เพลิงแค้นวิวาห์ซาตาน

165.0K · จบแล้ว
กานจ์แก้ว
35
บท
84.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” โจซิสบอกเสียงเข้ม ดวงตาคมมองตรงไปยังการต์รวีนิ่ง ทำให้บรรดาสาวๆ ที่ยืนแอบมองเขาอยู่ ต่างก็พากันหุบยิ้มอย่างผิดหวังแล้วเดินแยกย้ายกันไป“แต่ดิฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” การต์รวีบอกเสียงแข็ง ก่อนจะเดินหลบเลี่ยงออกมา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้หญิงสาวเดินหนีไปดื้อๆ มือแกร่งจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางแล้วฉุดร่างบางให้เดินตามตนเองไปทางลานจอดรถ ก่อนจะจับหญิงสาวดันเข้าไปในรถพร้อมกับขู่เสียงกร้าว“อย่าคิดวิ่งหนีเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะทำให้เธออับอายจนไม่กล้าสู้หน้าผู้คนเลยคอยดู!”“คุณโจซิส! คุณต้องการอะไรจากดิฉันกันแน่!” การต์รวีตะคอกถามพร้อมกับมองอีกฝ่ายเขม็งอย่างโมโห ส่วนชายหนุ่มนั้นก็แค่กระตุกยิ้มและกระแทกประตูรถปิดใส่หน้าหญิงสาว ก่อนจะรีบเดินอ้อมมาประจำที่ของตนเองแล้วเคลื่อนรถออกไปจากลานจอดรถของบริษัทแห่งนั้นอย่างรวดเร็วการต์รวีนิ่วหน้าอย่างโกรธเคือง ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อเม้มแน่น ก่อนจะหันมาเอ่ยถามเสียงกระด้าง“คุณจะพาดิฉันไปไหนกันแน่คุณโจซิส!”“พาเธอไปเชือดทิ้งไง!” โจซิสหันมาตะคอกใส่เสียงดังด้วยความรำคาญ ก่อนจะเลี้ยวรถไปทางซอยเปลี่ยว การต์รวีถึงกับหน้าซีดเผือดหันซ้ายหันขวา แล้วทำท่าจะเปิดประตูรถกระโจนลงไปทั้งๆ ที่รถยังวิ่งอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ใช้มือข้างหนึ่งตะครุบไหล่บางดึงเอาไว้ และเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ทำให้หน้าผากของการต์รวีโขกเข้ากับคอนโซนหน้ารถอย่างจัง “เป็นไงล่ะ หาเรื่องเจ็บตัวดีนัก สมน้ำหน้า!” นักธุรกิจหนุ่มกระแทกเสียงใส่พร้อมกับเหยียดมุมปากออกอย่างเยาะๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายการต์รวีถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ มือเรียวยกขึ้นลูบคลำหน้าผากพร้อมกับหันมาจ้องอีกฝ่ายตาถลนด้วยความแค้นใจ “คิดจะใช้สายตาฆ่าฉันหรือไง ฮึ!” เขาหัวเราะเยาะในลำคอพร้อมกับหรี่ดวงตาเย็นชามองอีกฝ่ายอย่างหมิ่นๆ แล้วพูดต่อ“ฉันเคยเตือนเธอแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่ามายุ่งกับน้องชายของฉันอีก แต่เธอก็ไม่ยอมฟัง” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มแข็งกระด้างอย่างดุดัน

นิยายรักโรแมนติกประธานมาเฟียเศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1 คู่รักกำมะลอ

ภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมดังระดับห้าดาวใจกลางเมืองหลวง ถูกจัดให้เป็นสถานที่รับรองแขกผู้มีเกียรติระดับไฮโซและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูง ที่มาร่วมในงานมงคลสมรสของนักธุรกิจหนุ่มด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นทายาทของนักการเมืองชื่อดังกับสาวไฮโซที่มีดีกรีเป็นถึงลูกสาวคุณหญิง งานนี้จึงเป็นงานใหญ่ระดับเมืองเลยก็ว่าได้

การต์รวีถึงกับลอบถอนใจออกมาเบาๆ เพราะวงสังคมชั้นสูงแบบนี้มันไม่เหมาะกับสาวสลัมอย่างเธอเอาเสียเลย หญิงสาวหยิบแก้วน้ำเย็นๆ จากบริกรหนุ่มที่เดินเสิร์ฟอยู่ในงานมาถือเอาไว้ แล้วเดินเลี่ยงมายังมุมห้องซึ่งมีชายหนุ่มลูกครึ่งในชุดสูทสากลสีเทา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ผมสีดำ นั่งเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้อยู่ใบหน้าคมหล่อเหลาแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

“เป็นไงบ้างวิน” การต์รวีนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของชายหนุ่มพร้อมกับยื่นแก้วน้ำเย็นส่งให้ สีหน้าของหญิงสาวแสดงถึงความห่วงใยต่ออีกฝ่าย เธอกับเขาสนิทกันมาตั้งแต่ตอนที่เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ตอนนั้นเธอสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่งได้ แต่เพราะฐานะที่ด้อยกว่าคนอื่นทำให้เธอถูกมองเหมือนตัวประหลาดในวงสังคม มีแต่คำพูดและสายตาที่ดูถูกดูหมิ่น มีเพียงวินเชลล์เท่านั้นที่แสดงความเป็นมิตรต่อเธอ

แต่ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกัน เธอก็ไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวของเพื่อนหนุ่มจะมีฐานะร่ำรวยมากขนาดนี้ แถมยังมีหน้าตาในวงสังคมอีกด้วย หญิงสาวนั้นเป็นคนที่ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้วจึงไม่ได้สนใจว่าฐานะทางบ้านของเพื่อนสนิทเป็นอย่างไร พอมาเห็นเข้ากับตาก็ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน

“ขอบใจมากนะรวี” วินเชลล์รับแก้วน้ำเย็นมาแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะวางแก้วลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ และหันมาคลี่ยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า

“จะไหวไหมเนี่ย? ไหนบอกว่าจะแค่ย้อมใจไงล่ะ แต่เนี่ยมันเมาแล้วนะ” การต์รวีเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม เพราะตั้งแต่พาเธอเดินเข้ามาในงาน ชายหนุ่มก็ดื่มบรั่นดีไปเกือบจะ 10 แก้วอยู่แล้ว หญิงสาวลอบถอนใจพลางส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ

“ไหวสิ” วินเชลล์ยืดตัวตรง แล้วดึงมือเรียวมากุมเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อ “ขอบใจรวีมากนะที่ยอมทำตามที่เราขอร้อง”

“ไม่เป็นไร แต่เหมือนกับรวีอมายู่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้ รวีไม่คิดเลยว่างานนี้มันจะใหญ่โตหรูหราแบบนี้” การต์รวีมองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

“ลูกพี่ลูกน้องของวินเขาชอบโอ้อวดความร่ำรวยน่ะ แต่ว่าวันนี้รวีดูสวยมากเลยนะ ถ้าวินไปเจอข้างนอกคงจำไม่ได้แน่ๆ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ ทำให้แก้มนวลเปล่งปลั่งแดงระเรื่อขึ้นด้วยความขวยเขิน

“เป็นเพราะชุดสวยๆ กับช่างแต่งหน้าที่วินส่งให้ไปช่วยรวีแต่งตัวที่บ้านมากกว่าที่ทำให้ลูกเป็ดขี้

เหร่อย่างรวีดูเหมือนกับลูกเป็ดตัวอื่น” หญิงสาวคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย และนึกย้อนไปถึงเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ที่ชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ได้ส่งช่างแต่งตัวแต่งหน้าพร้อมทั้งชุดสวยๆ มาให้ที่บ้าน เธอเลือกชุดที่ดูเรียบๆ ที่สุด นั่นก็คือชุดแซคยาว สายเดี่ยวสีน้ำเงินเข้ม ประดับด้วยดิ้นทองทั้งชุด ส่วนตรงสายก็มีพลอยสีขาวเม็ดเล็กๆ ประดับเอาไว้ตลอดสายไล่มาจนถึงช่วงคอที่ปาดลึกอวดผิวขาวเนียนให้หน้าชวนมอง

“อย่างรวีน่ะไม่ใช่แค่ลูกเป็ดหรอกนะ แต่เป็นหงส์ต่างหาก” วินเชลล์หัวเราะอย่างชอบใจ

“พอเถอะ วินน่ะชมรวีจนจะตัวลอยอยู่แล้ว ว่าแต่วินแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้จริงๆ ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ของวินรู้เข้าจะไม่เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเหรอ รวีว่าวินน่าจะบอกความจริงกับท่านทั้งสองไปจะดีกว่านะ” การต์รวีมองหน้าชายหนุ่มอย่างวิตกกังวล เพราะงานนี้เธอได้ถูกเพื่อนหนุ่มขอร้องให้ช่วยมาเป็นคนรักปลอมๆ ให้ ซึ่งเธอเองก็รู้สึกผิดที่ต้องโกหกผู้อื่น

“วินทำแบบนั้นไม่ได้หรอกรวี” เขารู้ตัวว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดที่หลอกลวงบิดามารดาของตนเอง แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะถ้าเขาไม่มีคนรักมาปรากฏตัวในวันนี้ มารดาของเขาก็จะจับคู่ให้กับเขาเอง ซึ่งเขายังไม่พร้อมที่จะมีใครในตอนนี้ จึงจำเป็นต้องให้เพื่อนสาวอย่างการต์รวีมาเป็นคู่รักจอมปลอมให้เพื่อตบตาบิดามารดา

“ถึงวินไม่บอกในตอนนี้ สักวันท่านก็ต้องรู้นะ แล้ววินคิดว่าจะหลอกท่านได้ตลอดเหรอ” การต์รวีเองก็เห็นใจเพื่อนหนุ่ม แต่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มหนีปัญหาด้วยการใช้วิธีหลอกลวง

“วิน...วินไม่กล้าพอที่จะบอกความจริง” วินเชลล์บอกเสียงอ่อยและมองสบสายตาหญิงสาวนิ่ง “ความจริงอะไร?!” จู่ๆ น้ำเสียงเข้มๆ แต่แฝงเอาไว้ด้วยความดุดันก็ดังขึ้นทางเบื้องหลังของการต์รวี ทำให้วินเชลล์เงยหน้าขึ้นมอง หัวใจของเขากระตุกวูบเมื่อเห็นพี่ชายของตนกำลังยืนจ้องมาที่เขากับเพื่อนสาวด้วยแววตาขึงขัง

การต์รวีหันไปมองและได้สบกับสายตาสีน้ำเงินเข้มเย็นชาคู่นั้นเข้าพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเธอเหมือนกับจะหยุดนิ่งลงทันที ใบหน้าคมหล่อเหลาราวกับดาราหนังต่างประเทศเปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดสายตาของหญิงสาวให้จับจ้องอยู่กับที่ หญิงสาวยอมรับกับตัวเองเลยว่าผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบในความหมายของคำว่าผู้ชายจริงๆ

“ว่าไงล่ะวินเชลล์ ความจริงอะไร?” โจซิสถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับขยับเดินเข้าไปใกล้คนทั้งคู่ สายตาคมของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเนียนพลางคิดในใจ

‘ผู้หญิงคนนี้นะเหรอที่วินเชลล์บอกว่าเป็นคนรัก สวยไม่เบาทีเดียว แต่สายตาของเจ้าหล่อนดูเชิญชวนเกินไป คงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ แน่’ ชายหนุ่มขบกรามเข้าหากันแล้วหรี่ดวงตาลงนิดหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปทางน้องชาย

“ก็ไม่มีอะไรนี่ แค่คุยกันตามประสาคนรักกัน” วินเชลล์ลอบกลืนน้ำลายก่อนจะยักไหล่ทำเป็นไม่มีอะไร

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ถามหานายอยู่ รีบพาคนรักของนายไปแนะนำตัวซะสิ” พูดจบโจซิสก็หันมามองทางการต์รวีที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างหมิ่นๆ แล้วพูดขึ้น

“ใส่ชุดสวยๆ แล้วลงไปนั่งคลุกกับพื้นแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงชั้นสูงเขาทำกันหรอกนะครับ ผมว่าลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้จะเหมาะสมกว่ามั้งครับ” ถึงคำพูดนั้นจะเป็นคำพูดที่ราบเรียบ แต่สายตาและความนัยที่แฝงเอาไว้ด้วยการดูหมิ่นก็ทำให้การต์รวีถึงกับหน้าร้อนผ่าว ความชื่นชมในตัวของบุรุษตรงหน้าลดฮวบลงทันที เธออยากจะสวนกลับอีกฝ่าย แต่ก็เกรงใจเพื่อนหนุ่ม

“พี่โจ พูดอะไรเกรงใจผมบ้างนะ ถึงยังไงรวีก็เป็นคนรักของผม จะชั้นสูงหรือชั้นต่ำผมก็ไม่สนใจเพราะเราสองคนรักกันด้วยหัวใจไม่ใช่เงินทอง” วินเชลล์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจ้องหน้าพี่ชายอย่างไม่พอใจ ที่อีกฝ่ายพูดในทำนองเหยียดหยามเพื่อนสาว

“ไปกันเถอะรวี” เขาหันมาดึงมือเพื่อนสาวที่รับสมอ้างเป็นคู่รักให้ลุกขึ้น แล้วพาเดินเข้าไปหาบิดากับมารดาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าห้อง

การต์รวีหันกลับมามองชายหนุ่มทางด้านหลังนิดหนึ่งด้วยสายตาขุ่นเคืองก่อนจะตวัดกลับมามองตรงไปด้านหน้า แล้วเม้มริมฝีปากแน่น นี่แค่ยังไม่ทันรู้จักกันเลย พี่ชายของเพื่อนหนุ่มก็ตั้งท่ารังเกียจเธอแล้ว ถ้าเกิดว่าเธอได้เข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านนี้จริงๆ มีหวังได้กระอักเลือดตายเพราะคำพูดดูหมิ่นดูแคลนของคนในบ้านนี้แน่ๆ

โจซิสมองตามแผ่นหลังเนียนขาวของหญิงสาวไปพร้อมกับขบกราม ก่อนจะหันไปพยักหน้าเรียกลูกน้องที่ยืนอยู่ทางด้านหลังให้เข้ามาหา

“ไปสืบประวัติของผู้หญิงคนนั้นมาให้ฉันภายใน 30 นาที” เป็นคำสั่งที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นและดุดัน

“ครับ” ฝ่ายลูกน้องก้มศีรษะรับคำสั่งก่อนจะเดินจากไป

“อย่าคิดว่าจะเป็นหนูตกถังข้าวสารได้ง่ายๆ นะ” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วบรั่นดีในมือขึ้นจิบ ส่วนอีกมือก็ยัดลงไปในกระเป๋ากางเกง และทำท่าจะก้าวตามน้องชายไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างบางในชุดรัดรูปสีเหลืองเข้มยาวแค่เข่าเดินตรงเข้ามาหาตน

“มาแอบยืนจิบอยู่คนเดียวที่นี่เองหรือคะ ทิพมองหาคุณจนทั่วงานแน่ะ” ทิพย์สุดาคลี่ยิ้มหวานส่งให้ชายหนุ่มลูกครึ่งที่ตนเองหลงรักมานาน ก่อนจะวางมือลงบนหน้าอกแกร่งเมื่อเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของเขา

“มีธุระอะไรกับผมเหรอ?” โจซิสถามเสียงเรียบพร้อมกับจับมือเรียวออกจากหน้าอก เขารู้ดีว่าทิพย์สุดาคิดยังไงกับเขา แต่เขาไม่เคยคิดเกินเลยมากไปกว่าเพื่อนร่วมธุรกิจ

ทิพย์สุดารู้สึกขุ่นๆ อยู่ในใจกับท่าทางปฏิเสธของนักธุรกิจหนุ่ม เธอรู้จักกับโจซิสเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนที่เขามาติดต่อเช่าเรือขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ และติดต่อกันเรื่อยมา จนมีคนในวงสังคมคิดว่าเธอกับเขาเป็นคู่รักกัน ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ทิพย์สุดาต้องการ แต่ท่าทางที่นิ่งเฉยของโจซิสทำให้หญิงสาวต้องนิ่งตาม เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงที่ถูกอบรมมาอย่างดี มีการศึกษาสูงจะแสดงออกมากเกินไปก็ไม่เหมาะสม

“สำหรับฉันต้องมีธุระด้วยหรือคะถึงจะคุยกับคุณได้” หญิงสาวเข้ม ใบหน้าสวยงอง้ำนิดหนึ่ง

“เปล่า” โจซิสตอบเสียงห้วนๆ อย่างไม่ค่อยสนใจหนัก ก่อนจะหันไปมองทางโต๊ะที่บิดากับมารดานั่งอยู่ ซึ่งในตอนนี้น้องชายของเขากำลังแนะนำหญิงคนรักให้ทุกคนรู้จัก ทิพย์สุดามองตามสายตาของชายหนุ่มไป แล้วหันกลับมาขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กับวินเชลล์เป็นใครหรือคะ ทิพไม่เคยเห็นหน้าเลย?”

“คนรักของวินเชลล์” เขาตอบโดยไม่ได้หันมามองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ทำให้คิ้วเรียวของหญิงสาวต้องขมวดเข้าหากันอย่างเคืองๆ เมื่อคิดว่าชายหนุ่มกำลังสนใจหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินคนนั้น

“สวยดีนะคะ” ทิพย์สุดาบอกอย่างประชด พร้อมกับลอบมองค้อนหญิงสาวที่กำลังพูดถึงอย่างไม่พอใจ

“ใช่ ก็สวยดี แต่ความสวยที่เห็นมันอาจจะซ่อนอะไรไว้ภายในก็ได้” พูดจบร่างสูงก็เดินตรงไปที่โต๊ะของบิดา ทิพย์สุดาเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างขัดใจเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยชมหญิงอื่นต่อหน้า แถมยังเดินหนีไปเฉยๆ ร่างบางยืนนิ่งเพื่อเก็บกักอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองเอาไว้ภายใน ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มเดินตามชายหนุ่มไป

การต์รวีเหลือบสายตามองไปทางผู้ที่มาใหม่แวบหนึ่ง ซึ่งเธอก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็จ้องมองเธออยู่เช่นกัน หญิงสาวยอมรับว่ารู้สึกใจเต้นแรงและอึดอัดขึ้นมาทันทีอย่างบอกไม่ถูก เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเย็นชาคู่นั้น คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม ส่วนบิดากับมารดาของเพื่อนหนุ่มนั้นมีท่าทางที่เป็นมิตรไมตรีต่อเธออย่างมาก

“จะไม่แนะนำคนรักให้พี่รู้จักหน่อยหรือจ๊ะวินเชลล์” ทิพย์สุดาเอ่ยทักชายหนุ่มรุ่นน้องพลางคลี่ยิ้ม ก่อนจะเบนสายตามองไปทางการต์รวีอย่างขวางๆ นิดหนึ่ง

วินเชลล์ลอบถอนใจออกมาอย่างเบื่อๆ กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ กับพี่ชาย เพราะเขาไม่ค่อยชอบทิพย์สุดาสักเท่าไร แต่ก็ต้องฝืนแนะนำเพื่อนสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก ก็เจ้าหล่อนเล่นออกตัวมาแบบนั้นแล้วจะไม่แนะนำเดี๋ยวก็จะเป็นการเสียมารยาททางสังคม

“คุณทิพย์ครับ...นี่การต์รวี คนรักของผม” วินเชลล์หยุดนิดหนึ่งเพื่อหันมาทางเพื่อนสาว ก่อนจะแนะนำต่อ “รวี...นี่คุณทิพย์สุดาเป็นเพื่อนของพี่โจ แล้วก็เป็นเจ้าของบริษัทเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย” คำแนะนำนั่นเหมือนกับแฝงแววประชดเอาไว้นัยที แต่ทิพย์สุดาก็ไม่สนใจ

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มให้หญิงสาวที่อายุอ่อนกว่าว่าบางๆ อย่างไว้เชิง

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” การต์รวีคลี่ยิ้มตอบรับ และอดที่จะเหลือบหางตาไปมองทางชายหนุ่มอีกคนไม่ได้ ยิ่งนั่งอยู่นานเธอก็เริ่มอึดอัดมากขึ้นทุกที สายตาที่เขามองเธอนั้นมันเหมือนกับการจ้องจับผิดยังไงก็ไม่รู้

“ศึกษานิสัยใจคอกันมาดีแล้วแน่เหรอนายวิน ระวังจะเจอพวก 18 มงกุฎหลอกลวงเอาได้นะ ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อนด้วยความหวังดี” โจซิสเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งอย่างเหยียดๆ

“ขอบคุณที่เตือนนะพี่โจ แต่เอาไว้เตือนตัวเองดีกว่าไหมพี่” วินเชลล์เสียงแข็งขึ้นอย่างไม่พอใจ แต่ก่อนที่สงครามระหว่างพี่น้องจะเริ่มขึ้น เสียงของมารดาก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

“หยุดทั้งคู่เลย พูดกันไปเถียงกันมาเดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันอีกหรอก ไม่อายหนูรวีกับหนูทิพย์เขาบ้างหรือไงน่ะ ลูกสองคนนี่” สโรชาส่งสายตาดุๆ ไปให้กับบุตรชายทั้งสอง

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวพารวีไปหาอะไรทานก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่” วินเชลล์เอ่ยตัดบทพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะหันมาประคองร่างบางของการต์รวีแล้วพาเดินออกมาจากโต๊ะ โดยมีสายตาขุ่นขวางของโจซิสมองตามหลังของทั้งสองไป

การต์รวีผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่างโล่งอก เมื่อวินเชลล์พาเธอเดินออกมายืนรับลมเย็นๆ ที่ระเบียงด้านนอกห้องจัดเลี้ยง

“เป็นไงบ้างรวี?” ชายหนุ่มเอ่ยถามยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางที่อ่อนล้าของเพื่อนสาว

“แทบแย่” การต์รวีเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อหนุ่มแล้วพูดต่อ

“ท่าทางพี่ชายของวินจะไม่ชอบหน้าเราเท่าไรเลยนะ มองตาขวางเชียว”

“พี่โจก็เป็นแบบนี้แหละ มองคนอื่นในแง่ร้ายตลอด ไม่มีใครดีเท่าตัวเอง ถึงไม่มีเมียไงเพราะความเรื่องมากของเขานั่นแหละ” ชายหนุ่มเดินมานั่งลงข้างๆ กับหญิงสาว ก่อนจะหงายคอไปทางด้านหลังเพราะยังรู้สึกมึนๆ อยู่

“ยังมึนอยู่หรือวิน?” หญิงสาวเอียงหน้ามามองเพื่อนหนุ่มอย่างเป็นห่วง

“อืม...” หนุ่มลูกครึ่งรับคำในลำคอก่อนจะผงกศีรษะตั้งตรง “เดี๋ยววินขอตัวไปลูบหน้าในห้องน้ำก่อนนะ แล้วจะหาของกินมาให้ นั่งรออยู่ตรงนี้นะ” เขาหันมาสั่งเพื่อนสาวพร้อมกับยิ้มให้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป

การต์รวีมองตามหลังเพื่อนหนุ่มไป ก่อนจะลุกเดินไปยืนเกาะลูกกรงเหล็กสีเงินที่สูงประมาณหน้าอกซึ่งทำเป็นที่กั้นระเบียงเอาไว้ ดวงตากลมโตมองไปยังแสงไฟหลากสีตามอาคารและตึกสูงเบื้องหน้า แล้วผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ

“ถอนใจทำไม?” จู่ๆ เสียงดุๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเพราะกำลังคิดอะไรต่ออะไรอยู่เพลินๆ

“คุณโจซิส” การต์รวีหันมามอง ก่อนจะอุทานชื่ออีกฝ่ายออกมา

“เธอน่าจะดีใจนะที่กำลังจะเป็นหนูที่ตกลงไปในถังข้าวสารอย่างน้องชายของฉัน แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมให้เธอเข้ามาผลาญสมบัติในตระกูลของฉันได้ง่ายๆ” ร่างสูงก้าวยาวๆ เข้าไปยืนประชิดร่างบางเอาไว้ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้หลีกหนีไปทางไหนได้

“ดิฉันไม่เคยคิดที่จะเป็นหนู และไม่เคยคิดที่จะผลาญสมบัติของใครด้วย ถ้าดิฉันจะแต่งงานกับวินเชลล์ก็เพราะความรักเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเพราะอย่างอื่น” การต์รวีเชิดหน้าขึ้นมองสบนัยน์ตาสีไพลินเข้มนั่น ทั้งๆ ที่ตอนนี้ในหัวใจสั่นระรัวด้วยความหวาดหวั่น มือไม้เย็นเฉียบราวกับแช่อยู่ในน้ำแข็ง แถมขาก็เหมือนกับจะหมดแรงเอาดื้อๆ

“ฮึ! ฮึ! ฉันไม่ใช่นายวินนะที่จะเชื่อคำพูดโป้ปดของเธอ ฉันให้คนไปสืบประวัติของเธอมาแล้ว ตอนนี้บ้านเธอมีหนี้สินตั้งหลายแสน ส่วนย่าของเธอก็ติดการพนันจนเป็นหนี้เงินกู้นอกระบบอีกตั้งหลายหมื่น ที่เธอมาคบกับน้องชายของฉันก็เพื่อจะรีดไถ่เงินจากเขาไปปลดหนี้ให้ตัวเองน่ะสิ อย่าคิดว่าคนอย่างฉันรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมารยาสารพัดพิษอย่างเธอน่ะ” โจซิสจ้องร่างบางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอคะคุณโจซิส ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาแบบนี้ ดิฉันสามารถฟ้องร้องได้นะคะ” การต์รวีบอกเสียงแข็งพร้อมกับถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ ใบหน้าสวยบึ้งตึงขึ้นมาฉับพลัน

“ก็ลองดูสิ อยากจะฟ้องร้องอะไรก็เชิญ คนอย่างฉันไม่เคยกลัวอยู่แล้ว และฉันขอเตือนเธอเอาไว้ว่า อย่ามายุ่งกับน้องชายของฉันอีก ไม่งั้นครอบครัวเธอเดือดร้อนแน่ๆ” เขาเน้นเสียงลอดไรฟันอย่างน่ากลัว

“ทำไมฉันจะต้องเชื่อคุณด้วย ในเมื่อฉันคบกับวินอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร้ายอย่างที่คุณเข้าใจอยู่ และวินเขาก็โตแล้ว มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะคบกับดิฉันหรือไม่? เขาเป็นคนไม่ใช่ควายนะคะที่จะให้คุณจูงจมูกได้” หญิงสาวมองสบดวงตาชายหนุ่มเขม็ง

“เธอท้าทายฉันอย่างนั้นเหรอ!” มือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนเรียวอย่างแรง ก่อนจะกระชากร่างบางเข้ามาใกล้

“ปล่อยนะคุณโจซิสฉันเจ็บ!” การต์รวีนิ่วหน้าด้วยความเจ็บและพยายามใช้มือเรียวแกะมือแกร่งที่ราวกับเหล็กนั้นออก แต่ก็ไม่สำเร็จ

“ถ้าคุณไม่ยอมเลิกรากับนายวินละก็ คุณจะเจ็บมากกว่านี้หลายเท่าตัว!” เขาตะคอกใส่เธออีกครั้ง

“คุณก็ต้องไปห้ามน้องชายของคุณเอง ไม่ใช่มาห้ามฉัน!” หญิงสาวตะคอกกลับ ดีที่บริเวณที่ทั้งคู่ยืนอยู่ไม่มีใครเดินผ่านไปมา ไม่งั้นคงได้หยุดยืนดูกันเป็นแถวๆ แน่

โจซิสกัดกรามกรอด สันแก้มนูนขึ้นจนเห็นเส้นเลือด สายตาดุดันหรี่ลงพร้อมกับจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง บ่งบอกได้ถึงอารมณ์โกรธที่มีอย่างมากมายของเขา ส่งผลให้มือแกร่งที่จับอยู่ที่ต้นแขนขาวนวลบีบแรงขึ้นอย่างลืมตัว

การต์รวีเจ็บร้าวไปทั้งแขน แต่ก็กัดฟันทนเอาไว้ เพราะไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอให้ผู้ชายหยาบกระด้างตรงหน้าได้เห็น

“กรุณาปล่อยดิฉันได้แล้ว! คุณคงไม่อยากขึ้นชื่อว่ารังแกผู้หญิงหรอกนะ...คุณโจซิส!” หญิงสาวเน้นเสียงแข็งเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอไม่เคยกลัวคำขู่ของเขา เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และหลังจากงานเลี้ยงในคืนนี้จบลง เธอกับเขาก็จะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้ว

“เธอแน่มากการต์รวี!” หนุ่มลูกครึ่งกัดฟันเน้นเสียงออกมาเบาๆ พร้อมๆ กับที่มือใหญ่ค่อยๆ คลายออกจากต้นแขนของหญิงสาว

“ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” การต์รวีบอกเสียงเรียบ ก่อนจะผลักอกแกร่งออกห่าง แล้วรีบเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ความโกรธได้เปลี่ยนเป็นความกล้า ทำให้เธอกล้าที่จะเถียงและสวนคำพูดเขากลับไปบ้าง เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่จะให้ใครมายืนด่าได้ฉอดๆ เหมือนกับนางเอกในละครชีวิต

“ถ้าเธออยากลองของกับคนอย่างฉันก็ย่อมได้ เธอจะได้รู้จักคนอย่างนายโจซิสดีพอแน่ๆ...การต์รวี” ฟันกรามของชายหนุ่มขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องจัดงานเลี้ยงอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม