บทที่1. รายไหนก็รายนั้น
หญิงสาวตื่นแต่เช้าตรู่แม้ว่าจะได้หลับไปไม่กี่ชั่วโมง หลังจากใส่บาตรเสร็จเธอจะกลับมาจัดโต๊ะเตรียมมื้อเช้าให้คนที่บ้านซึ่งปกติจะมีเพียงคุณวิทยา ส่วนคุณแพรวามักจะตื่นหลังจากเธอกับพ่อออกไปทำงานแล้ว เธอจึงเตรียมแค่ข้าวต้มไว้ถ้าแม่กับพี่สาวจะทานก็อุ่นได้ไม่ยุ่งยากนัก
“เมื่อคืนมาร์กี้เมาอีกละสิ”
“ค่ะ” รินรดาเสิร์ฟข้าวต้มกุ้งและกาแฟดำให้บิดา
“เอกสารที่เตรียมให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้วนะ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ”
“ถ้าลูกค้ารายนี้โอเคพ่ออาจจะต้องไปดูโรงงานที่จีน”
“เท่าที่คุยงานกันมาก็ดูว่าลูกค้าสนใจเรากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์นะคะ” รินรดายิ้มบางๆ
“ถ้าเขาตกลงทำสัญญากับเรา...เราก็ได้กำไรหลายแสนอยู่เหมือนกัน”
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคะ”
บริษัทที่วิทยาทำอยู่นั้นเป็นบริษัท อิมพอสต์ แอนด์ เอ็กซ์พอสต์ เริ่มก่อร่างสร้างตัวจากบริษัทเล็กๆ จากคนในครอบครัวโดยมีคุณบรรจงและคุณเอมอรเป็นคนเริ่มต้นก่อน
คุณเอมอรเป็นพี่สาวของแพรวา-ภรรยาของเขา เมื่อเก้าปีที่แล้วคุณบรรจงและเอมอรประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตพร้อมกันทั้งคู่ แพรวาสงสารรินรดาลูกสาวคนเดียวจึงได้พามาอยู่ด้วยกันให้เป็นน้องของมาติกาลูกสาวคนเดียวของเขาซึ่งอายุห่างกันเพียงสองปี ตอนนี้บริษัทขยายกิจการใหญ่ขึ้นทำให้เขามีบ้านหลังนี้ซึ่งราคาเฉียดสิบล้านและมีรถคันหรูให้ลูกสาวที่ไม่ทำงานการอะไรใช้สบายๆ แต่เพราะสองสามปีหลังมานี่มีการแข่งขันสูงทำให้ลูกค้าลดน้อยลงไปบ้าง ซ้ำภรรยาและลูกก็ใช้เงินกันเป็นว่าเล่น เขาจำเป็นต้องประหยัดหลายทางเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด รินรดาจึงรับบทหนักต้องทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้าน
“พ่อออกไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวรินจะตามไปค่ะ”
รินรดาเก็บโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้วก็เตรียมทำแซนด์วิชใส่กล่องสำหรับตัวเอง เธอมักจะหิวก็ตอนสายๆ และไม่มีเวลาไปนั่งกินมื้อเที่ยงข้างนอก ส่วนใหญ่เธอจะนั่งกินข้าวหน้าจอคอมพิวเตอร์นั่งทำงานไปด้วยกินไปด้วยนั้นแหละ หลังจากทำอะไรๆ ในครัวเสร็จเธอก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร่งรีบเข้าบริษัทเร็วกว่าปกติเพราะต้องให้ลุงยามช่วยไปรับรถของมาติกามาจอดไว้ที่บ้านเผื่อพี่สาวเธอจะออกไปธุระนอกบ้าน หญิงสาวรับหน้าที่เลขาให้กับผู้เป็นพ่อ แต่งานที่เธอต้องดูแลมีมากถึงมากที่สุด เรียกว่าเกินหน้าที่ก็ว่าได้ แต่มันคือบริษัทที่พ่อของเธอสร้างเธอจึงต้องดูแลทุกอย่างอย่างดีที่สุด หลายคนรู้ว่ารินรดาคือลูกสาวคนเล็กของวิทยาแต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นลูกบุญธรรม หลายคนมองว่าวิทยากับแพรวารักลูกไม่เท่ากันเพราะมาติกาไม่ต้องทำงานอะไรเลย ส่วนรินรดาต้องรับศึกหนักทุกอย่างแม้กระทั่งต้องลาออกจากวิทยาลัยพยาบาลมาเรียนบริหารเพื่อช่วยแบ่งเบากิจการของที่บ้าน แต่รินรดาเองก็เจียมตัวอย่างจำยอม แม้ในใจลึกๆ เธอจะหวังว่าตัวเองจะหลุดพ้นจากการทดแทนบุญคุณเช่นนี้
หญิงสาวจัดการเรื่องรถของมาติกาแล้วก็เดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง วางเอกสารที่หอบจากบ้านมาแล้วเดินไปชงกาแฟร้อนแล้วยกมานั่งดื่มที่โต๊ะทำงานพร้อมเปิดจอคอมพิวเตอร์ เรียกโปรแกรมงานออกมาดูมือหนึ่งก็กดปุ่มเรียกเอกสารขึ้นมาตรวจสอบ อีกมือก็หยิบแซนด์วิชที่ทำใส่กล่องมาส่งเข้าปาก
“โธ่! ทำไมไม่กินให้เรียบร้อยก่อนละจ๊ะหนูริน” เสียงคุณปานชีวาเลขารุ่นใหญ่เอ่ยทักปนหัวเราะอย่างเข้าใจกัน เธอทำงานที่บริษัทนี้ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของเธอจนกระทั่งพ่อแท้ๆ ของเธอเสียไปจนถึงตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสองแล้วก็ยังทำงานที่นี่อยู่
“เดี๋ยวลูกค้าจะมาประชุมตอนสิบโมงค่ะ รินเลยมาเตรียมเอกสารก่อน”
“มันก็เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ” ปานชีวาทำหน้างุนงง
“ตรวจสอบไม่ให้ผิดพลาดค่ะ” รินรดายิ้มกว้าง “ถ้าลูกค้าทำสัญญากับเรา งานนี้ได้กำไรเยอะเลยค่ะ”
“ทำแต่งานอย่าลืมดูแลตัวเองบ้างละ”
หญิงสาวมองหน้าคนพูดอย่างงงๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา “ทำไมคะ รินก็สบายดี แข็งแรงดีค่ะ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” ปานชีวาถอนหายใจ “เป็นสาวเป็นนางแต่งเนื้อแต่งตัวบ้างก็ดี หน้าตาก็ออกสะสวยทำไมปล่อยตัวเองดูแก่กว่าวัยแบบนี้ล่ะ”
“รินไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องนั้นหรอกค่ะ”
รินรดาหัวเราะเหงาๆ ใครว่าละ เธอก็อยากแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนกัน แต่โดนคุณแพรวาค่อนบ่นค่อนว่าทุกครั้งที่เห็นเธอแต่งตัวหรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่ถ้าเป็นมาติกาคุณแพรวาจะเห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่าง เธอไม่มีเวลาให้คิดเรื่องอื่นอีกแล้ว งานการตรงหน้ามากมายเหลือเกิน หลังจากประชุมกับลูกค้าที่มาจากจีนเสร็จลงด้วยดี เธอก็ต้องรีบขับรถมาเจรจาเรื่องเช่าโกดังใกล้ท่าเรือคลองเตย
“คุณรินมาดูเองเลยหรือครับเนี้ย” พนักงานเอ่ยทักอย่างคุ้นเคยที่เห็นร่างบอบบางเดินฝ่าเปลวแดดเข้ามาในออฟฟิศขนาดเล็ก
“รินเบื่อออฟฟิศค่ะเลยหาเรื่องออกมาข้างนอก” หญิงสาวหัวเราะระรื่น “รินต้องขอถ่ายรูปโกดังเอาไปประกอบการเสนองานให้ลูกค้าดูด้วยนะคะ”
“ไม่มีปัญหาครับ” อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง “อยากได้กาแฟหรือเครื่องดื่มเย็นๆ ไหมครับ”
“ถ้างั้นขอความกรุณาเป็นกาแฟเย็นได้ไหมคะ” เสียงหวานพูดปนหัวเราะ
“ได้ครับแต่รอหน่อยละกัน ผมจะให้เด็กไปซื้อให้ คุณรินไม่รีบไปไหนต่อใช่ไหมครับ”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รินไม่กลับออฟฟิศแล้วค่ะ เสร็จจากนี้ก็แวะตลาดซื้อของไปทำกับข้าวให้คนที่บ้านกินกัน”
“หายากนะครับ ผู้หญิงที่เก่งทั้งนอกบ้านและในบ้านแบบนี้”
“สมัยนี้แล้วหาไม่ยากหรอกค่ะ” รินรดาหัวเราะร่วน
“โอเค งั้นคุณรินนั่งทำหน้าสวยๆ ในออฟฟิศสักเดี๋ยวนะครับ ผมจะไปสั่งให้เด็กซื้อกาแฟโบราณมาให้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
รินรดาหยิบแท็ปเล็ตออกมาแล้วนั่งทำงานของตนไปพลางๆ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอได้ยินเสียงประตูเปิดและตามมาด้วยชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดสีขาวขุ่นกับกางเกงยีนสีซีดจาง ใบหน้ามีแต่หนวดเครารุงรังแถมสวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องแล้วหยุดที่เธอ แม้จะสวมแว่นตาสีดำอยู่แต่รินรดาก็รู้สึกได้ว่าเขาจ้องเธอเขม็ง
“ยุทธอยู่ไหน”
“เอ่อ...คุณยุทธไปซื้อกาแฟค่ะ”
“นานหรือยัง”
“ไม่นานค่ะ เพิ่งออกไปไม่ได้สวนกันเหรอคะ”
“ถ้าเห็นแล้วจะถามเหรอ”
รินรดาอ้าปากค้าง เขาช่างไร้มารยาทเสียจริง พูดกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ได้อย่างไรกัน เธอก็ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้แต่ถ้าจะให้ลุกออกมาก็เกรงว่าจะดูเหมือนเธอร้อนตัวเกินไป ชายร่างใหญ่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหงุดหงิดเพราะไม่มีใครอื่นนอกจากผู้หญิงผอมกะหร่องคนนี้ เขามองมาทางเธอแล้วถอนหายใจหนักๆ เสยผมยาวปรกบ่าของตน
“นั่งรอก่อนดีกว่าค่ะ คุณยุทธออกไปเดี๋ยวเดียวก็เข้ามาแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งออฟฟิศไปทั้งที่ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะ”
คำพูดของเธอมีเหตุผลและฟังขึ้น เขายักไหล่เหมือนไม่สนใจคำพูดของหญิงสาวแปลกหน้าแต่ก็นั่งลงที่เก้าอี้ว่างใกล้ๆ เธอ รินรดาแอบมองคนตัวใหญ่ที่นั่งใกล้ๆ ยากจะคาดเดาว่าเขามีธุระอะไรเพราะดูๆ ไปคงไม่ใช่ชิปปิ้ง หรือถ้าจะมาติดต่องานก็ควรจะแต่งตัวให้สุภาพกว่านี้ แต่พอพินิจเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เธอลอบมองก็รู้สึกคุ้นตาแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“คุณรินครับ กาแฟเย็นแสนอร่อยมาแล้วครับ” ยุทธก้าวเข้ามาพร้อมกาแฟเย็นในถุงกระดาษแบบโบราณ แล้วเขาก็ชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ รินรดา
“ขอบคุณมากค่ะ” รินรดายื่นมือไปรับแล้วยิ้มให้เช่นทุกครั้ง
แต่ชายหนุ่มที่นั่งใกล้ทำเสียงไม่ค่อยพอใจในลำคอ รินรดาขมวดคิ้วแต่ก็แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วลุกขึ้นยืน
“รินขอตัวก่อนนะคะ”
“ให้ผมไปช่วยไหมครับ” ยุทธเสนอตัวแบบไม่เกรงใจคนที่นั่งรอ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณยุทธดูแลแขกของคุณดีกว่า รินเสร็จธุระแล้วก็จะกลับเลยค่ะ”
“โอเคครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ในลำคอ ร่างบางเดินออกไปแล้วเขาจึงถอนแว่นกันแดดออก
“หัวเราะแบบนี้หมายความว่าไงวะ”
“น่าเบื่อผู้หญิงแบบนี้” เขาทำหน้าเบื่อหน่าย
“หมายความว่าไง แกไม่เคยเจอคุณรินแล้วจะรู้ได้ไงว่าเธอเป็นคนยังไง”
“ดูก็รู้แล้ว นี่คงหลอกแกออกไปซื้อกาแฟให้กินละซิ”
“โธ่ไอ้คุณเพลิงครับ กระผมทำให้คุณรินด้วยความเต็มใจขอรับ” ยุทธส่ายหน้าไปมา “เอาล่ะ ว่าแค่คุณเพื่อนมาหากระผมถึงที่ทำงานแต่หัววันแบบนี้มีอะไรให้รับใช้”
ชายหนุ่มแหงนหน้าหัวเราะ “หาคนกินเบียร์”
“กูว่าแล้ว” ยุทธหัวเราะ “ทำไมซื้อหวยไม่ถูกวะ”
“พูดมากจริงจะกินไหม?”
“เพิ่งบ่ายสองเองนะขอรับ”
“ก็กูอยากกิน คุณมึงจะมีปัญหาไหม?”
ยุทธโคลงศีรษะไปมาแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขโทรตามพนักงานอีกคน “ช่วยเข้าออฟฟิศหน่อย พี่มีธุระสำคัญมาก”
“ว่าง่ายๆ ค่อยน่ารักหน่อย”
“อย่ามาพูดแบบนี้กับกูเชียว ขนลุกวะ” ยุทธทำหน้าขยะแขยงแล้วเดินไปเก็บกระเป๋าสะพายแบบผู้ชายของตน “ไปๆ จะไปกินที่ไหนก็แล้วแต่เจ้ามือเลยขอรับ”
“ดีมากเพื่อน” ชายหนุ่มหัวเราะอารมณ์ดีกว่าตอนเข้ามามาก ทั้งสองก้าวออกมาจากออฟฟิศ ชายหนุ่มหนวดเครารุงรังมองไปยังร่างบางที่กำลังถ่ายรูปโกดังเก็บสินค้า “เขาทำอะไรของเขา”
“ถ่ายรูปโกดังเอาไปให้ลูกค้าดู ประมาณว่าบริษัทของเขามีที่จัดเก็บสินค้านำเข้าส่งออกนั้นแหละ”
“เดี๋ยวนี้ต้องทำแบบนี้แล้วเหรอ”
“เออ” ยุทธพูดแบบตัดบทเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง
“น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ นี่ถ้ากูไม่มาขัดคอ เอ็งก็คงจิ๊จ๊ะกับหล่อนไปแล้วซิ”
“ขอเถอะ ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงที่คุณมึงรู้จักหรอก”
“ขนาดนั้นเชียว” ชายหนุ่มหัวเราะน้ำเสียงเยอะเย้ย “ผู้หญิงรายไหนก็รายนั้น ขอให้มีเงินไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“เปลี่ยนเรื่องเถอะวะ คุยกับคนมีเงินแล้วป่วยจิต”
ชายหนุ่มผมยาวมองร่างบางอีกครั้งแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก เขาเจอผู้หญิงมาเยอะ ยอมสยบแทบเท้าเขาทั้งนั้น แน่นอนว่าเพราะเขาปรนเปรอพวกหล่อนด้วยข้าวของเงินทอง แต่เมื่อเขาเบื่อก็ดีดพวกหล่อนทิ้งได้ง่ายดายเช่นกัน ผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนกัน เขาแต่งตัวซอมซ่ออย่างนี้ก็เลยทำเป็นเมินใส่ ลองเขาใส่สูทผูกไทคงต้องรีบใช้มารยาหญิงตะครุบเขาแน่
ผู้หญิงนะ...รายไหนก็รายนั้น เงินเท่านั้นแหละที่จะมัดใจได้ เรื่องความรักมันมีแค่ในนิยายเท่านั้นแหละ!.
