ตอนที่2.เข้าข้างใครกันแน่
แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากเรียนจบมาแล้วไม่สามรถนำมาใช้งานอะไรได้เลย
หญิงสาวหันมาสนใจอาหารมื้อเช้าของตนเอง เมื่อไข่เจียวหอมกรุ่นพร้อมเสิร์ฟกับผัดผักรวมมิตร ก็ได้เวลาที่ภากรตื่นและเดินลงมานั่งกินกาแฟที่ชั้นล่างเมื่อทุกครั้ง เจ้าหมาน้อยนามข้าวปุ้นกระดิกหางแล้ววิ่งเข้าใส่ทักทายเหมือนทุกครั้ง แต่เจ้าของต้องส่งเสียงดุเจ้าหมาน้อยจึงแกล้งหงอยนอนหมอบใต้โต๊ะกินข้าว
“จะไปดุมันทำไม...ดุไปมันก็ไม่จำหรอก”
“ก็...มันเสียมารยาทนี่คะ เรากำลังจะกินข้าวมันมานั่งจ้องหน้าเราแบบนี้จะถูกเหรอค่ะแล้วพ่อก็เลิกให้ท้ายมันเสียทีเถอะค่ะ มันจะเสียหมาเปล่าๆ”
“เอ้า! แล้วมาเกี่ยวอะไรกับพ่อด้วยเหล่านี่...”
ภากรพูดพลางหัวเราะ ตั้งแต่มีเจ้าหมาน้อยเข้ามาในบ้านรู้สึกว่าเสียงหัวเราะจะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย คนเป็นลูกค้อนเข้าให้ ข้าวปุ้นเงยหน้าเหมือนจะยิ้มเยาะเย้ย หญิงสาวเผลอแลบลิ้นใส่ แต่เมื่อนึกได้ก็แกล้งทำเป็นเทอาหารเม็ดใส่ถ้วยแล้วยื่นให้มันได้กลิ่น ข้าวปุ้นรีบลุกขึ้นยืนสองขาของอาหารทันที
“ทีแบบนี้ทำมาเป็นง้อเรานะ เจ้าข้าวปุ้น”
“มีหมาง้อก็ยังดีกว่าไม่มีใครง้อน๊า...”
“พ่อคะ! พ่อจะเข้าข้างใครกันแน่”
“เอาละๆ ช่างเถอะ” ภากรโบกไม้โบกมือห้ามศึก “ตกลงพรุ่งนี้ลูกจะไปออกบูธงานแสดงต้นไม้แน่นะ”
“ไปคะ เราเตรียมตัวมาตั้งเป็นเดือน...ยังไงฝนก็จะต้องไปให้ได้”
แววตามุ่งมั่นของปาณิศาทำให้ภากรได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “นี่ถ้าขาพ่อไม่เจ็บ พ่อจะไม่ให้ลูกต้องไปลำบากเลย” ภากรหมายถึงขาข้างขวาที่เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุหกล้มเมื่อสองวันก่อนจนกระดูกข้อเท้าเคลื่อนทำให้เดินเหินไม่สะดวก
“ลำบากอะไรคะ พ่อน่ะ...ลำบากเพราะฝนมาเยอะแล้ว ให้ฝนทำอะไรเพื่อพ่อบ้างเถอะค่ะ” หญิงสาวเข้ามากอดเอวประจบผู้เป็นพ่อแม้จะเป็นพ่อบุญธรรมก็ตาม
“งานนี้เราลงทุนไปเยอะ ยังไงจะมาล้มเลิกกลางทางแบบนี้ไม่ได้ หรอกค่ะ” เธอหมายถึงงานออกบูธแสดงต้นไม้ในวันพรุ่งนี้ เมื่อวานกับวันนี้ คนงานในสวนไปจัดการตบแต่งบูธเรียบร้อย งานนี้จะเท่ากับเป็นการเป็นตัวสวน ‘สายพิรุณ’ ของภากรอย่างเป็นทางการเสียที สวนสายพิรุณเน้นไม้ประดับอย่างลีลาวดีเป็นหลักแต่ละต้นแต่ละสายพันธุ์มีความงามอย่าน่าตื่นตาตื่นใจ
“ไหวแน่เหรอ...พรุ่งนี้ให้ไอ้บ๊วยไปช่วยด้วยซิ”
“พี่บ๊วยต้องไปช่วยฝนอยู่แล้วค่ะ” ปาณิศายิ้มกว้าง พอคิดว่าพรุ่งนี้จะได้เดินทางเข้ากรุงเทพ เธอก็อดคิดถึงพี่ชายอีกคนไม่ได้ “ฝนว่าจะโทรหาพี่ณุด้วย”
ภากรนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงภาณุ ลูกชายคนเดียวที่เวลานี้ไปทำงานในกรุงเทพฯ ถ้าภาณุอยู่ที่นี่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของสวนสายพิรุณก็คงดีไม่น้อยไม่รู้มันจะดื้อดึงอยู่กรุงเทพฯ ไปทำไมกัน หรือมันเกลียดกลิ่นดินกลิ่นโคลนบ้านนอกอย่างนี้ก็ไม่รู้ คิดแล้วก็ได้แต่น้อยใจ ดูซิ...ดูคนที่ไม่ใช่ลูกแถมเกิดมาในตระกูลผู้ดีเก่าแต่กลับร่าเริงอยู่ในสวนในไร่กับเขาได้มากว่าสิบปี จะว่าไป...ถึงแม้ร่างกายของฝนพรำจะอ่อนแอแต่จิตใจเธอเข้มแข็งกว่าที่ใครจะคาดคิด เด็กหญิงตัวน้อยกลับกล้าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ครั้งแรกที่เขาพา ‘คุณหนู’ กลับมาบ้านสวนนั้น เขายอมรับว่ามืดแปดด้านไม่รู้จะหยิบจับทำอะไรดี แถมยังมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูทั้งลูกตัวเองและลูกเจ้านายเก่าที่เปรียบเสมือนผู้มีพระคุณสำหรับเขาอย่างยิ่ง แต่เขาก็พยายามที่จะประกอบอาชีพที่ตนเองถนัด กลับไปรับจ้างตบแต่งสวนตามบ้านคนรวยมีสตางค์ แต่คนที่ทำให้เขาคิดเพาะต้นลีลาวดีขายก็เป็นความคิดของเดกหญิงอายุสิบกว่าขวบคนนี้แหละ
“พ่อภากรชอบต้นไม้หรือจ๊ะ”
“จ๊ะ...ลุง เอ๊ย! พ่อชอบต้นไม้”
“แล้วทำไมพ่อไม่ปลูกต้นไม้ที่บ้านละจ๊ะ พ่อปลูกต้นไม้เก่งนี่จ๊ะ พอเราปลูกเยอะๆ ฝนก็จะเอาดอกไม้สวยๆ ของพ่อไปขายที่ตลาดไงจ๊ะ”
ตอนนั้นปาณิศาเพิ่งอายุสิบสองขวบเท่านั้นแต่มันก็ทำให้เขาได้ฉุกคิด เขายังโชคดีเพราะมีที่มีทางของตัวเองอยู่หลายไร่ที่ไม่ได้ทำประโยชน์อย่างจริงจัง เขาปรึกษาเกษตรประจำจังหวัดและลองผิดลองถูกอยู่หลายปีกว่าจะเข้าที่เข้าทางจนกลายเป็นสวนดอกลีลาวดีที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม แถวนี้แทบไม่มีมีใครไม่รู้จัก ‘สวนสายพิรุณ’ ของคุณ ‘ภากร นาดี’
“แต่พรุ่งนี้ฝนไม่อยู่พ่อไม่ลำบากแน่นะค่ะ”
ภากรตื่นจากภวังค์ “พ่อดูแลตัวเองได้ แค่ขาเจ็บนิดหน่อยเอง”
“ก็ดีค่ะ...ฮืม งั้นข้าวปุ้นอยู่บ้านดูแลคุณพ่อแทนฝนนะ...ถ้าข้าวปุ้นเป็นเด็กดีจะซื้อขนมอร่อยๆ จากกรุงเทพฯ มาฝาก”
เจ้าหมาน้อยทำตาละห้อยเสยดายที่ไม่ได้ไปเที่ยวในเมืองเลยอดได้หลีน้องหมาสาวๆ แต่พอคิดว่าจะได้กินขนมอร่อยก็เข้ามาประจบประแจงจนปาณิศาอดเอานี้ชี้จิ้มหน้าผากของมันไม่ได้
“เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่จริงๆ เลยนะเจ้าข้าวปุ้น”.
