บท
ตั้งค่า

ตอนที่5 ทางหนีทีไล่

ตรงกำแพงหลังโรงหมอแห่งหนึ่ง บัดนี้กำลังมีหนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีกำลังยืนกระทำการบางอย่างอยู่ตรงริมกำแพงนั่น

พวกเขากำลังมีพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ควรให้ใครได้พบเห็น ใบหน้าของพวกเขากำลังแนบชิดเบียดเสียด ริมฝีปากของพวกเขากำลังแทรกซึมล้วงลึก เรือนร่างของพวกเขากำลังเข้าข่ายคลอเคลียพัลวัน

จ้าวจิ่นหลงยังคงกดจูบเฉินเจียวเหมยโดยไม่สนใจฝ่ามือเรียวสวยของนางที่กำลังผลักดันแผงอกของเขาแต่อย่างใด

สองฝ่ามือของเขาเพียงจับอยู่กับสองพวงแก้มของนาง นิ้วเรียวยาวของเขาเพียงโอบกุมใบหน้านวลเนียนของนางเอาไว้ เพื่อที่นางจะได้ไม่สามารถเบือนใบหน้าและริมฝีปากของนางหนีริมฝีปากของเขาได้แต่อย่างใด

“อื้อ...” เสียงอู้อี้ของเฉินเจียวเหมยยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จ้าวจิ่นหลงยังคงกดจูบนางอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

การจูบยังคงดำเนินอยู่ครู่ใหญ่ ฝ่ามือร้อนกรุ่นที่จับกุมสองพวงแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นโอบกอดลูบไล้ไปตามเรือนร่างไปตามลำตัว

เฉินเจียวเหมยเริ่มที่จะหมดแรงต่อต้านใดๆ มือที่ผลักแผงอกของเขาก็เริ่มที่จะหมดแรงผลักดันเขาให้ออกไป ด้วยเพราะว่าปลายลิ้นดุดันของเขากำลังกระตุ้นอารมณ์ของนาง

ไม่สิ ไม่ใช่! การกระทำของเขากำลังทำให้นางหายใจไม่ออก นั่นจึงทำให้นางอ่อนแรงลงจนเกือบจะหมดแรงต่อต้านเขา นางหาได้เคลิบเคลิ้มคล้อยตามปลายลิ้นของเขาไม่

เฉินเจียวเหมยเริ่มเรียกสติของตนที่กำลังจะเตลิดเปิดเปิงให้กลับมาเพื่อคิดการแก้ไขสถานการณ์จากการถือสิทธิ์กินเต้าหู้นางอย่างเอร็ดอร่อยของบุรุษน่าตายผู้นี้

นางควรทำอย่างไรดี

แกล้งสลบเลยดีกว่า

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เฉินเจียวเหมยจึงปล่อยฝ่ามือออกจากแผงอกของเขา ปล่อยลำแขนลงข้างลำตัว ทิ้งร่างบอบบางของตนลงบนพื้นเบื้องล่าง ทำท่าทางคล้ายกับว่ากำลังสลบไสลหมดสติไปกลางอากาศ

แต่ทว่า...ไยร่างของนางไม่ถึงพื้นเสียที

ไยริมฝีปากของนางยังไม่ได้รับอิสระ

ไยเขายังไม่รับรู้ว่านางสลบไปแล้ว

ถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้สลบต่อไปเพื่อความแนบเนียน

จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงพรมจูบว่าที่ชายาของเขา ไม่สิ! นางเป็นชายาของเขาแล้วอย่างเต็มตัว เหลือแค่เพียงพิธีการก็เท่านั้น

เขาเริ่มที่จะรู้สึกได้แล้วว่าสตรีตรงหน้าคล้ายกับแน่นิ่งไป เขาจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของนาง ก่อนจะก้มหน้าลงพิศมองนางในอ้อมกอดนิ่งงัน

เขาเห็นนางหลับตาพริ้ม ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง ริมฝีปากได้รูปบวมแดงจากการกระทำของเขา อา...ขอจูบต่ออีกทีหนึ่ง

คิดได้แล้วก็ก้มหน้าจูบชายาของตนต่อไป…

เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ผลจึงหรี่ตามองบุรุษน่าตายผู้นี้อย่างนึกขัดเคืองขึ้นมาอยู่หลายส่วน

ใช้แผนการอันใดดี? นางยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจขณะยังคงถูกกดจูบดูดดันริมฝีปากอยู่อย่างนั้น

เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เฉินเจียวเหมยก็ยังคงคิดแผนการใดๆ ไม่ออก เนื่องจากว่ายามนี้ นางไม่มีสมาธิเอาเสียเลย บุรุษน่าตายผู้นี้กำลังรบกวนสมาธิของนางอย่างไม่น่าให้อภัย

“ท่านหมอ” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอยู่ทางด้านหน้าของโรงหมอ

เฉินเจียวเหมยกับจ้าวจิ่นหลงพลันตกใจจนผละริมฝีปากออกจากกันก่อนจ้องหน้ากันและกันอยู่นิ่งงันอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากๆ

“ท่านหมอ” เสียงทางด้านหน้ายังคงเอ่ยเรียกขาน “ท่านหมออยู่หรือไม่”

“ปล่อยนะ” เฉินเจียวเหมยเอ่ยเสียงเบาดุดันใส่หน้าใครบางคนที่ถอนใบหน้าถอนริมฝีปากออกจากนางแล้วแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนออกแต่อย่างใด

“...”

จ้าวจิ่นหลงได้แต่เงียบงันไร้การตอบสนองต่อน้ำเสียงดุดันของสตรีตรงหน้าแต่อย่างใด

เฉินเจียวเหมยจึงเอื้อมมือของตนขึ้นตีวงแขนแข็งแกร่งของเขาไปหนึ่งทีก่อนคำราม “ปล่อย!”

จ้าวจิ่นหลงจึงค่อยๆ ปล่อยวงแขนของตนออกจากร่างงามที่กำลังถลึงดวงตาสวยใสเข้าฟาดฟันเขาอย่างน่าเอ็นดู

เมื่อเฉินเจียวเหมยได้รับอิสระจากบุรุษตรงหน้าแล้วนางจึงค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างระมัดระวัง

เมื่อเบี่ยงตัวออกมาห่างได้ระยะหนึ่งแล้วนางจึงวิ่งหนีผละออกไปอีกทางอย่างหนึ่งอย่างรวดเร็วในทันที

จ้าวจิ่นหลงถึงกับยืนนิ่งอึ้งไปอีกครา

“อ้าว!ท่านหมอ วิ่งไปไหน ท่าน!” เสียงของชาวบ้านคนนั้นตะโกนไล่หลังเฉินเจียวเหมยไปอย่างงุนงง

เขาเข้ามาเป็นรอบที่สองแล้ว แต่ทว่า...ท่านหมอเฉินก็ยังคงวิ่งหนีเขาไป ยาอันใดเขาก็ไม่กล้าหยิบเอาไปเอง แล้ววันนี้เขาจะได้กินยาหรือไม่กัน เขายังคงไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ

เฉินเจียวเหมยวิ่งหนีออกมาจากโรงหมออีกครั้งหนึ่งจนเหน็ดเหนื่อยแขนขาอ่อนแรง “อ๊ะ!” หญิงสาวอุทานออกมาเมื่อเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนหน้าทิ่มชนเข้ากับกำแพงบ้านเรือนในตรอกแห่งหนึ่ง

นางถึงกับรู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าผากพลันคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างฉับไว

อา...คิดออกแล้ว แกล้งความจำเลอะเลือนดีหรือไม่

แล้วเป็นคนเสียสติคุยไม่รู้เรื่องไปเลยดีกว่า

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงตั้งใจเอาหน้าผากของตนกระแทกเบาๆ ไปที่กำแพงอีกสองทีเพื่อให้เกิดริ้วรอยสีแดงบนหน้าผากของนางเพิ่มเติมอีกหน่อย

ประเดี๋ยวค่อยไปทายาตามด้วยประคบก็หายดีแล้ว หญิงสาวคิดแผนการสำรองสำหรับรอยแดงอันนี้เอาไว้อยู่ภายในใจ

เวลาต่อมา...

เฉินเจียวเหมยแอบเดินเข้ามาทางด้านหลังของโรงหมออย่างระแวดระวัง เพราะเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการวิ่งหนีวกไปวนมาภายในหมู่บ้านอยู่หลายรอบ

หากนางเจอเขานางจะทำเป็นเสียสติจำเขาไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง คอยดู หึ!

หญิงสาวคิดอย่างนั้นพลางเดินเข้ามายังซอกหลืบตรงทางเดินเล็กแคบหลังโรงหมอของตนด้วยท่าทางมุ่งมั่นหมายมาด

และแล้วนางกลับต้องชะงักเพราะบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยมาดของผู้สูงศักดิ์ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอยู่

ยืนรอเลยรึ!? เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามอง

จ้าวจิ่นหลงที่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีนางนี้จะต้องวิ่งหนีเขาจนเหน็ดเหนื่อยแล้วเดินกลับเข้ามายังโรงหมอของนางด้วยตัวของนางเอง

เขาจึงเพียงยืนรอนางอยู่อย่างใจเย็น

เมื่อเขามองเห็นนางกำลังเดินเข้ามาในโรงหมอเขาจึงเพียงแค่จ้องมองนางอยู่นิ่งๆ

เขาจะต้องคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียที ฮึ!

“ท่านเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน ข้าเป็นใครกันนี่” เฉินเจียวเหมยเริ่มต้นบทบาทที่คิดเอาไว้พลางยกมือของตนขึ้นกุมศีรษะด้านหนึ่ง คงเหลือเอาไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อเผยให้เห็นรอยจ้ำสีแดงบนหน้าผาก “ได้โปรดข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย”

จ้าวจิ่นหลงเพียงหรี่ตามองใครบางคนที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย

เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองไม่ถนัดเรื่องมารยาสักเท่าไหร่จึงได้แต่ทำแข็งใจตีเนียนต่อไปอย่างมึนๆ

“ท่านคงเป็นท่านหมอของที่นี่สินะ ท่านควรไปดูแลคนป่วยบ้านโน้น” ว่าแล้วก็วาดนิ้วพลางผินใบหน้าไปตามทิศทางอันไกลโพ้น

“ได้ข่าวว่าใกล้ตายแล้ว ท่านหมอรีบไปเลย” จบคำก็เดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าแล้วผลักดันเขาให้ออกไปยังทิศทางที่นางวาดนิ้วชี้ไปเมื่อครู่

“ข้าว่าทางนี้มีคนป่วยมากกว่าทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ

“อา...ใช่...ข้าเองก็ป่วย ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ท่านรีบไป” เฉินเจียวเหมยยังคงตีเนียนหน้ามึนพลางฉุดดึงร่างของใครบางคนที่บัดนี้คล้ายกับรากไม้อีกแล้ว

“หากเจ้าจำสิ่งใดไม่ได้ ข้าจะบอกกล่าวให้” จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงขืนตัวเองเอาไว้ไม่ยอมขยับเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า “ข้าเป็นสามีของเจ้า”

“...”

เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป

“เจ้าเป็นภรรยาของข้า”

“...”

เฉินเจียวเหมยถึงกับทำอันใดไม่ถูก

“ข้าจะพาเจ้ากลับไปแต่งงาน”

ครานี้เฉินเจียวเหมยถึงกับตั้งท่าจะวิ่งหนี

จ้าวจิ่นหลงรู้ทันในท่าทีจึงตวัดวงแขนของตนโอบกอดเฉินเจียวเหมยเอาไว้อย่างแนบแน่น

“ปล่อยข้านะ” หญิงสาวดิ้นรนพลางตะโกนออกมา

“หยุดหนีเสียที” ชายหนุ่มเริ่มคำราม

“ไม่..” เฉินเจียวเหมยยังคงไม่ยินยอม

จ้าวจิ่นหลงยังคงไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน เขายังคงกอดรัดโรมรันเรือนร่างของเฉินเจียวเหมยเอาไว้โดยไม่คิดที่จะปล่อย

ไม่มีทาง!

“อาเหมย” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นมาตรงทางด้านหน้าของโรงหมอ

“อาหยวน” เฉินเจียวเหมยที่จดจำน้ำเสียงของสหายนามว่าจูหยวนจางได้ นางจึงรีบตะโกนเรียกขานเขาในทันที

จ้าวจิ่นหลงถึงกับนิ่งอึ้งไป

เมื่อเฉินเจียวเหมยรู้สึกได้ถึงอาการนิ่งอึ้งเงียบงันของบุรุษที่กำลังโอบกอดนางอยู่ นางจึงรีบสลัดเขาออกจากวงแขนของเขาแล้ววิ่งไปทางจูหยวนจางในทันที

เมื่อจูหยวนจางเห็นเฉินเจียวเหมยวิ่งออกมาจนปรากฏกายแก่สายตาจึงรีบเอ่ย “ข้าจะเดินทางแล้ว ข้าจึงเข้ามาลาเจ้า”

“อาเหมย ข้าจะเดินทางแล้ว ข้ามาลาเจ้า” น้ำเสียงแว่วหวานของฮูหยินของจูหยวนจางนามว่าหลิวหลีที่เดินเคียงข้างกันมากับจูหยวนจางเอ่ยขึ้นมาทางเฉินเจียวเหมย

“จะเดินทางแล้วหรือ ข้าไปด้วย” จบคำของเฉินเจียวเหมยนางรีบวิ่งออกไปแล้วพุ่งตัวขึ้นรถม้าที่นางแน่ใจว่าเป็นของสหายของนางในทันที

จูหยวนจางและหลิวหลีถึงกับงุนงง

จ้าวจิ่นหลงที่รู้สาเหตุของการพุ่งตัวไปอย่างนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไป

ฮึ่ม! นาง...นาง...

น่าตายนัก!

นางหนีเขาอีกแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel