวะ เด็กมึงร่านเองเกี่ยวอะไรกับกู”

“สงครามกลับโต๊ะเถอะอย่ามีเรื่องเลยนะ” ฉันกำมือที่เขาถือขวดเหล้าเอาไว้แน่นเพราะกลัวมันจะลอยไปใส่หัวไอ้นั่นซะก่อน

“กลับแน่ถ้าฉันได้เอาเลือดหัวมันออก” แววตาอำมหิตคู่นั้นของเขาหันมามองใบหน้าของฉันทำเอามือไม้สั่นเลยทีเดียว

“ถ้ามึงคิดว่าตัวเองแน่ก็ออกไปข้างนอกกับกู”

“เออ!!”

“สงคราม!!” ฉันรั้งเขาเอาไว้สุดแรงที่ตัวเองมี ไอ้บ้านี่ไม่กลัวตายเลยหรือไง ฉันกลัวจนฉี่จะลาดแล้วนะ

“ถ้านายไปฉันจะกลับ เจ็บมาก็ไม่ต้องขอให้ทำแผลด้วยนะ!!”

“กลัวเมียหรอวะ” ฝั่งนั้นพูดเย้ยใส่แล้วหัวเราะ

แต่เดี๋ยวก่อนนั่นตาหรอถึงได้มองว่าฉันกับสงครามเป็นผัวเมียกัน น่าตบปากสักที!!

สงครามพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เหมือนกำลังพยายามใจเย็น เขาจับมือฉันแล้วหันหลังให้ไอ้พวกนั้นก่อนจะเดินกลับโต๊ะ

ทำเอาโล่งใจ หายใจได้ทั่วท้องสักที

“เห็นไหมกูบอกแล้วว่าไอ้ด้ายเอาอยู่” ต้าพูดขึ้นทันทีที่ฉันกับสงครามเดินกลับมาโต๊ะ

ที่ทุกคนต่างโล่งใจไม่ใช่เพราะเราปลอดภัยแต่เพราะเหล้าราคาแพงไม่เสียหายต่างหาก

“เอาอยู่อะไรล่ะ ฉันเกือบขิตแล้ว”

ทุกครั้งที่มีเรื่องถ้าฉันห้ามสงครามจะฟังแถมยังฟังแค่ฉันคนเดียว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันฉันเองก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่อยากถาม คิดไปว่าคงเป็นเพราะความที่เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ